ครม.ไฟเขียวร่าง พ.ร.บ.พิจารณาความอาญา ติดดาบพนักงานศาลตะครุบ “คนหนีคดี” ด้าน ยธ.เปลี่ยนวิธีจัดซื้อ “เครื่องติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์” เป็นเช่า มั่นใจประหยัดงบรัฐจำนวนมาก
วันนี้ (20 มี.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัตร ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติเห็นชอบ ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ในหลักเกณฑ์การปล่อยตัวชั่วคราว และใช้สิทธิฟ้องร้องในการดำเนินคดี หรือพิจารณาในคดีอาญา โดยร่างดังกล่าวเป็นการแก้ไขเพื่อรองรับการดำเนินการปล่อยตัวชั่วคราวให้มีความยืดหยุ่น และกำหนดมาตรการรองรับเพื่อให้เกิดความรัดกุมมากยิ่งขึ้น รวมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการฟ้องร้องคดีเพื่อป้องกันการฟ้องร้องคดีโดยไม่สุจริต และมุ่งให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ
ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะมีหลักเกณฑ์ในการเรียกประกันในการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย โดยขยายเพดานอัตราโทษ จากเดิม 5 ปีขึ้นไป เป็นอัตราโทษสูงสุด 10 ปีขึ้นไป ขณะที่บุคคลที่ศาลสั่งปล่อยตัวชั่วคราว แล้วหากพบว่ามีการหลบหนี ศาลจะมีอำนาจแต่งตั้งเจ้าพนักงงานศาลแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นได้ หรือถ้ามีเหตุจำเป็น เจ้าหน้าที่ศาลสามารถจับกุมได้เอง นอกจากนี้ การพิจารณาพิพากษาคดีที่ประชาชนเป็นโจทก์ กำหนดให้ศาลสามารถมีคำสั่งไม่ประทับฟ้องคดีก่อนนัดไต่สวนมูลฟ้องได้ หากเห็นว่าโจทก์ใช้สิทธิฟ้องโดยไม่สุจริตหรือบิดเบือนเพื่อกลั่นแกล้งหรือเอาเปรียบจำเลย อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการตั้งข้อสังเกตในหลายประเด็น โดยเฉพาะการแต่งตั้งเจ้าพนักงานศาลเป็นผู้จับกุมนั้น อาจไม่สอดคล้องกับกฎหมายปัจจุบัน จึงต้องส่งเรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความก่อนนำเข้า ครม.เพื่อพิจารณาอีกครั้ง
พ.อ.อธิสิทธิ์กล่าวอีกว่า ครมยังมีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ เรื่องกรมคุมประพฤติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากการเช่าเครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ โดยก่อนหน้านี้รัฐบาลได้มีการอนุมัติให้กรมคุมประพฤติจัดซื้ออุปกรณ์ดังกล่าวจำนวน 3,000 เครื่อง ซึ่งกระทรวงยุติธรรมได้เปลี่ยนแปลงการจัดซื้อจาก 3,000 เครื่องใน 1 ปี เป็นการเช่าพร้อมระบบควบคุมการทำงานจำนวน 4,000 เครื่องในลักษณะของการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เป็นระยะเวลาการดำเนินการ 30 เดือน ข้อดีของการเช่านั้น จะทำให้รัฐมีอุปกรณ์ใช้งานที่มีสภาพใหม่ หมุนเวียน รวมถึงไม่ต้องมีการตั้งงบประมาณสำหรับการบำรุงรักษา
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นโยบายการใช้เครื่องมือติดตามดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีการหารือกันในหลายรัฐบาล กว่า 20 ปีแล้ว แต่เพิ่งมีการดำเนินการในรัฐบาลนี้ ถือเป็นการปฏิรูปอย่างแท้จริง และสอดคล้องกับนโยบายดิจิตอล และจากการศึกษา การใช้เครื่องมือดังกล่าวจะช่วยให้รัฐบาลสามารถประหยัดงบประมาณได้เป็นจำนวนมาก