อดีต กกต.เปิดคำทำนายที่ 7 เชื่อกกต.ต้องเดินตามก้น คสช.ปมกำหนดวันเลือกตั้ง ทั้งที่ตาม รธน.กำหนดเป็นอำนาจของตัวเอง ขณะที่ปัญหา รธน.ม.268 จัดเลือกตั้งเสร็จ 150 วัน เชื่อทุกฝ่ายตีความหมายถึงแค่หย่อนบัตร หวังมีเวลาเตรียมตัวมากสุด แต่เสี่ยงถูกคนแพ้ร้องล้มเลือกตั้ง หวั่นสุดท้าย กกต.เป็นแพะรับทั้งแพ่ง-อาญาคนเดียว
วันนี้ (25 มี.ค.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. เปิดคำทำนายที่ 7 เกี่ยวกับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้หลังถูกคำสั่ง คสช.ให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ กกต.นายสมชัยได้ระบุถึง 6 คำทำนายในอดีตขณะปฏิบัติหน้าที่จัดการเลือกตั้งที่ทุกคำทำนายเกิดขึ้นจริง โดยนายสมชัยกล่าวว่า การจัดการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น มีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ มาตรา 102 และมาตรา 103 ของรัฐธรรมนูญ กำหนดให้รัฐบาลเป็นผู้ประกาศกฤษฎีกาเลือกตั้ง ส่วน กกต.เป็นคนกำหนดวันเลือกตั้งภายในกรอบเวลา 45 วัน หรือ 60 วัน โดย กกต.ต้องดำเนินการประกาศวันเลือกตั้งภายใน 5 วันหลังจากรัฐบาลประกาศกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง
มาตรา 268 ของรัฐธรรมนูญ กำหนดให้ กกต.ต้องจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 150 วัน หลังจากกฎหมายลูกสำคัญ 4 ฉบับ คือ พ.ร.ป.ส.ส., พ.ร.ป.ส.ว., พ.ร.ป.พรรคการเมือง และ พ.ร.ป.กกต.มีผลบังคับใช้ และ
ข้อ 8 ของคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 กำหนดให้ ครม.หารือ กกต., กรธ., ประธาน สนช. และอาจเชิญพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองเข้ารือกัน เพื่อให้มีข้อสรุปแจ้ง คสช.ให้แก้ไขคำสั่ง คสช.ทั้งหลายที่เป็นอุปสรรคต่อการเลือกตั้ง และกำหนดแผนขั้นตอนไปสู่การเลือกตั้งตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
โดยจากการอ้างรัฐธรรมนูญและคำสั่ง คสช.ดังกล่าว ทำให้เห็นว่ามีประเด็นที่อาจเป็นปัญหาในอนาคตอย่างน้อยสองประการ คือ 1. ใครเป็นผู้ประกาศวันเลือกตั้ง และ 2. วันเลือกตั้งควรใช้เต็มกรอบ 150 วัน หรือจะเผื่อการประกาศผล เนื่องจากไม่ชัดเจนในคำว่า “การจัดการเลือกตั้งที่แล้วเสร็จ” คืออะไร
นายสมชัยกล่าวอีกว่า ในประเด็นใครเป็นผู้ประกาศวันเลือกตั้งเชื่อว่าในทางนิตินัย ครม.และ คสช.คงยอมถอย ให้ กกต.เป็นผู้ประกาศตาม กม. เพราะรัฐธรรมนูญย่อมใหญ่กว่าคำสั่ง คสช. แต่ในทางพฤตินัย คสช.คงใช้อำนาจเพื่อให้ กกต.ประกาศตามที่ตนต้องการ โดยอาศัยฉันทามติของการประชุมปรึกษาหารือตามข้อ 8 ของคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560
“แต่การตัดสินใจที่จะเกิดขึ้นตามมา คือ วันเลือกตั้งวันใด แม้ในทางพฤตินัยมาจากความเห็นชอบร่วมทุกฝ่าย แต่ในทางนิตินัย หากเกิดความผิดพลาดจนทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ กกต.จะเป็นผู้รับผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้”
ส่วนปัญหาการจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จใน 150 วัน หมายถึงประกาศผลด้วยหรือไม่นั้น ในกรณีนี้ พรรคการเมืองที่มีความพร้อมน้อยกว่า ต้องการเวลาในการเตรียมพรรคและการหาเสียง สนง.กกต.ที่ต้องการเวลาที่มากที่สุดในการเตรียมการทางธุรการ รวมทั้งเจตนาในการเลือกตั้งของ ครม., คสช. และ สนช. ย่อมเป็นแรงผลักดันให้ คณะกรรมการการเลือกตั้งใช้กรอบเวลา 150 วัน เพื่อการลงบัตรอย่างเดียว ไม่หมายรวมถึงการประกาศผลด้วย แต่หาก กกต.ต้องการความปลอดภัยในผลการตัดสินใจ กกต.อาจกำหนดวันเลือกตั้งใน เวลาประมาณ 90-100 วัน และเหลือเวลา 50-60 วันไว้เพื่อประกาศผลให้ได้ร้อยละ 95 ของจำนวน ส.ส.ทั้งหมด
“คนแพ้ฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนคนแพ้ที่แท้ คือ กกต. หากกำหนดเลือกตั้งยืดตามกรอบ 150 วันเต็ม คนชนะเลือกตั้งคงไม่ทำอะไร แต่หากเป็นแพ้เป็นผู้มีอำนาจอิทธิพล ฟ้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ หากศาลบอกไม่ผิดก็แล้วไป แต่หากศาลพิจารณาว่าการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จคือต้องรวมประกาศผล การเลือกตั้งที่เกิดขึ้นจะเป็นโมฆะ เงินจัดการเลือกตั้งเกือบ 5,000 ล้านบาทต้องสูญเปล่า กกต.คงไม่อาจอ้างผลการปรึกษาหารือกับใครได้ เพราะการตัดสินประกาศวันเลือกตั้งเป็นอำนาจของ กกต.ตามรัฐธรรมนูญ ทางอาญา คือ การตัดสินใจโดยประมาท ปราศจากความรอบคอบ ทำให้รัฐได้รับความเสียหาย ทางแพ่งคือค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้ง เกือบ ,5000 ล้านบาทที่ กกต.4 หรือ 7 คนที่ร่วมกันชดใช้คำทำนายนี้ โปรดใช้วิจารณญาณในการรับฟัง ไม่ได้ขอให้ใครเชื่อครับ”