xs
xsm
sm
md
lg

ศาลฎีกาออกหมายจับ “ทักษิณ” คดีแปลงสัมปทานเอื้อชินคอร์ปฯ รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

(ภาพจากแฟ้ม)
ศาลฎีกานักการเมือง ออกหมายจับ “ทักษิณ” คดีแปลงค่าสัมปทานโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ให้ชินคอร์ปฯ ทำรัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้าน เหตุฝ่ายจำเลยไม่ปรากฏตัวในศาลตามนัดหมาย ชี้หาก 3 เดือนยังไม่ได้ตัว ให้ดำเนินคดีต่อทันที พร้อมนัดตรวจหลักฐาน 10 ก.ค.นี้

วันนี้(6 มี.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายไพโรจน์ วายุภาพ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีหมายเลขดำ อม.9/2551 กรณีแปลงค่าสัมปทานโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต พร้อมด้วยองค์คณะผู้พิพากษา 9 คน ได้ออกบัลลังก์นั่งพิจารณาคดีครั้งแรก ภายหลังนายเข็มชัย ชุติวงศ์ อัยการสูงสุด โจทก์ มอบอำนาจให้อัยการสำนักงานคดีพิเศษยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 21 พ.ย.60 ขอให้ศาลพิจารณานำคดีที่ได้ยื่นฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อายุ 69 ปี อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยตั้งแต่วันที่ 11 ก.ค.51 ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว, เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อประโยชน์สำหรับตัวเอง หรือผู้อื่น , เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152,157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 ,100 ,122

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพาสามิต ในยุคที่นายทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยการตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพาสามิต ( พ.ศ.2527) พ.ศ.2546 เอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่จำเลยมีส่วนได้เสีย ทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท

คดีนี้ เคยถูกจำหน่ายออกจากสารบบความชั่วคราวเพราะตัวจำเลยหลบหนีคดีโดยจำเลยถูกออกหมายจับตามขั้นตอนไปแล้ว และถูกนำขึ้นมาพิจารณาต่อ ตามกระบวนพิจารณา มาตรา 28 พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 ที่มีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งบัญญัติว่า เมื่อสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบโดยชอบแล้วจำเลยไม่มาศาลและได้ออกหมายจับแล้ว ถ้าไม่สามารถจับจำเลยได้ภายใน 3 เดือนนับแต่ออกหมายจับ ให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะตั้งทนายความมาดำเนินการแทนตนได้ และไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะมาต่อสู้คดีเมื่อใดก็ได้ ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา

สำหรับองค์คณะทั้ง 9 คน ประกอบด้วย นางอุบลรัตน์ ลุยวิกกัย รองประธานศาลฎีกา 1 , นายธนสิทธิ์ นิลกำแหง รองประธานศาลฎีกา คนที่ 2 , นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ รองประธานศาลฎีกา คนที่ 3 , นายโสภณ โรจน์อนนท์ รองประธานศาลฎีกาคนที่ 4 , นายวิชัย เอื้ออังคณากุล รองประธานศาลฎีกาคนที่ 5 ,นายพิศล พิรุณ ประธานแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา , นายไพโรจน์ วายุภาพ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานศาลฎีกา, นายประทีป เฉลิมภัทรกุล ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา , นายดิเรก อิงคนินันท์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานศาลฎีกา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อถึงเวลานัด อัยการโจทก์เดินทางมาศาล ขณะที่ฝ่ายจำเลยไม่มีผู้ใดมาศาล ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า อัยการโจทก์มาศาล โดยได้ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องในวันนี้ ส่วนจำเลยทราบนัดโดยชอบ แต่ไม่เดินทางมาและไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนนัดพิจารณาคดี จึงให้ออกหมายจับจำเลย โดยให้อัยการ โจทก์ติดตามดำเนินการจับกุมจำเลยและรายงานให้ศาลทราบทุกๆ 1 เดือน ทั้งนี้ จำเลยไม่เดินทางมาถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธไม่ได้กระทำผิดตามคำฟ้องโจทก์ จึงนัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 10 ก.ค.61 เวลา 9.30 น. และให้แจ้งนัดให้จำเลยทราบตามที่อยู่ในทะเบียนราษฎร์ที่แจ้งไว้ ที่ถนนจรัญสนิทวงศ์ หากไม่มีผู้รับให้ติดหมายนัดที่บ้านพักจำเลย

ทั้งนี้ ตามกฎหมายใหม่ หากออกหมายจับจำเลยภายใน 3 เดือนเเล้ว ไม่ได้ตัวจำเลยมา ให้เริ่มการพิจารณาคดีต่อได้


กำลังโหลดความคิดเห็น