ศาลอุทธรณ์ยืนตามชั้นต้น ยกฟ้อง “เทพเทือก” หมิ่น “หมอเหวง” ย้ำพูดตามความจริง คิดเห็นโดยสุจริตไม่มีใส่ร้าย รับต้องสู้กันถึงฎีกา น้อมรับคำพิพากษา เหลือคดีกับ “กกต.-ธาริต” กปปส.ไม่ต้องห่วง
วันนี้ (27 ก.พ.) ที่ศาลอาญารัชดา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ เปิดเผยภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีที่ อ.1878/2558 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ว่าคดีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2554 สมัยที่ตัวเองยังดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีการจัดสัมมนาพรรคประชาธิปัตย์ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์
โดยผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศว่าจะปรองดองไม่แก้แค้น แต่มีการส่งคนเสื้อแดงและกลุ่มร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ลงสมัครรับเลือกตั้งในบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ผู้สื่อข่าวได้สอบถามความคิดเห็นถึงประเด็นดังกล่าวซึ่งตัวเองก็ได้ให้ความคิดเห็นไปตามข้อเท็จจริงที่ได้รับทราบในฐานะที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงในขณะนั้น ว่ากลุ่มคนเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย และกองกำลังติดอาวุธ เป็นพวกเดียวกันแยกกันไม่ออก มีวัตถุประสงค์ปฏิบัติการอย่างเดียวกัน แบ่งแยกหน้าที่กันทำ มีส่วนในการก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมืองมาก่อน การนำคนเสื้อแดงมาลงสมัครรับเลือกตั้งคงหวังที่จะให้ได้รับเอกสิทธิ์ในฐานะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. เพื่อให้มีผลในการต่อสู้คดี
โดยหลังจากนั้น แกนนำ นปช.ได้แก่นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนพ.เหวง โตจิราการและพรรคชาติไทย ได้ฟ้องตนในข้อหาหมิ่นประมาท มีการต่อสู้คดีเป็นเวลานาน และศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้อง เนื่องจากตัวเองได้ให้สัมภาษณ์ตามข้อมูลความเป็นจริงที่เกิดขึ้นที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และเป็นการให้ความคิดเห็นโดยสุจริต ไม่ได้มีการใส่ร้ายนอกเหนือไปจากข้อเท็จจริง
หลังจากนั้นก็ได้มีการอุทธรณ์คดีซึ่งผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น เนื่องจากเห็นว่าเป็นการให้สัมภาษณ์ตามข้อเท็จจริง มีหลักฐานนำเสนอต่อชัดเจน และไม่ได้พูดอะไรนอกเหนือไปจากนั้น เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริตตามข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติหน้าที่ จึงไม่มีความผิดในฐานหมิ่นประมาท รวมถึงความผิดฐานอื่นที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งว่าพูดเพื่อทำลายคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยและให้พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนเสียง โดยคาดว่าทางผู้ฟ้องอาจมีการยื่นฎีกาต่อศาล หลังจากนี้จึงจะต้องมีการต่อสู้คดีในชั้นฎีกาต่อไป
ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่ว่าศาลพิพากษาอย่างไรก็พร้อมน้อมรับคำพิพากษาของศาลซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง โดยเราด้วยตัวเองได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่
สำหรับคดีความของตัวเองนั้นในวันที่ 12 มีนาคมนี้จะเป็นการขึ้นศาลเพื่อต่อสู้คดีแพ่ง กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เรียกค่าเสียหายจำนวน 3,100 ล้านบาท จากการที่ขัดขวางการเลือกตั้งโดยมีตัวเอง นายถาวร เสนเนียม และประชาชน อีก 38 คน เป็นจำเลยร่วมกัน รวมถึงมีคดีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ในสมัยที่ยังดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ได้ฟ้องตัวเองในข้อหาผู้ก่อการร้ายกบฏ อั้งยี่ ซ่องโจรซึ่งคาดว่าอาจต้องใช้เวลาการต่อสู้คดี
ทั้งนี้ ขอขอบคุณสมาชิก กปปส.ที่มีความเป็นห่วง แต่ยืนยันว่าจะต่อสู้คดีให้ถึงที่สุดเพราะก่อนที่จะตัดสินใจมาเดินขบวนก็ทำใจแล้วว่าต้องถูกดำเนินคดี