“สมชัย” ยังตอบโต้ไม่หยุด เย้ยนายกฯ ที่เชื่อกุนซือด้านกฎหมายที่อ่อนด้อยจนสร้างความเข้าใจผิด ระบุ รธน.กำหนดให้หน่วยงานที่กำหนดวันเลือกตั้งคือ กกต. เหน็บ “มีชัย” ร่างเองกับมือแต่กลับลืม ชี้ให้ ม.44 ปลด กกต.ซึ่งเป็นองค์กรอิสระจะทำให้การเลือกตั้งไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม
วันนี้ (23 มี.ค.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กตอบโต้คำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ใช้มาตรา 44 ปลดเขาพ้นจากตำแหน่ง โดยระบุว่าเป็นความเข้าใจผิดและความอ่อนด้อยของบรรดาที่ปรึกษาด้านกฎหมายซึ่งไม่สมควรให้ทำหน้าที่ต่อไป
นายสมชัยโพสต์ข้อความว่า จากการให้สัมภาษณ์ของนายกฯ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2561 แสดงให้เห็นถึงความอ่อนด้อยของหน่วยงานกฎหมายของนายกรัฐมนตรี หรือที่ปรึกษาด้านกฎหมายของท่านเป็นอย่างยิ่งในประเด็นต่างๆ ดังนี้ 1. ทำให้นายกฯ เข้าใจผิดว่า คสช.และ ครม.เป็นคนกำหนดวันเลือกตั้ง จากประโยคที่ว่า “ทำให้สับสนอลหม่านไปกันหมด เลือกอย่างนั้นอย่างนี้ ขอถามว่าเขาเป็นคนเลือกหรือ เขาเป็นคนกำหนดวันเวลาวันเลือกตั้งหรือ ใครเป็นคนกำหนด รัฐบาลกับ คสช.ไม่ใช่หรือ หรือ กกต.เป็นคนกำหนด”
“ข้อเท็จจริงตามกฎหมาย : มาตรา 102 และ 103 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ออกแบบให้มีการแบ่งหน้าที่ระหว่างรัฐบาล และ กกต. คือ รัฐบาลเป็นผู้ออกกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง แต่ กกต.เป็นผู้กำหนดวันเลือกตั้ง โดย กกต.ต้องประกาศวันเลือกตั้งว่าเป็นวันใด ภายในห้าวันนับแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง. เหตุผลที่เขียน กม.ให้แตกต่างจากในอดีตที่ให้รัฐบาลทำทั้งสองอย่างนั้น เพราะเห็นว่าควรให้ กกต.ที่เป็นอิสระ เป็นผู้กำหนดวันเลือกตั้ง จะสามารถให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย (ท่าน อ.มีชัย ร่างเอง)
นอกจากนี้ ในมาตรา 104 ยังให้อำนาจ กกต.ประกาศเลื่อนวันเลือกตั้งได้หากมีเหตุจำเป็น เพื่อแก้ไขปัญหาในอดีต ที่ การเลื่อนต้องเห็นชอบร่วมกันระหว่างนายกกับประธาน กกต. และ รัฐบาลไม่ยอมเลื่อน จนทำให้เกิดความเสียหายจากการเลือกตั้งเป็นโมฆะ (ปัญหาเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557)
2. ทำให้นายกฯ ตัดสินใจใช้ ม.44 ในการปลดกรรมการองค์รอิสระ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายที่ตามมา จากประโยคที่ว่า “มันมีความจำเป็น ยอมรับว่ามีหน่วยงานเขาขอมา เป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางกฎหมาย ซึ่งเขาบอกว่ามันไม่ไหวแล้ว ทำให้ทุกอย่างสับสนอลหม่าน”
ประเด็นดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานด้านกฎหมายดังกล่าวขาดการพิจารณาถึงผลที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบว่าการที่ชงให้ คสช.ใช้ ม.44 กับองค์กรอิสระ โดยเฉพาะ กกต. จะทำให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่มีทางได้รับการยอมรับจากสังคมโลกได้เลย เพราะ กกต.จะขาดเป็นอิสระ หากผู้มีอำนาจทำผิด กม.เลือกตั้งเอง คงไม่มี กกต.ใดกล้าที่ไปตักเตือน หรือชี้ว่า คสช.ทำผิด เพราะเกรงว่า คสช.สามารถใช้อำนาจปลดคนที่เห็นต่างได้
เช่นเดียวกับการสร้างความรู้สึกเดียวกันไปยังองค์กรอิสระอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกรรมการสิทธิฯ หากมีกรณี รัฐบาลละเมิดสิทธิมนุษยชนจะไม่กล้าทักท้วง ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจไม่กล้าส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ คตง., ป.ป.ช.อาจไม่กล้าตรวจสอบการทุจริตของรัฐ ไปจนถึงการพิจารณาตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ อาจมีความเป็นอิสระน้อยลง เพราะทุกคนรู้ว่า คสช.สามารถใช้ ม.44 เพื่อปลดผู้เห็นต่างได้
3. ความไม่ชัดเจน และอ่อนด้อยของหน่วยงานด้านกฎหมายของนายกฯ สะท้อนให้เห็นว่า บุคลากรของหน่วยงานทั้งหมด ไม่มีแม้สักคนที่มีความสามารถในการตอบโต้หลักทางกฎหมายที่ถูกต้องกับคนคนเดียว (ที่มิได้จบทางนิติศาสตร์โดยตรง จบปริญญาตรีที่มีวิชากฎหมายแค่ 3 หน่วยกิต) ถึงขนาดให้เขาไปสร้างความสับสนแก่สังคม (ไม่แน่ใจว่าใครสับสนกันแน่) จนต้องไปขอร้องนายกฯ ให้ปลดคนๆ นั้นออก ถ้าผมกล่าวผิด ท่านผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเชือดผมกลางอากาศสองสามรอบ แค่นั้นผมพูดไปก็ไม่มีคนเชื่อแล้ว แต่ทุกครั้งดูเหมือนคนของท่านจะพูดผิดมากกว่า
ในทางกลับกัน หากผมบอกให้นายกฯ รู้ถึงความอ่อนด้อยและไม่ชัดเจนของหน่วยงานด้านกฎหมายดังกล่าว จนทำให้ นายกฯ ต้องเข้าใจผิดและเสียหายแล้ว ก็สมควรใช้ ม.44 ปลดหน่วยงานนั้นแทน และหากจะตั้งผมเป็นที่ปรึกษากฎหมาย ผมก็ยินดีครับ”