"ปู่โคอิ" ส่ออดได้กลับเข้าป่าแก่งกระจาน ศาลปค.สูงสุดนั่งครั้งแรกตุลาการผู้แถลงคดี ชี้ไร้หลักฐานครอบครองที่ก่อนประกาศเขตอุทยาน จึงไม่มีสิทธิในที่ดิน แต่จนท.ไล่รื้อถอนเข้าข่ายทำละเมิด ชงองค์คณะพิพากษายืนตามศาลปค.กลางจ่ายชดใช้ค่าเสียหายคนละหมื่น ด้านปู่ฝากรัฐออกกม.ดูแลชีวิตกระเหรี่ยง
วันนี้ (13 มี.ค.) ศาลปกครองสูงสุดออกนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกในคดีที่นายโคอิ หรือคออี้ มีมิ กับพวกรวม 6 คนซึ่งเป็นชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงปกาเกอะญอ ในพื้นที่ จ.เพชรบุรี ฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กับพวกรวม 2 คน กรณีเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ ดำเนินการเผาทำลายทรัพย์สินยุ้งฉางข้าวของนายโคอิและพวก ในพื้นที่ป่าแก่งกระจาน จากโครงการขยายผลการอพยพ ผลักดัน จับกุมชนกลุ่มน้อยที่บุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ตามแนวชายแดนไทย-พม่า
ทั้งนี้ ศาลปกครองชั้นต้นเคยมีคำพิพากษาในคดีดังกล่าวแล้วว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ถือเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องเหมาะสมตามหลักความได้สัดส่วนและตามควรแก่กรณีสภาพการณ์แล้ว ไม่ถือเป็นการกระทำละเมิด แต่การเผาทำลายดังกล่าวทำให้สิ่งของเครื่องใช้ในครัวเรือนและของใช้ส่วนตัวของนายโคอิและพวกเสียหายตามไปด้วย จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย
ศาลจึงให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายโคอิ และพวก คนละ 10,000 บาท แต่หลังจากศาลปกครองชั้นต้นมีคำพิพากษา ทั้งสองฝ่ายมีการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด โดยนายโคอิและพวกอุทธรณ์ว่าความเสียหายที่ได้รับเกิดจากกการกระทำเกินกว่าหน้าที่ของเจ้าหน้าที่โดยตรง จึงต้องรับผิดชอบในความเสียหายต่อทรัพย์สินและวิถีชีวิตของนายโคอิและพวก ขณะที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ อุทธรณ์ว่าเจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบแล้ว และเป็นไปตามกฎหมายจึงไม่ได้กระทำละเมิด
ในการพิจารณาคดีวันนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ทำคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรยื่นต่อศาล โดยตัวแทนกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้แถลงด้วยวาจาต่อศาลว่ามีการเผาเพิงพักใกล้กับบริเวณดังกล่าวก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเข้าสำรวจพื้นที่ป่าและทำการจับกุมผู้กระทำผิด และจากการตรวจสอบพิกัดที่ดินย้อนหลังไปจนถึงปี 2495 ไม่พบว่าพื้นที่ดังกล่าวมีการทำการเกษตรตามที่นายโคอิและพวกอ้างว่าเป็นพื้นที่ทำกินมาหลายชั่วอายุคนแต่อย่างใด
ขณะที่ตุลาการผู้แถลงคดีเห็นว่า แม้นายโคอิกับพวกจะอ้างว่าบรรพบุรษตั้งถิ่นฐานในพื้นที่พิพาทมาช้านานแตไม่มีเอกสารหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าครอบครองที่ดินพิพาทมาก่อนประกาศเขตอุทยานแห่งชาติปี 2524 จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามติ ครม. 3 ส.ค. 2553 เรื่องแนวนโยบายและหลักปฏิบัติในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง นายโคอิกับพวกจึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท ศาลจึงไม่อาจมีคำสั่งให้นายโคอิกับพวกกลับคืนสู่สถานะเดิมก่อนมีคำสั่งกรมอุทยานฯ ได้ แต่ที่เจ้าหน้าที่ดำเนินการรื้อถอนและเผาทำลายเพิงพักในพื้นที่ดังกล่าวเป็นการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนของมาตรา 22 ของ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 และตามคู่มือแนวทางปฏิบัติที่กรมอุทยานฯกำหนดขึ้นตามมาตรา 22 ของ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 เนื่องจากสิ่งของหรือสิ่งปลูกสร้างบางอย่างสามารถขนย้ายออกมาได้จึงถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ทำให้ทรัพย์สินอื่นถูกทำลายเกินสมควรจึงถือว่าเจ้าหน้าที่กระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเข้าองค์ประกอบทำละเมิดตามมาตรา 420 ประมวลกฎหมายแพ่ง จึงสมควรที่ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้นที่ให้ชดใช้ค่าเสียหายสิ่งของเครื่องใช้ครัวเรือน 5 พันบาท และสินไหมทดแทนเกี่ยวกับของใช้ส่วนตัวอีก 5 พันบาท รวมเป็นคนละ 1 หมื่นบาท
ส่วนการที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ อ้างว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้เป็นคนเผานั้นฟังไม่ขึ้น เพราะข้อเท็จจริงยุติในศาลปกครองชั้นต้นแล้วและการที่นายโคอิและพวกอ้างว่านอกจากค่าความเสียหายของทรัพย์สินในเพิงพักแล้วการกระทำของเจ้าหน้าที่ก่อนให้เกิดความเสียหายทางจิตใจและความเสียหายต่อชาติพันธุ์ จึงขอให้ชดใช้ค่าเสียหายส่วนดังกล่าวด้วยนั้นเห็นว่าฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ด้านนายสมนึก ตุ้มสุภาพ ทนายความของนายโคอิกับพวก กล่าวว่า หากท้ายที่สุดองค์คณะมีความเห็นเหมือนตุลาการผู้แถลงคดีว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่อุทยานเป็นการละเมิดก็จะเป็นเรื่องดี แต่ในส่วนที่นายโคอิกับพวกต้องการกลับไปอยู่ในพื้นที่พิพาทเดิม ตนยังเห็นต่างกับตุลาการผู้แถลงคดีที่ว่าต้องมีเอกสารหลักฐานแสดงการครอบครองมาก่อน ดังนั้น โอกาสที่กลุ่มกะเหรี่ยงจะได้กลับไปอยู่ในพื้นที่เดิมคงต้องเป็นเรื่องของนโยบายรัฐบาลซึ่งภาคประชาชนก็คงต้องไปผลักดันกันต่อไป
ส่วนนายอภิสิทธิ์ เจริญสุข ตัวแทนชาวกะเหรี่ยง กล่าวว่า วันนี้นายโคอิเดินทางมาไม่ไหวเนื่องจากมีอายุ 100 กว่าปีแล้ว แต่ก็ฝากมาว่าอยากจะให้ผู้ที่เกี่ยวข้องพิจารณาออกกฎหมายให้ชาวกะเหรี่ยงมีชีวิตความเป็นอยูที่ดีขึ้น เพราะการที่เราไม่มีหลักฐานอะไรทำให้การใช้ชีวิตในทุกวันนี้ค่อนข้างลำบาก ยังโดนเจ้าหน้าที่รัฐเล่นงานอยู่บ่อยๆ