“รสนา” ตั้งคำถามการขายน้ำมันให้สิงคโปร์ก่อนย้อนมาขายไทยคือฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือไม่? ทั้งที่น้ำมันส่งตรงมาไทยไม่ได้เข้าสิงคโปร์จริง แต่ทำเพื่อกินส่วนต่างฟันกำไรคนไทย ซ้ำยังสวมสิทธิ์ “เจดีเอ” ไม่เสียทั้งภาษีส่งออก-นำเข้า จี้ย้ำนายกฯ ตั้งกรรมการสอบ 3 ปลัดกระทรวง “พลังงาน-คลัง-ยุติธรรม” และข้าราชการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด หลังช่วยกันอุ้มบริษัทสิงคโปร์ให้หนีภาษี
วันนี้ (18 ต.ค.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร และอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านพลังงาน ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กตั้งคำถามว่า “การขายคอนเดนเสตให้สิงคโปร์ก่อนย้อนมาขายไทย คือกระบวนการฉ้อราษฎร์บังหลวงใช่หรือไม่”
“การที่ผู้บริหารระดับสูงถึง 3 กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง และกระทรวงยุติธรรม มาประชุมเพื่อหาทางตีความช่วยเหลือบริษัทเอกชนที่เป็นพ่อค้าคนกลางของสิงคโปร์ให้ไม่ต้องเสียภาษีส่งออก และภาษีนำเข้าน้ำมันมาไทยจากแหล่งพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (เจดีเอ) โดยอ้างว่า ไม่ต้องสนใจว่าน้ำมันจะเปลี่ยนมือไปกี่ครั้ง ขอให้สนใจแค่ว่าส่งปลายทางคือประเทศไทย ก็ไม่ต้องเสียภาษีนั้น ต้องตั้งข้อสงสัยว่าการตีความเช่นนี้เกิดจากความไม่รู้ หรือเกิดจากความไม่สุจริตกันแน่?!?
บริษัท Hess เคยขายคอนเดนเสตโดยตรงให้ผู้ประกอบการในประเทศไทยคือบริษัท ปตท.อยู่แล้ว โดยไม่มีภาระภาษี แล้วเหตุใดที่ผู้ประกอบการในไทยจึงต้องซื้อผ่านบริษัท Karnel Oil ของสิงคโปร์?!?
สิ่งที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ คือ ตามกฎหมายศุลกากรของพื้นที่พัฒนาร่วมฯ (เจดีเอ) หากขายคอนเดนเสตตรงมายังประเทศไทยจะไม่มีภาษีขาออก เพราะมีเจตนารมณ์ให้คนไทยและคนมาเลเซียได้ใช้ทรัพยากรจากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียในราคาปลอดภาษี แต่ถ้าขายไปยังประเทศที่ 3 ที่ไม่ใช่ไทย และมาเลเซีย ต้องมีภาษีส่งออก 5%
และเมื่อบริษัท Hess ขายคอนเดนเสตให้บริษัท Karnel Oil ของสิงคโปร์ แม้น้ำมันจะไม่ได้ส่งไปสิงคโปร์ แต่ส่งตรงมาประเทศไทยก็ตาม แต่กรรมสิทธิ์เป็นของ KERNEL OIL แล้วตามสัญญาซื้อขาย ประกอบ CUSTOMER LIFTING TELEX ดังนั้น ตามกระบวนการปกติของการนำเข้าน้ำมันมาประเทศไทย ต้องมีภาษีนำเข้าอีกด้วย
ดูภาพกราฟิกประกอบจะเห็นว่า Hess ขายคอนเดนเสตให้ผู้ประกอบการไทย จะไม่มีภาษี แต่ถ้า Hess ขายให้ Karnel Oil จะมีภาษีส่งออก 5% และKarnel Oil ขายให้ ปตท.จะมีภาษีนำเข้าด้วย
การประชุมเพื่อตีความกฎหมายการเสียภาษีจากเเหล่งเจดีเอ ของผู้บริหารจาก 3 กระทรวงที่อ้างว่า ไม่ต้องไปสนใจว่าจะขายต่อไปให้ใคร ขอให้สนใจประเทศปลายทางเป็นหลักเท่านั้น ไม่ต้องสนใจว่าคอนเดนเสตจะเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ไปกี่ครั้งก็ได้ แต่กรมศุลกากรสมควรรู้ว่า การขายผ่านตัวกลาง ก่อนส่งมาไทย ผลลัพธ์ย่อมไม่เหมือนเดิมอยู่แล้ว การตีความเช่นนี้จะเปิดโอกาสให้บริษัทนายหน้าจากสิงคโปร์เข้ามากินส่วนต่างกำไร และหลีกเลี่ยงการเสียภาษีส่งออก และภาษีนำเข้าเมื่อนำเข้ามาในประเทศไทย เป็นวิธีการสวมสิทธิน้ำมันเจดีเอเพื่อไม่ต้องเสียภาษีเข้าไทย แต่น้ำมันจะถูกแปลงสัญชาติเป็นน้ำมันจากสิงคโปร์ที่สามารถเอามาฟันกำไรจากคนไทยได้มากขึ้นใช่หรือไม่
หากการตีความของผู้บริหารจาก 3 กระทรวงเช่นนี้ถูกนำมาใช้กับกรณีการขายคอนเดนเสตจากเจดีเอมาไทย โดยผ่านตัวกลางอย่าง Karnel Oil ของสิงคโปร์ โดยไม่ต้องเสียภาษีทั้งขาออกจากเจดีเอ และขาเข้าไทย ผลที่เกิดขึ้น คือ ประเทศไทยจะสูญเสียรายได้จากภาษีขาออก และภาษีขาเข้าไทยตลอดไป
คนไทยก็จะไม่มีโอกาสได้ใช้น้ำมันจากเจดีเอในราคาปลอดภาษีและปลอดการบวกกำไรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอีกต่อไป เพราะการตีความของกรมศุลกากรจะเป็นเกราะกำบังช่องทางหากินของเอกชนโดยให้บริษัทนายหน้าเข้ามากินส่วนต่างกำไร และทำให้คนไทยต้องใช้น้ำมันราคาแพง เหมือนที่คนไทยไม่เคยมีโอกาสได้ใช้ก๊าซและน้ำมันที่เป็นทรัพยากรภายในประเทศของเราเองด้วยราคาในประเทศ เช่นเดียวกับน้ำมันจากเจดีเอก็จะถูกแปลงสัญชาติเป็นน้ำมันสิงคโปร์ในราคานำเข้าจากสิงคโปร์เท่านั้น ใช่หรือไม่
กรณีนี้ก็คงเหมือนกรณีจำนำข้าวที่มีการนำข้าวเขมรราคาถูกมาสวมสิทธิเป็นข้าวไทยที่มีราคาแพงกว่า เช่นกัน น้ำมันปลอดภาษีจากเจดีเอก็ถูกสวมสิทธิเป็นน้ำมันนำเข้าจากสิงคโปร์ เพื่อมาขายฟันกำไรจากคนไทยในราคาน้ำมันนำเข้าจากสิงคโปร์ ที่มีต้นทุนเทียมเช่นค่าขนส่ง ค่าประกันภัยจากประเทศสิงคโปร์มาไทย ใช่หรือไม่
สิ่งน่าสนใจ คือ อธิบดีกรมศุลกากรมีความพยายามก่อนหน้านี้ ที่ได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตั้งแต่ต้นปี 2558 ขอให้พิจารณาให้ความเห็นเรื่องการขายน้ำมันจากเจดีเอที่ขายผ่านคนกลางก่อนส่งมาไทยว่าต้องมีภาษีหรือไม่ แต่คณะกรรมการกฤษฎีกาตอบปฏิเสธ เพราะกฤษฎีกาจะไม่พิจารณาให้ความเห็นทางกฎหมายในเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของสถาบันอื่นอยู่แล้วตามกฎหมาย และระบุว่าอธิบดีศุลกากรมีอำนาจตีความในพิกัดอัตราศุลกากรท้ายพระราชกำหนด และระบุว่าสมควรให้กรมศุลกากรดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์แก่การบริหารราชการแผ่นดิน คณะกรรมการกฤษฎีกาจึงไม่รับข้อหารือไว้พิจารณา (ดูเอกสารประกอบ)
ในขณะนั้นการตรวจสอบของ DSI ยังไม่แล้วเสร็จ แต่เมื่อการสอบสวนของ DSI เสร็จสิ้นจนมีการแจ้งข้อกล่าวหากับ 2 บริษัท คือ CPOC และ CHESS แทนที่จะปล่อยให้ DSI ดำเนินการไปตามกระบวนการทางกฎหมาย กลับกลายเป็นว่าผู้บริหารทั้ง 3 กระทรวงพากันออกโรงมาประชุมตีความ และเข้ามาแทรกแซงการดำเนินคดีของ DSI ด้วยการขอให้ชะลอการสอบปากคำบริษัทที่หนีภาษี และถึงกับจะขอให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจมาตรา 44 มายกเว้นการเก็บภาษีในกรณีนี้
น่าแปลกใจหรือไม่ว่า ในขณะที่ DSI กำลังดำเนินคดีกับบริษัท CPOC และ CHESS เพื่อเรียกเก็บภาษีอากรขาออกให้กรมศุลกากร แทนที่กรมศุลฯ จะยินดีที่จะได้ภาษีคืนมาให้กับประเทศ และให้ความร่วมมือกับ DSI กลับไปแทรกแซงการดำเนินคดีของ DSI และพนักงานอัยการ ด้วยการตีความเพื่อช่วย
เหลือบริษัทที่หลีกเลี่ยงภาษีของราชการเพื่อให้มีข้ออ้างจากการตีความแบบผิดๆ ของข้าราชการระดับสูงเหล่านี้มาใช้ต่อสู้กับคดีกับ DSI ใช่หรือไม่
ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2560 มีการระบุว่าจะใช้เวลา 1 สัปดาห์ ที่จะให้ความเห็นต่อ DSI เพื่อประกอบการพิจารณาของ DSI แต่เวลาล่วงเลยมากว่า 3 เดือนแล้วก็ยังไม่มีข้อยุติ คงจะหวังรอให้นายกฯ หลงกลใช้มาตรา 44 มาช่วยบริษัทเอกชนที่หนีภาษี ใช่หรือไม่
มีข่าวจากสื่อมวลชนว่า รองอธิบดี DSI ได้สั่งให้รอคำตอบจากกรมศุลฯ ซึ่งเวลาล่วงเลยมากว่า 3 เดือนแล้ว แต่ยังไม่ยอมส่งเรื่องให้อัยการฟ้องศาล และมีข่าวว่าจะให้รอต่อไปอีก... ทั้งที่การสอบสวนเสร็จสิ้น มีพยานหลักฐานครบถ้วนแล้ว และลงมติให้แจ้งข้อกล่าวหาแล้ว การที่รองอธิบดีปล่อยให้มีการแทรกแซง และรั้งรอมานานเช่นนี้ ย่อมทำให้สังคมอาจจะมีข้อสงสัยและกังวล เพราะเดิมพันผลประโยชน์เรื่องนี้มีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท อาจจะเกิดการเจรจาให้เป็นมวยล้มได้หรือไม่?
สังคมจึงต้องจับตาคดีนี้ชนิดตาไม่กะพริบ...
อันที่จริงเรื่องนี้กรมศุลกากรไม่ควรจะวินิจฉัยอะไรอีกแล้ว เพราะDSIและอัยการเข้ามาสอบสวนดำเนินคดีจนมีการแจ้งให้บริษัทเอกชนมารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ควรจะปล่อยให้ DSI ดำเนินการต่อไปตามกฎหมายบ้านเมืองและให้ศาลตัดสิน กรมศุลกากรและผู้บริหารในอีก 2 กระทรวงควรอยู่เฉยๆ เพียงแค่อย่าไปขัดขวางเขาก็เพียงพอแล้ว
พฤติการณ์แทรกแซงการดำเนินคดีของ DSI จากผู้บริหารระดับสูงทั้ง 3 กระทรวง ทำให้น่าตั้งคำถามว่าจะเข้าข่ายเป็นขบวนการสมคบคิดให้เกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือไม่
เพราะเป็นการตีความที่ทำให้รัฐเสียประโยชน์ที่จะไม่ได้รับภาษีที่สมควรจะได้ และทำให้ประชาชนต้องใช้น้ำมันในราคาแพงโดยไม่สมควรจากกระบวนการซิกแซ็กขายน้ำมันผ่านพ่อค้าคนกลางเพื่อฟันกำไรส่วนต่าง และสำแดงเอกสารส่งออกอันเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี ซึ่งถ้าปล่อยให้มีการปฏิบัติตามการตีความที่หลีกเลี่ยงข้อกฎหมายและการตีความที่ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายรองรับ ย่อมจะเป็นการทำให้รัฐต้องสูญเสียรายได้จากภาษีโดยชอบธรรมนั้นตลอดไป
ท่านนายกรัฐมนตรีควรให้ความสนใจเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ และสั่งการให้ DSI ต้องดำเนินคดีต่อไปโดยเร่งด่วน เพราะมูลค่าภาษีที่มีการหลีกเลี่ยงในเวลาหลายปีที่ผ่านมา รวมกับโทษปรับ 4 เท่าของมูลค่าน้ำมันที่มีการเลี่ยงภาษีตามกฎหมายศุลกากรซึ่งมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท
ท่านนายกฯ จะกล้าเอาจริงกับการเรียกเก็บภาษีที่ถูกหลบเลี่ยง ตลอดจนเรียกเก็บโทษปรับ 4 เท่าของมูลค่าน้ำมันจากการสำแดงส่งออกและนำเข้าอันเป็นเท็จจากกลุ่มทุนพลังงานอำนาจสูงเหล่านี้หรือไม่ ซึ่งเป็นรายได้ที่เป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นกอบเป็นกำ แทนที่จะมารีดภาษีแวตเอากับประชาชนคนเล็กคนน้อย
นอกจากนี้ ท่านนายกฯ ควรตั้งคณะกรรมการที่เป็นอิสระ ที่ไม่ลูบหน้าปะจมูก คือคนที่อยู่นอก 3 กระทรวงนี้ขึ้นมาสอบสวนข้าราชการที่เกี่ยวข้องในกรณีนี้ทั้งหมดที่มีพฤติกรรมเอาจริงเอาจังกับการช่วยเหลือเอกชนที่หลีกเลี่ยงภาษี ยิ่งกว่าดูแลผลประโยชน์ของทางราชการและของประชาชนทั้งประเทศ
รสนา โตสิตระกูล
17 ตุลาคม 2560”