เมืองไทย 360 องศา
คิดว่าไม่ใช่เหนือความคาดหมายที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องเจอกับมรสุมลูกใหญ่นับจากนี้เป็นต้นไป โดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้าย หรือปีสุดท้ายก่อนเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งตามโรดแมป ตามเวลาที่เหลืออีกเพียงปีเศษ ซึ่งแน่นอนว่า โรดแมปดังกล่าวคงไม่มีทางขยับเลื่อนออกไปอีก เพราะมีการประกาศอย่างเป็นทางการไปแล้ว ขืนตุกติกมีอันต้องเสียคน และจบไม่สวยแน่
ขณะเดียวกัน รับรู้กันอยู่แล้วว่าที่ผ่านมา บ้านเมืองอยู่ในช่วงพระราชพิธีสำคัญ ทุกอย่างจึงสงบนิ่ง ซึ่งทุกฝ่ายก็เข้าใจดี แต่เมื่อถึงวันที่ต้องเดินหน้า ทุกอย่างก็เริ่มขยับทันทีเหมือนกัน เท่าที่เห็นในตอนนี้ก็เป็นสัญญาณต่อเนื่องมาจากฝ่ายการเมืองว่านับจากนี้ไปจะต้องมีการเคลื่อนไหวกันแบบเต็มรูปแบบ นั่นก็เท่ากับว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐบาลของเขา รวมไปถึงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะต้องถูกตรวจสอบ ถูกวิจารณ์อย่างเข้มข้นแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อนในช่วง 3 ปีกว่าที่ผ่านมา
ความเคลื่อนไหวแรกเท่าที่เห็นทันที ก็คือ เสียงเรียกร้องหรือจะกล่าวกันแบบตรงๆ ก็คือ เสียงกดดันให้ “ปลดล็อก” คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อนุญาตให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมทางการเมืองได้ตามปกติ แรงกดดันดังกล่าวมาจากพรรคเพื่อไทย และก็คงหมายรวมไปถึงพรรคการเมืองอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ต้องการทำกิจกรรม ต้องมีการสำรวจตรวจสอบสมาชิกพรรค การเรียกประชุมพรรค ซึ่งก็มีเหตุผลในเรื่องเงื่อนไขเวลา 90 วัน กำหนดเอาไว้หลังจากที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองมีผลบังคับใช้แล้ว ขณะเดียวกัน เมื่อพระราชพิธีสำคัญผ่านไปแล้วทั้งรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปิดกั้นในเรื่องห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง เพราะถึงอย่างไรก็ต้องมีการเลือกตั้งอยู่ดี จะโยกโย้อีกต่อไปไม่ได้
แต่ปัญหาก็คือเมื่อมีการ “เปิดฟรี” ให้ทำกิจกรรม มันก็ต้องไฟเขียวให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองกันได้ทั่วประเทศ แม้ว่าที่ผ่านมาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เครดิตของพวกนักการเมืองจะค่อนข้างติดลบ แต่ขณะเดียวกัน เครดิตของพวกคสช. หรือแม้แต่ตัวผู้นำอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ช่วงหลังก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ และเชื่อว่าหลังจากนี้ น่าจะเจอ “หนักๆ” อีกหลายดอก ก็น่าหนักใจเหมือนกัน โดยเฉพาะจากพวก “ตัวถ่วง” รอบข้างที่ต้อง “อุ้มกระเตง” กันมานาน
ที่ต้องจับตากันก็คือ หลังจากช่วง “น้ำลด” ที่จะต้องมี “งบประมาณฟื้นฟู” ช่วงนี้แหละถือเป็นช่วง “นาทีทอง” ซึ่งเชื่อขนมกินล่วงหน้าได้เลยว่าต้องมีรายการอื้อฉาวทุจริตเกิดขึ้นกับเรื่องแบบนี้เป็นประจำทุกครั้งจนน่ารำคาญ เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับทุกโครงการของรัฐบาล ปีนี้ก็ให้จับตาดูให้ดีก็แล้วกัน ว่าจะเกิดขึ้นกับหน่วยงานไหน ของกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สัญญาณหนักหน่วงอีกรายการหนึ่งที่ถูกกดมานาน ก็คือ “ราคายางพาราตกต่ำ” ที่ก่อนหน้านี้เกษตรกรเหมือนกับพยายาม “กลืนเลือด” อยู่ตลอดเวลา ล่าสุด แม้แต่ “คนกันเอง” อย่าง ถาวร เสนเนียม อดีตแกนนำ กปปส. และอดีตรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์คนใกล้ชิด สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขา กปปส. ที่ชูมือหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มานานก็ยังต้องออกมาเคลื่อนไหวเพื่อรักษาคะแนนเสียงด้วยการกระทุ้งให้รัฐบาลเร่งแก้ไข “ราคายางพาราตกต่ำ” อย่างจริงจัง นั่นก็แสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมามาตรการในการแก้ปัญหายังไม่ได้ผล หรือยังไม่ทำให้ชาวบ้านพอใจ
อีกทั้งน่าสังเกต ก็คือ การเคลื่อนไหวคราวนี้ของ ถาวร เสนเนียม ยังกดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่งการให้หน่วยงานราชการนำยางพาราไปใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม และยังเป็นการดูดซับส่วนเกินของปริมาณยางพารา เป็นการยกระดับราคายางพาราแบบยั่งยืน และที่ผ่านมามีการสั่งให้ตั้งนิคมยางพาราที่จังหวัดสงขลา มีการมอบหมายให้กรมทางหลวงใช้ยางพารามาผสมในการราดยางทำถนน ซึ่งมีการวิจัยยืนยันว่ามีคุณภาพดี รวมไปถึงหน่วยงานราชการอื่นๆ นำยางพาราไปใช้
แต่ล่าสุดการที่ ถาวร เสนเนียม ยังออกมาจี้ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกคำสั่งให้หน่วยงานราชการนำยางพาราไปใช้เป็นส่วนผสมอย่างจริงจัง และให้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ นั่นก็แสดงให้เห็นว่า ที่ผ่านมายังไม่ได้ดำเนินการในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ความหมายคือทำแบบ “ไฟไหม้ฟาง” นั่นคือเมื่อชาวสวนยางขู่ว่าจะออกมาชุมนุมประท้วง ก็จะตื่นตัวกันครั้งหนึ่งตามแบบระบบราชการ “เช้าชามเย็นชาม” ทุกครั้ง และหากสถานการณ์ราคายางยังตกต่ำเช่นนี้ เชื่อว่าอีกไม่นาน ก็คงมีการเคลื่อนไหวของเกษตรกรหลังจากที่อดทนมานาน และแน่นอนว่า เป้าหมายก็ย่อมอยู่ที่ “จุดอ่อน” คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ของ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ “เพื่อนรัก” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่อุ้มกันมานาน
หากพิจารณาตามสถานการณ์ ถือว่านับจากนี้ไปเข้าสู่โหมดปกติที่จะต้องมีแรงกดดันเข้ามาทุกทิศทางแบบ “มรสุมลูกใหญ่” กดทับเข้ามาพร้อมๆ กัน จนทำให้มีการคาดเดากันก่อนหน้านี้ ในช่วงเวลาโค้งสุดท้ายแบบนี้ มีความเป็นไปได้เหมือนกันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะปรับคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง เพื่อรองรับการเลือกตั้งในเวลาที่เหลืออีกปีกว่า ซึ่งจะต้องเน้นเป้าหมายเฉพาะ “มือวาง” ส่วนพวกเพื่อนพ้องน้องพี่ที่ผ่านมาถือว่าได้ตอบแทนกัน “จนอิ่ม” แล้วก็น่าจะถึงเวลาโละหรือนำไป “ขึ้นหิ้ง” ในตำแหน่งที่ไม่ต้องบังคับบัญชามากนัก
อย่างไรก็ดี นาทีนี้ถือว่า “มรสุมลูกใหญ่” กำลังตั้งเค้ารอถล่มพร้อมกันทุกทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นการเมืองที่ถึงเวลาต้อง “ปลดล็อก” ให้ทำกิจกรรม ซึ่งแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็น่าเวียนหัว และยังต้องผสมกับเรื่องปากท้อง ราคาสินค้าเกษตรสำคัญยังตกต่ำถือว่าเป็นศึกหนักที่ใกล้ปะทุเต็มที ดังนั้นแม้ว่าถึงเวลาจะต้องปรับคณะรัฐมนตรีหรือไม่ก็ตาม ถึงตอนนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็อ่วมอยู่ดี !!