“ประวิตร” ลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.สมุทรสาคร ติดตามปัญหาประมงผิดกฎหมาย-ค้ามนุษย์-แรงงาน ย้ำทำงานหนักร่วมกันทุกฝ่าย เร่งสะสางปัญหาเร่งด่วน เพื่อปลดล็อกให้ต่างประเทศยอมรับ
วันนี้ (5 มี.ค.) พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม เดินทางไปตรวจราชการในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ในการแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย การแก้ปัญหาค้ามนุษย์ และการคุ้มครองสวัสดิการแรงงาน อีกทั้งตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-แจ้งออกเรือประมง เขต 1 สมุทรสาคร ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของหลายส่วนราชการ เช่น กรมทรัพยากรชายฝั่ง กรมประมง กรมเจ้าท่า กองทัพเรือ หน่วยงาน ศรชล. และตำรวจน้ำ ในการควบคุมแจ้งเรือเข้าออก
โดยภาพรวมการแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายในพื้นที่ ตามแนวทางรัฐบาล มีความคืบหน้าไปมาก โดย 2 ปีที่ผ่านมา พบสัดส่วนการกระทำผิดของเรือประมงกลุ่มเสี่ยงลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผู้ประกอบการประมงให้ความร่วมมือด้วยดี ในการปรับการทำประมงให้ถูกต้องได้มาตรฐานตามกฎหมายกำหนด
พล.อ.ประวิตรได้กล่าวขอบคุณและให้กำลังใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ผ่านมา และย้ำต้องทำงานหนักร่วมกันทุกฝ่าย โดยให้ความสำคัญเร่งด่วนในเรื่องที่มีผลกระทบ ต่อการส่งออกสินค้าสัตว์น้ำและความเชื่อมั่นของประเทศ และขอให้ต้องคงความต่อเนื่องในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น กำหนดมาตรการป้องกัน ขจัดเงื่อนไขการทำประมงผิดกฎหมาย เพื่อยกระดับมาตรฐานการทำประมงให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยเน้นให้ความสำคัญ กับการตรวจสอบย้อนกลับ ซึ่งต้องไม่ให้มีการขนถ่ายแรงงานและปลาในทะเล รวมทั้งต้องให้การคุ้มครองแรงงานด้านสวัสดิการ ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์หรือมีการบังคับใช้แรงงานโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ทั้งเรือที่ต่ำกว่า 30 ตันกรอส และผู้ประกอบการที่เคยกระทำผิด
ขณะเดียวกัน ต้องเปิดโอกาสให้มีการทำงานกับองค์กรไม่ใช่ภาครัฐ (NGOs) ใกล้ชิดมากขึ้น ทั้งการลงพื้นที่และการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ถูกต้องร่วมกัน รวมทั้งการสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมกับประชาชนมากขึ้น
หลังจากนั้นได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จจังหวัด (One Stop Service) ณ โรงพยาบาลสมุทรสาคร ซึ่งมีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานในจังหวัดสมุทรสาครถึง 292,854 คน โดย พล.อ.ประวิตรได้ย้ำขอให้บูรณาการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของศูนย์ฯ และเร่งดำเนินการจดทะเบียนให้ทันภายใน มิ.ย. 61 พร้อมทั้งกำกับดูแลสวัสดิภาพแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานตามกฎหมายกำหนด