อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อประชาธิปัตย์ ค้านตำรวจเกณฑ์ อ้างทำชาวบ้านเดือดร้อน ไร้หลักเกณฑ์วัดการลุแก่อำนาจ ชี้ตัวอย่างตำรวจบ้านออกนอกลู่ เชื่อมีนัยการเมือง ใช้เป็นเครื่องมือ แนะทีมปฏิรูปดูประเทศที่เจริญแล้ว
วันนี้ (5 ธ.ค.) นายถวิล ไพรสณฑ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีประธานคณะอนุกรรมการสื่อสารกับสังคมในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) ออกมาระบุว่าคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจจะเสนอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ใช้ตำรวจเกณฑ์ในลักษณะเดียวกับทหารเกณฑ์ วาระ 2 ปี ใช้เวลาอบรมก่อนทำงาน 2-4 เดือน ให้ดูแลรักษาความปลอดภัยประชาชนหรือแล้วแต่งานที่ผู้บังคับบัญชาในแต่ละ สน.พื้นที่จะกำหนดให้ โดยขณะปฏิบัติหน้าที่ต้องมีตำรวจอาชีพร่วมอยู่ด้วยนั้นว่า ในฐานะที่ติดตามเรื่องการปฏิรูป ส่วนตัวไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับข้อเสนอและวิธีการเช่นนี้ เพราะเกรงว่าสุดท้ายแล้วประชาชนจะเดือดร้อนหนักกว่าเดิม เนื่องจากตำรวจที่จะเกณฑ์มามีจำนวนนับหมื่นนายทั่วประเทศ ที่สำคัญคือการคัดคนเข้าสู่การบังคับใช้กฎหมายที่มีอำนาจและมีกฎหมายรองรับ จริงอยู่แม้จะมีการอบรมก่อนรับเข้าทำงาน แต่ก็ไม่มีหลักเกณฑ์ใดที่จะใช้วัดหรือตรวจสอบว่าเมื่อคนเหล่านี้เข้ามาเป็นตำรวจเกณฑ์แล้วจะไม่ลุอำนาจ ใช้อำนาจหน้าที่ในเครื่องแบบกระทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ เมื่อเทียบกับเวลา 2-4 เดือนที่อบรมจึงไม่มีหลักประกันใดรับรองว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนจะถูกละเมิด หรือใช้อำนาจเกินขอบเขต เพราะมีตัวอย่างคือ ตำรวจอาสา หรือตำรวจบ้านที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ละ สน.พื้นที่ตั้งขึ้นให้ช่วยงานเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังลุอำนาจใช้อาวุธทำร้ายร่างกายประชาชนบาดเจ็บ สร้างความเดือดร้อนให้เห็นอยู่เป็นประจำ แม้แต่ตำรวจอาชีพเองที่มีระเบียบ กฎหมาย มีสายงานการบังคับบัญชาของต้นสังกัดก็ยังมีการประพฤติออกนอกลู่นอกทางเป็นจำนวนมากให้ปรากฏทางสื่อ
“ผมเห็นว่าข้อเสนอดังกล่าวนี้น่าจะมีนัยทางการเมืองแอบแฝง เพราะรัฐบาล คสช.ยังยืนยันประกาศว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในปลายปี 2561 ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีการใช้ตำรวจเกณฑ์เหล่านี้เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองก็เป็นได้ ทั้งนี้ เรื่องข้อเสนอให้มีตำรวจเกณฑ์นี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเมื่อปี 2558 สมัยที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็น ผบ.ตร.ก็เคยให้ข่าวว่ากำลังจะเสนอกฎหมายให้มีตำรวจเกณฑ์เข้ามานับราชการและช่วงงานเจ้าหน้าที่ แต่ทันทีที่เรื่องนี้ปรากฎเป็นข่าวก็ถูกสื่อมวลชนและสังคมวิพากษ์วิจารณ์คัดค้านเรื่องดังกล่าวจนเงียบหายไป กระทั่งมาโผล่อีกครั้งในคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจยุครัฐบาล คสช. สำหรับคนที่ติดตามและศึกษาเรื่องการปฏิรูปประเทศ หรืองานปฏิรูปต่างๆ ผมมองว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปตำรวจแต่อย่างใด เพราะหลักสากลนิยมในทางปฏิบัติ หัวใจของงานการปฏิรูปคือ การลดโครงสร้างอำนาจรัฐ และเพิ่มอำนาจประชาชนด้านต่างๆ โดยไม่มีการรวมศูนย์อำนาจเหมือนกองทัพ อยากให้คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจชุดนี้ดูตัวอย่างของประเทศที่ทำการปฏิรูปสำเร็จแล้ว โดยดูอารยะประเทศที่เจริญแล้ว ไม่ใช่ดูแต่เรื่องผลประโยชน์ จึงไม่อยากให้การปฏิรูปครั้งนี้หลงทางโดยการปฏิรูปเพื่อตัวเองอีก” นายถวิลกล่าว