xs
xsm
sm
md
lg

“รสนา” ชี้ไทยถอนตัวองค์กรความโปร่งใสเพราะนาฬิกาฉาว เหตุบางคนไม่อยากเห็น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

น.ส.รสนา โตสิตระกูล (แฟ้มภาพ)
อดีต ส.ว.กทม.ย้อนทุกรัฐบาลไม่เคยสนขยับดัชนีชี้วัดความโปร่งใสไทยให้ดีขึ้น มีแต่จัดอีเวนต์ปราบโกงทุกปี ย้อน “ประยุทธ์” ประกาศไม่ทนคอร์รัปชัน แต่กรณี “ประวิตร” ดันบอกเรื่องส่วนตัว ยกวาทกรรมโบราณ ผู้มีอำนาจไม่กล้าจัดการโกงเพราะลูบหน้าปะจมูกตัวเอง ชี้ไทยถอนตัวองค์กรความโปร่งใสนานาชาติ จนถูกวิจารณ์เพราะบางคนไม่อยากเห็น

วันนี้ (25 ม.ค.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล หนึ่งในแกนนำ คปพ. และอดีต ส.ว.กทม. ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “รสนา โตสิตระกูล” หัวข้อเรื่อง “การปราบปรามคอร์รัปชันต้องเป็นเจตจำนงทางการเมือง”

โดยระบุว่า ประเทศไทยเริ่มรายงานดัชนีความโปร่งใสขององค์กรความโปร่งใสนานาชาติ มาตั้งแต่ปี 2538 ขณะนั้นไทยได้คะแนน 3.8 เต็ม10 แสดงว่าเรายังสอบตกเรื่องความโปร่งใส แต่หลังจากนั้นคะแนนความโปร่งใสของเราก็ไม่กระเตื้องขึ้น ยังคงวิ่งขึ้นลงอยู่ระดับนี้ เราไม่เคยได้คะแนนถึง 5 เต็ม10 ที่ถือว่าสอบผ่านแบบคาบเส้นเลยตลอด 22 ปีที่ผ่านมา

ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาก็ไม่เคยสนใจว่าจะขยับฐานะดัชนีชี้วัดความโปร่งใสของไทยให้ดีขึ้นได้อย่างไร สิ่งที่รัฐบาลทำก็เป็นเพียงจัดงานอีเวนต์ (Event) ปีละครั้งในวันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี หลังจากนั้นก็ไม่มีกิจกรรมใดที่ทำให้เกิดการร่วมไม้ร่วมมือกับเครือข่ายของประชาชนหรือมีการปราบปรามกวาดล้างการคอร์รัปชันในวงการเมืองและวงราชการอย่างจริงจังเหมือนผู้นำประเทศจีนที่จัดการกับคนระดับสูงในพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นรัฐบาลพรรคเดียวแบบรัฐบาล คสช.

การปราบปรามการทุจริตในวงการเมืองและภาคราชการต้องเป็นเจตจำนงทางการเมือง เพราะการทุจริตเกิดขึ้นเมื่อมีการใช้อำนาจ และการใช้อำนาจในระดับสูงย่อมเกิดการทุจริตที่ยากแก่การตรวจสอบ

“ท่านนายกฯ ประยุทธ์เพิ่งประกาศนโยบาย หรือคำขวัญ เมื่อเดือนที่แล้ว (วันที่ 9 ธันวาคม 2560) ว่า “ประชาชนจะไม่ทนต่อการคอร์รัปชันอีกต่อไป” (Zero Tolerance) พอมาเกิดเหตุกับพล.อ ประวิตร เรื่องนาฬิกาฉาว ท่านก็พูดว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับการใช้งบประมาณแผ่นดิน” !!??

ดิฉันเคยมีประสบการณ์ร่วมกับเครือข่ายองค์กรเอกชนสาธารณประโยชน์ 30 องค์กรตรวจสอบการทุจริตจัดซื้อยาเเละเวชภัณฑ์ 1,400 ล้านบาทของกระทรวงสาธารณสุขเมื่อปี 2541 และสามารถกล่าวหาอดีตรัฐมนตรีสาธารณสุขเรื่องร่ำรวยผิดปกติต่อ ป.ป.ช. ซึ่ง ป.ป.ช.รับลูกและสอบจนสามารถส่งฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และศาลมีคำสั่งว่าอดีตรัฐมนตรีร่ำรวยผิดปกติ ไม่สามารถแจงที่มาของทรัพย์สินที่เพิ่มมา 233.8 ล้านบาท จึงถูกศาลสั่งให้ยึดทรัพย์ 233.8 ล้านบาทให้ตกเป็นของแผ่นดิน

และในเงินที่ร่ำรวยผิดปกตินั้น มีหลักฐานว่ามีการรับสินบน 5 ล้านบาทจากบริษัทยาเอกชนรายใหญ่ซึ่งเป็นสินบนที่จ่ายเพื่อให้รัฐมนตรีสั่งยกเลิกราคากลางยา ทำให้เปิดเพดานในการซื้อยาและเวชภัณฑ์ราคาแพงกว่าความเป็นจริงได้ กรณีรับสินบนของอดีตรัฐมนตรีท่านนี้ถูกศาลฎีกาฯสั่งจำคุก 15 ปี ซึ่งเป็น 2 คดีแรกของ ป.ป.ช.ที่สามารถฟ้องเอาผิดคนระดับในรัฐมนตรีในคดีร่ำรวยผิดปกติ และคดีรับสินบน จนสามารถทั้งยึดทรัพย์ และจำคุกรัฐมนตรีท่านนั้นในปี 2546 และ 2547 ตาม พ.ร.ป.ป.ป.ช. 2542

การที่ ป.ป.ช.บัญญัติข้อห้ามที่ไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งและข้าราชการรับทรัพย์สินอื่นใดเกิน 3,000 บาทเพื่อป้องกันไม่ให้มีการรับสินบนที่จะนำไปสู่การใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ให้บุคคลผู้ให้ประโยชน์อื่นใดแก่ข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ซึ่งในที่สุดจะเข้ามาเกี่ยวกับเงินแผ่นดินจนได้ หรืออาจนำมามาสู่การออกใบอนุญาตให้รีดนาทาเร้นประชาชนผ่านราคาสินค้าและบริการที่สูงเว่อร์เกินเหตุ คนโบราณจึงเรียกการทุจริตคอร์รัปชันว่า “การฉ้อราษฎร์บังหลวง” และคนโบราณก็มีวาทกรรมคำว่า “ลูบหน้าปะจมูก” เข้ามาประกอบด้วย ถ้าผู้มีอำนาจไม่จัดการกับข้อครหาเรื่องคอร์รัปชัน เพราะลูบหน้าแล้วเจอจมูก เลยไม่กล้าตัดจมูกเพราะเป็นจมูกของตัวเอง การฉ้อราษฎร์บังหลวงก็จะเกิดขึ้นได้โดยไม่มีการแก้ไขนั่นเอง

การประกาศถอนตัวของ TI ประเทศไทยจากการเป็นสมาชิกองค์กรความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International/TI) ในครั้งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางข้อครหาเรื่องนาฬิกาหรูของตำแหน่งเบอร์ 2 ในรัฐบาล คสช. ย่อมทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์มากมายว่าใครบางคนคงไม่ต้องการเห็นตัวเลขดัชนี “ความไม่โปร่งใสของประเทศไทย” ให้ระคายเคืองตาและเคืองใจกระมัง ใช่หรือไม่”


กำลังโหลดความคิดเห็น