เมืองไทย 360 องศา
สังเกตเหมือนกันหรือไม่ว่า ในช่วง 1 - 2 เดือน ที่ผ่านมา ได้เห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างที่เกิดขึ้นกับรัฐบาล และ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นคือ ได้เกิดกระแสโจมตี วิพากษ์วิจารณ์หนักหน่วงรุนแรง และถี่ยิบขึ้นมาเรื่อยๆ และที่น่าจับตา ก็คือ เป็นการเคลื่อนไหวโจมตีจากสารพัดกลุ่ม หรือจากบุคคลที่ก่อนหน้านี้วางท่าทีเงียบๆ เฉยๆ แต่ในเวลานี้กลับร่วมวงถล่มกันเข้ามาแบบไม่เกรงใจ
ขณะเดียวกัน บรรดา “จุดอ่อน” และ “ตัวถ่วง” ที่เคยมีมาอย่างไร จนถึงบัดนี้ก็ยังอยู่ครบไม่ได้เปลี่ยนแปลง มิหนำซ้ำ ยังขยันทำแต้มลบใส่ตัวและรัฐบาลรวมไปถึงตัวผู้นำ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มากขึ้นทุกวัน ประกอบระยะเวลาผ่านมากว่า 3 ปี มันก็ได้เวลาที่ต้อง “ซักฟอก” กันให้เต็มที่แล้ว
แน่นอนว่า ฝ่ายตรงข้ามต้องใส่กันไม่ยั้งอยู่แล้ว ส่วนฝ่ายที่เคยมองแบบกลางๆ ที่มีอยู่จำนวนไม่น้อย กลุ่มนี้แหละน่ากลัว เพราะคนกลุ่มนี้ไม่ได้เชียร์กันแบบแฟนคลับ หรือโจมตีกันทุกเรื่อง แต่ที่น่าจับตาก็คือ ฝ่ายสนับสนุนหรือพวกแห่เชียร์ที่เคยติดตามมาตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ หากสำรวจอารมณ์ความรู้สึกผ่านทางผลสำรวจ หรือโพลหลายสำนักตรงกันว่าคนกลุ่มหลังนี่แหละที่เริ่มลดลง ออกไปทางผิดหวัง
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ก็คือ ในช่วงเดือนตุลาคมเป็นช่วงพระราชพิธีสำคัญที่คนไทยทุกคนต่างพร้อมใจมุ่งกันไปทางเดียว แต่เมื่อช่วงเวลาสำคัญดังกล่าวผ่านพ้นไป หรือผ่านช่วงเดือนตุลาคมไปแล้วนั่นแหละถือว่าน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง ว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะรับมืออย่างไรบ้าง เพราะเมื่อพิจารณาจากจุดอ่อน และ “ตัวถ่วง” ที่ยังขยันทำแต้มลบอยู่แบบนี้ก็ระวังให้ดีแล้วกันว่าถึงตอนนั้นจะเอาอยู่หรือไม่
อย่าคิดว่ามีกำลังความมั่นคงทั้งสามเหล่าทัพ บวกด้วยกองทัพตำรวจ มันก็คงเอาไม่อยู่หากมีแต่เรื่องลบ เรื่องอื้อฉาวผุดออกมาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างที่เห็นในเวลานี้ ก็คือ “ป.ป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่กำลังถูกวิจารณ์หนักข้อขึ้นทุกวันกับข่าวการจัดซื้อ “เครื่องตรวจจับความเร็ว” แบบพกพาจำนวน 849 เครื่อง ด้วยวงเงินงบประมาณ กว่า 573 ล้านบาท ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
และแม้ว่าจะมีคำอธิบายออกมาหลังจากมีเสียงโวยวายถึงความ “ผิดปกติ” ทั้งในเรื่องของราคาที่ถูกมองว่าสูงเกินจริง จนถูกล้อเลียนในทำนองว่าเป็นเครื่องที่มี “สเปกเทพ” จากเดิมที่อ้างว่าราคาเครื่องละกว่า 8 แสน แต่ก็ลดลงมาเหลือเครื่องละ 675,000 บาท และยังอ้างว่า ยังอยู่ในขั้นตอนของการตั้งคณะกรรมการจัดซื้อ หรือราคาดังกล่าวเป็นเพียงตั้งราคากลางอะไรประมาณนั้น แต่ถึงอย่างไร เมื่อมีการตรวจสอบรุ่น ราคา ในตลาดกลับพบว่าเคยมีการจัดซื้อราคาเครื่องละไม่ถึงแสน หรืออย่างมากก็แสนกว่า
นอกเหนือจากนี้ ยังมีเสียงวิจารณ์ด้วยความสงสัยตามมาอีกเรื่อง ก็คือ ทำไมถึงต้องให้ ปภ. ตั้งงบขึ้นมาจัดซื้อเพื่อไปแจกจ่ายให้กับหน่วยงานอื่นนำไปใช้ เช่น จากโครงการจัดซื้อครั้งนี้ จะมอบให้หน่วยงานตำรวจนำไปใช้ตรวจจับความเร็ว เพื่อป้องกันอุบัติภัยบนท้องถนน
แม้ว่าเมื่อพิจารณาจากสเปก หรือคุณภาพจะคุ้มค่าตามที่อ้างกันไว้หรือเปล่า รวมไปถึงจะสามารถจัดซื้อได้จริงหรือไม่ แต่สิ่งที่เห็นกลับกลายเป็นว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เริ่มกลายเป็น “ตัวถ่วง” ของรัฐบาล คสช. ไปแล้ว เพราะไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ถูกมองด้วยสายตาหวาดระแวงไปเสียหมด แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะผลงานในอดีตมันฟ้องอยู่คาตาทั้งในเรื่อง “เรือเหาะเรือเหี่ยว” เครื่องตรวจจับระเบิด “จีที 200” มาจนถึง “ป่ากระทิงแดง” กลายมาเป็นภาพหลอนไปแล้ว
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องติดตามจับตา ก็คือ การแก้ปัญหาน้ำท่วมโดยเฉพาะการระบายน้ำ ที่ต้องเกิดขึ้นทั้งในช่วงน้ำท่วม และหลังน้ำลด ซึ่งจะต้องอยู่ในความรับผิดชอบของสองกระทรวงหลัก คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ แล้วก็กระทรวงมหาดไทยของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เจ้าเก่านั่นแหละ ซึ่งก็เตือนไว้ล่วงหน้าว่าให้ระวังเรื่องอื้อฉาว เพราะสองคนนี้ได้กลายเป็น “จุดอ่อน” ได้อย่างเต็มรูปแบบ อีกทั้งเมื่อทั้งคู่เป็นระดับคนใกล้ชิดของผู้นำรัฐบาล มันก็ยิ่งกลายเป็นเป้า
นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องปัญหาปากท้อง เรื่องอื่นปลีกย่อยสารพัดเรื่องที่ขุดขึ้นมาถล่ม ที่สำคัญก็คือ แรงโจมตีที่เกิดขึ้นจากฝ่ายพวกนักการเมืองที่ถึงเวลาที่ต้องโผล่ขึ้นมาทำแต้ม ออกมาป่วน เพื่อเรียกความสนใจ เอาเป็นว่าฝ่ายรัฐบาลอย่าให้พลาดก็แล้วกัน โดยเฉพาะในช่วงหลังเดือนตุลาคมเป็นต้นไป ตั้งการ์ดให้สูงเอาไว้ให้ได้ก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้นอาจทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นได้ง่ายๆ ก็เป็นได้ !!