MGR Online - อุทธรณ์ยืนยกฟ้อง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ให้สัมภาษณ์ปี 54 ระบุแกนนำ นปช.เอี่ยวเผาบ้านเผาเมืองและเป็นคนของพรรคเพื่อไทย ไม่หมิ่นประมาท และไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง ชี้จากข้อเท็จจริงพรรคเพื่อไทยส่งแกนนำเสื้อแดงลงสมัคร ส.ส.ลำดับต้นๆ กรณีการเผาห้าง-ศาลากลาง เป็นไปตามผลสอบสวนของดีเอสไอ จำเลยไม่ได้กล่าวข้อความเท็จ
เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (27 ก.พ.) ที่ห้องพิจารณาคดี 712 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีหมายเลขดำที่ อ.1878/2558 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. อายุ 69 ปี เป็นจำเลย ฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 และกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ตนเอง หรือผู้สมัครอื่น หรือพรรคการเมืองใด หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53
กรณีเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2554 นายสุเทพให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ช่วงก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2554 พาดพิง นพ.เหวง โตจิราการ, นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ทำนองว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย เผาบ้านเผาเมือง เชื่อว่าลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.เพื่อให้ได้เอกสิทธิ์คุ้มกันตนเองจากคดี และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพรรคเพื่อไทยแบ่งแยกไม่ได้ เป็นการหมิ่นประมาทด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ทำให้ผู้เสียหายและพรรคเพื่อไทยได้รับความเสียหาย ซึ่งกระทำในระหว่างช่วงหาเสียงทำให้เสื่อมเสียคะแนนนิยมทางการเมือง ทำให้จำเลยและพรรคประชาธิปัตย์ได้รับประโยชน์
คดีนี้ศาลชั้นตอนพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าการลงเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งนั้น พรรคเพื่อไทยก็จัดแกนนำ นปช.ไว้ในกลุ่มรายชื่อลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส.ไว้ในลำดับต้นๆ และได้รับเลือกตั้ง ส่วนที่นายสุเทพ จำเลย กล่าวถึงเหตุการณ์ชุมนุมที่มีการเผาศาลากลางจังหวัด และห้างสรรพสินค้า เมื่อปี 2553 ก็เป็นไปตามรายงานการสอบสวนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยขณะที่นายสุเทพกล่าวก็อยู่ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง รายงานสถานการณ์ให้ประชาชนทั่วไปรับทราบ การกระทำของจำเลยจึงไม่ได้เป็นการกล่าวข้อความอันเป็นเท็จ ไม่เป็นความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
วันนี้ นายสุเทพ จำเลย เดินทางมาศาลพร้อมทนายความและบุคคลใกล้ชิด
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ยื่นอุทธรณ์ว่าจำเลยทำให้ผู้เสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียงด้วยข้อความอันเป็นเท็จ โดยผู้เสียหายทั้งหมดเป็นพยานเบิกความทำนองว่า การให้สัมภาษณ์ดังกล่าวไม่ใช่การแสดงความคิดเห็น เป็นการยืนยันข้อเท็จจริง ทำให้คะแนนนิยมพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นคู่แข่งกับพรรคเพื่อไทยเพิ่มขึ้น ส่วนการกล่าวหาว่าเผาเมืองนั้น ผู้เสียหายไม่ได้ถูกดำเนินคดีฐานวางเพลิง แต่โดนข้อหาก่อการร้าย ขณะที่จำเลยต่อสู้ยืนยันข้อมูลที่ให้สัมภาษณ์ทำนองว่า ได้ศึกษาความเป็นมาของ นปช. และอดีตนายกฯ ที่มีการสั่งสมาชิกพรรคไปจัดตั้งมวลชน ซึ่งได้รับการสนับสนุนการเงินจากอดีตนายกฯ ชี้ชัดว่าผู้เสียหายเคลื่อนไหวทางการเมืองเป็นขบวนการ แบ่งหน้าที่กันทำ มีการก่อการร้าย ทำร้ายทหารและประชาชน ภายหลังแกนนำยุติการชุมนุมมีการเผาสถานที่ต่างๆ อัยการจึงมีคำสั่งฟ้องข้อหาก่อการร้าย
เมื่อพิเคราะห์พยานหลักฐานประกอบคำเบิกความ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าการให้สัมภาษณ์ของจำเลยในฐานะรองนายกฯ, ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับรู้จากการปฏิบัติหน้าที่ ประกอบกับข้อเท็จจริงที่อัยการยื่นฟ้องผู้เสียหายกับพวกเป็นผู้ต้องหาในข้อหาก่อการร้าย มีการปราศรัยของผู้เสียหายให้ไปรวมกันที่ศาลากลาง, เผาไปเลยพี่น้อง และที่นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำ นปช. ปราศรัยระบุว่าพกขวดแก้วคนละใบมาเติมน้ำมันเอาข้างหน้า กทม.เป็นทะเลเพลิงอย่างแน่นอน ประกอบคำเบิกความของพนักงานสอบสวนดีเอสไอว่าแกนนำ นปช. เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ระดมมวลชนเข้ามาเป็นขบวนการ ซึ่งได้สอบสวนเสร็จสิ้นและสั่งฟ้อง ข้อเท็จจริงที่จำเลยให้สัมภาษณ์จึงเป็นไปตามที่รับรู้รับทราบ มีสื่อมวลชนแพร่หลายไปทั่วโลก พยานหลักฐานจำเลยมีน้ำหนักมั่นคง จำเลยแสดงความคิดเห็นทางการเมืองโดยสุจริต ไม่มีการเสริมแต่ง ไม่ถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทผู้เสียหายด้วยความเท็จและไม่ได้จูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้ตนเองและพรรคประชาธิปัตย์ หรือไม่ให้เลือกผู้เสียหาย จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
ภายหลังนายสุเทพกล่าวว่า คดีนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือน พ.ค. 2554 ตอนนั้นผมยังเป็นเลขาฯพรรคประชาธิปัตย์ และมีการจัดสัมมนาพรรคประชาธิปัตย์ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ผู้สื่อข่าวก็ได้สัมภาษณ์เรื่องที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศว่าจะปรองดอง ไม่แก้แค้น แต่ขณะเดียวกันก็ได้ส่งแกนนำ นปช.ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย และผู้สื่อข่าวก็ได้สอบถามความคิดเห็นของตน ซึ่งก็ให้ความคิดเห็นไปตามข้อเท็จจริงที่ได้รับรู้ รับทราบในฐานะที่เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงในขณะนั้นว่า คนเสื้อแดงพรรคเพื่อไทย กองกำลังติดอาวุธเป็นพวกเดียวกัน แยกกันไม่ออก มีวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติการและแบ่งแยกหน้าที่กันทำ มีส่วนในการก่อการร้าย เผาบ้านเผาเมือง การที่เอาแกนนำคนเสื้อแดงมาลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อก็เพื่อมุ่งหวังที่จะให้ได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองทางการเมือง
นายสุเทพกล่าวต่อว่า นายจตุพร, นายณัฐวุฒิ, นพ.เหวง และพรรคเพื่อไทย ก็ได้มาฟ้องว่าตนหมิ่นประมาท ได้ต่อสู้คดีกันมานาน โดยศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้เหตุผลว่าตนพูดไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรัฐบาลและเป็นการให้ความคิดเห็นโดยสุจริต ไม่ได้ใส่ร้ายหรือพูดนอกเหนือข้อเท็จจริง จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท รวมทั้งความผิดที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ที่อ้างว่าเป็นการทำลายคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทย คิดว่าคงจะต้องสู้คดีกันอีกในชั้นศาลฎีกา เพราะคาดว่าทางฝ่ายโจทก์ก็คงจะไม่ลดละหรือยกเลิกกับตนง่ายๆ ก็คงต้องพัวพันอยู่กับคดีความเช่นนี้
เมื่อถามว่า พอใจกับผลคำพิพากษาที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ทำใจมาตั้งแต่อยู่ที่บ้านแล้ว ไม่ว่าศาลจะพิพากษาอย่างไรก็พร้อมน้อมรับคำพิพากษาของศาล ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานข้อเท็จจริง ขอเรียนว่าในช่วงนี้มีคดีความเยอะมาก โดยวันที่ 12 มี.ค.ก็จะต้องมาศาลในคดีแพ่ง ที่ กกต.ฟ้องแพ่งกล่าวหาว่าตนและแกนนำ กปปส.ขัดขวางการเลือกตั้ง ทำให้เสียงบประมาณ เรียกค่าเสียหาย 3 พันกว่าล้านบาท อีกคดีเป็นคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สมัยนายธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นอธิบดีฯ สรุปสำนวนส่งให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้องข้อหาเป็นกบฏ ผู้ก่อการร้าย ซึ่งจะต้องสู้คดีกันอีกนาน อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันกับพี่น้องประชาชน กปปส.ว่าอย่าได้เป็นห่วงเป็นกังวลพวกตน ขอบคุณความห่วงใย พวกตนจะต่อสู้คดีให้ดีที่สุด เราเจตนาดีต่อบ้านเมืองและมั่นใจในสิ่งที่ได้ทำไป ก่อนที่เราจะตัดสินใจออกมาร่วมชุมนุมเมื่อปี 2556-57 ก็ทำใจแล้วว่าอาจจะถูกดำเนินคดีขึ้นโรงขึ้นศาล อาจจะเสียเลือดเนื้อเสียชีวิต เรื่องเหล่านี้ก็ตั้งใจมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าเป็นยังไงก็เป็นกัน ยืนยันจะต่อสู้ทุกคดี ไม่หลบหนี
เมื่อถามว่า ช่วงนี้มีกระแสข่าวว่าจะจัดตั้งพรรคการเมือง ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายสุเทพกล่าวว่า ได้ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่ปี 2556 เพื่อมาทำงานรับใช้ประชาชนในทางการเมือง ประกาศตัวเป็นผู้รับใช้ประชาชน และเป็นแกนนำต่อสู้กับระบอบทักษิณ ปี 2556-57 มีผลต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ ก็เป็นธรรมดาที่ต้องมีคนคาดคิดเอาว่าตนจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ให้ความเคารพทุกคน ไม่ว่าจะพูดออกมาตรงกับข้อเท็จจริงหรือผิดกับข้อเท็จจริง ถือว่าเป็นเรื่องของแต่ละคนที่พูดตามความเข้าใจ แต่เรื่องจริงในขณะนี้ก็คือ ตนต้องก้มหน้าก้มตาสู้คดี ยังไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่รอด เช่น วันนี้ถ้าศาลพิพากษามีความผิดก็ต้องถูกจำคุกหรือไปยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวขอสู้คดีในชั้นศาลฎีกา ซึ่งยังมีคดีทำนองนี้อีกหลายคดี อย่างไรก็ตาม ตนได้ปวารณาตัวแล้วว่าชีวิตที่เหลืออยู่นี้ อีก 10 ปีก็จะอายุ 80 ปีแล้ว ก็จะใช้เวลาช่วงนี้อุทิศชีวิตทำงานเพื่อประชาชน รับใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันศาสนา จะไม่กลับไปเป็นนักการเมือง หรือลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. หรือมีตำแหน่งทางการเมืองหรือเข้าร่วมรัฐบาลใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ไปเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกฯ ไม่เป็นแม้แต่เป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง แต่ขอยืนยันว่าจะไม่ทิ้งความรับผิดชอบภาระหน้าที่ในฐานะที่เป็นประชาชนคนไทยที่จะต้องรับผิดชอบบ้านเมือง เพราะเป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคนที่จะต้องช่วยกันดูแลบ้านเมืองให้ปลอดภัย เราจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ประเทศไทยปลอดภัย
เมื่อถามว่า ตกลงจะสนับสนุนให้มีการจดทะเบียนพรรคการเมือง กปปส.หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ยังไม่ได้ทำ และที่ถามเกี่ยวกับ นพ.ระวี มาศฉมาดล หรือใครก็ไม่เกี่ยวกับตน ไม่มีการทาบทามใดๆ จุดยืนของตนก็คือเป็นผู้รับใช้ประชาชน ประชาชนจะให้ทำอย่างไรในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อให้บ้านเมืองอยู่รอดปลอดภัยก็ยินดีทั้งนั้น โดยส่วนตัววันนี้ยังยืนยันสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาล
เมื่อถามว่า มีความเป็นไปได้ที่ในโอกาสข้างหน้า มวลมหาประชาชนจะมีการตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใช่หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า เป็นไปได้ทั้งนั้น อยู่ที่พี่น้องประชาชนทั้งหลายว่าจะประเมินและมีความคิดความอ่านต่อสถานการณ์บ้านเมืองอย่างไร และคิดว่าตัวเองจะต้องทำอะไร ซึ่งเป็นเรื่องของประชาชน
“เพื่อให้เข้าใจตรงกันขอเรียนว่า 1. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะส่วนตัวยังคงเชื่อมั่นในรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าจะเป็นผู้นำที่ดี เป็นนายกรัฐมนตรีที่ดี แก้ไขปัญหาของประเทศชาติได้ และผมก็ฝากความหวังไว้กับ พล.อ.ประยุทธ์ ค่อนข้างมาก 2. ในฐานะที่เคยเป็นเลขาฯ กลุ่ม กปปส. ผมยืนยันว่า กปปส.ไม่ได้ยึดติดกับตัวบุคคล สิ่งที่ กปปส.หรือมวลมหาประชาชนเรียกร้องต้องการ คือ การปฏิรูปประเทศไทย ต้องการให้เห็นการปฏิรูปการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย ทั้งเรื่องปัญหาความเหลื่อมล้ำ การศึกษา เรื่องสาธารณสุข การปราบปรามคอร์รัปชัน เรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน เรื่องปฏิรูปตำรวจ เพราะเราไม่ต้องการให้วงจรชั่วร้ายกับการเมืองที่เคยเจออยู่นี้มาปรากฏขึ้นอีก เพราะจะทำให้ประเทศชาติเสียหาย อันนี้คือจุดยืนของมวลมหาประชาชนที่ยังยืนยันเจตนารมณ์เช่นเดิม” อดีตเลขาฯ กปปส.กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า แม้ยังไม่มีแนวทางการจัดตั้งพรรคการเมือง แต่ก็มีพรรคการเมืองที่แสดงเจตนาว่าสนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะไปสนับสนุนพรรคการเมืองเหล่านั้นหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ยังไม่เคยติดต่อกับพรรคการเมืองเหล่านั้นเลย และก็ยังไม่เห็นว่ามีใครบ้างไปจดทะเบียนพรรคการเมือง ในส่วนของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน นั้นก็เคยร่วมต่อสู้กันมา บุคคลเหล่านี้มีเจตนาดีต่อบ้านเมือง ก็เอาใจช่วย ใครก็ตามที่จะมาตั้งพรรคการเมืองใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชนก็เชียร์และเอาใจช่วยทั้งนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า ดูเหมือนว่าการบริหารขอรัฐบาลที่ผ่านมาจะผิดฝาผิดตัวไปจากที่คาดหวังหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า เอาเป็นว่าหนังยังไม่จบ อย่าเพิ่งไปตัดสินว่าจะให้รางวัลหรือไม่ให้รางวัล ตนก็พยายามระมัดระวังทำหน้าที่เป็นประชาชนที่ดี แล้วก็ให้กำลังใจ พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช. และเรียนท่านว่าประชาชนคาดหวังอย่างไร ส่วนท่านจะทำอย่างไรก็ต้องติดตามกันต่อไป