“ประยุทธ์” ขอบคุณ ปชช. ร่วมตอบ 4 คำถาม กว่า 1 ล้านคนแล้ว ลั่นมีคุณค่าและยิ่งใหญ่กว่าโพลของทุกสำนัก ยันไม่นิ่งนอนใจทุจริตโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อฯ ขอเวลาตรวจสอบก่อน
วันนี้ (29 ก.ย.) เมื่อเวลา 20.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นต่อ 4 ข้อคำถามของนายกรัฐมนตรี ซึ่งนับจนถึงวันนี้ ก็มีจำนวนกว่า 1 ล้านคนแล้ว ถือว่าเป็นทุกความเห็นที่มีคุณค่ามาก และยิ่งใหญ่กว่าการทำโพลสำนักใดๆ ที่ผ่านมา ที่อาจจะเก็บตัวอย่างเพียงไม่กี่พันคน จากประชากร 65 ล้านคน
ตนอยากให้คณะกรรมการทำต่อไป ขอเชิญชวนทุกคนได้ช่วยกันมาแสดงความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ให้มากยิ่งขึ้น คือ ถ้ามีอะไรที่จะเสนอแนะ หรือมีข้อคิดเห็นประการใด ก็เขียนเพิ่มเติมได้ นอกจากตอบคำถามที่ตนถามไปแล้ว จะได้นำมาสู่การคิด วิเคราะห์ มาสู่การนำสู่การปฏิบัติ เพื่อจะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินนั้นเป็นผลดี และเป็นที่พึงพอใจของทุกคน ในเรื่องของการกำหนดนโยบายต่างๆ ก็จะได้ตรงตามที่พี่น้องประชาชนปรารถนา
นายกฯ กล่าวอีกว่า สำหรับสัปดาห์หน้า ตนมีกำหนดการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ดังนั้น รายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนครั้งต่อไป ก็อาจจะมีการบันทึกเทปจากที่สหรัฐอเมริกา แล้วผมก็จะได้เล่าเรื่องราว สาระประโยชน์จากการทำงานให้ทุกคนได้ฟัง แล้วก็ขอให้ติดตามชมด้วย
ในการไปต่างประเทศนั้น ก็ได้สั่งการให้กับช่างภาพ นักข่าว ได้ถ่ายภาพของบ้านเมืองของคนอื่นเขา ถนนหนทาง ตลาด บรรยากาศของเมืองเขา ให้พวกเราได้ดูด้วย เราจะได้คิดเปรียบเทียบกับบ้านเราว่าเราควรจะเป็นอย่างไร หลายอย่าง ถึงบอกว่าต้องอ่านหนังสือ หลายอย่างก็ต้องดูด้วยตาของตัวเอง หลายอย่างดูจากโทรทัศน์ก็ได้ สนใจประเทศอื่นเขาบ้าง ผมไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเหมือนเขา แต่เราเอาส่วนดีๆ ของเขามา แล้วปรับปรุงของเราที่มันดีอยู่มากพอสมควรให้มันดีขึ้นมาอีก มันก็จะเป็นประเทศที่น่าอยู่ น่าอาศัย น่าท่องเที่ยว อีกยาวนาน คนเขาจะได้ไม่เบื่อ วันนี้เขาก็มากันมากมาย วันหน้าผมก็อยากให้เขารักประเทศไทย มากันหลายๆ ครั้ง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า วันนี้เป็นที่น่ายินดีที่กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวเป็นอันดับ 1 และประเทศไทยก็มีรายได้จากการท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่การท่องเที่ยวจำนวนมากนั้น จริงๆ แล้วรัฐบาลได้แต่เพียงส่วนเดียวเท่านั้น เป็นเรื่องของภาษี เรื่องอะไรต่างๆ เหล่านี้ แต่ในส่วนที่ได้จริงๆ ก็คือ รายได้ที่ลงไปสู่ผู้ให้บริการในพื้นที่ วันนี้ตนก็เน้นไปถึงชุมชนด้วย การท่องเที่ยวทางการเกษตร การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการท่องเที่ยวในเรื่องของพื้นที่หรือบรรยากาศสวยงาม หรือเป็นพื้นที่ที่เก่าแก่ทางวัฒนธรรม เหล่านี้ มันต้องกระจายลงไปสู่ข้างล่างให้ได้ในทุกๆ จังหวัด
“สำหรับเรื่องของการทุจริตโครงการโน้นโครงการนี้ ก็ต้องไปตรวจสอบ ผมไม่นิ่งนอนใจก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีหรือไม่มี ขณะนี้ยังพูดไม่ได้ มันต้องไปตรวจสอบหลายประเด็น มันเป็นปัญหาละเอียดเล็กน้อย ก็ต้องไปดู โดยเฉพาะโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี (เพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน) ผมก็ให้ไปตรวจสอบ มันมีประเด็นปลีกย่อยเยอะแยะ” นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่ออีกว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่ประชาชนมีส่วนร่วมจริงๆ ซึ่งถือว่าเป็นโครงการในลักษณะใหม่ที่ลงไป ก็อาจจะมีคนที่ยังไม่เข้าใจ บางคนที่อาจจะไม่ไว้วางใจ แต่ตนก็พยายามหรือยืนยันว่าจะพยายามปราบปรามการทุจริตให้ได้มากที่สุด แต่ขอให้ไปดูรายละเอียดข้างล่างด้วย ไม่ใช่ฟังอะไรมาทางแล้วก็แชร์กันต่อไป ก็ให้เวลาเขาตรวจสอบหน่อย
คำต่อคำ : รายการ “ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” 29 กันยายน 2560
..
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน วันนี้ก็มาพบกันในบรรยากาศที่สบายๆ ตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนได้เข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่วันที่ 28ตุลาคม 2559 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2560 นั้น ปัจจุบัน ก็สรุปมียอดรวมประชาชนเดินทางมาสักการะพระบรมศพฯ กว่า 11 ล้านคนแล้ว เป็นที่น่าปลื้มใจ แล้วก็ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักถึงความอาลัยรัก ความศรัทธา และความจงรักภักดีของประชาชน ทุกหมู่เหล่า ที่มีต่อพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ก็ได้มุ่งมั่นเดินทางจากทุกสารทิศ เข้ามากราบถวายบังคมพระบรมศพ สักครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยทรงห่วงใยว่าประชาชนจะมีโอกาสกราบถวายบังคมพระบรมศพได้ไม่ทั่วถึง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ขยายเวลาการกราบถวายบังคมพระบรมศพ ออกไปจนถึงเวลา 24 นาฬิกา ของคืนวันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม ศกนี้ ซึ่งก็นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น อันหาที่สุดมิได้ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
พี่น้องประชาชนที่เคารพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรในหลวงรัชกาลที่ 9 ไม่เพียงแต่ทรงสถิตในดวงใจปวงชนชาวไทยทุกคนเท่านั้น แต่ยังทรงได้รับการถวายความยกย่องสรรเสริญ ในระดับนานาอารยประเทศ อีกด้วย จากการที่ได้ทรงประกอบคุณงามความดี และดำเนินพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ เพื่อยกระดับความเป็นอยู่และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ จนเป็นที่ประจักษ์
ทั้งนี้ ในการประชุมสันติภาพนานาชาติ 2017 เมื่อต้นสัปดาห์นี้ ณ สำนักงานใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส ได้มีการกำหนดหัวข้อ การสร้างสังคมแห่งสันติภาพที่ยั่งยืน มรดกในพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช โดยผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโก และผู้แทนถาวรประจำยูเนสโก จากประเทศต่างๆ ได้ขึ้นมากล่าวถวายราชสดุดี และแสดงความอาลัย เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติ แด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 อันนำความซาบซึ้งมาสู่ปวงชนชาวไทย ทั้งประเทศอีกวาระหนึ่งภายหลังจากที่ องค์การสหประชาชาติ ได้เคยจัดวาระพิเศษ ถวายแด่พ่อหลวงของเรา เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ปีที่ผ่านมาโดยนายบัน คี-มุน เลขาธิการสหประชาชาติ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การสหประชาชาติ จากหลายประเทศ ได้กล่าวถ้อยคำแสดงความอาลัยด้วยตัวเองเช่นกัน สิ่งสำคัญ คือ ขณะนี้ทางองค์การยูเนสโก ได้อัญเชิญแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง บรรจุไว้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาขององค์การสหประชาชาติ เพื่อให้ชาติสมาชิกได้นำไปประยุกต์ใช้ ในการกำหนดแผนพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้บริบทของประเทศตนเอง อันเป็นเครื่องยืนยัน ว่า ศาสตร์พระราชานี้เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและเป็นสากล เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของโลก ผมจึงอยากให้พวกเราทุกคนได้ภาคภูมิใจ และหวงแหนมรดกพระราชทานนี้ รวมทั้งร่วมมือกันน้อมนำไปประยุกต์ใช้ ในการสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนให้กับประเทศชาติ และประชาชนสืบไปด้วย
พี่น้องประชาชนที่รัก รายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในวันนี้ ผมขอเปิดตึกภักดีบดินทร์ให้พี่น้องชาวไทยทุกคนได้ชมกัน โดยตึกหลังนี้จะเป็นสัญลักษณ์แห่งความจงรักภักดีของปวงชนชาวไทย ที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ขณะนี้เราอยู่ในห้องทองธารา ภายใต้โดมสีทองประดับด้วยภาพศิลปกรรมสื่อผสม จากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ชื่อภาพ "มหานที แห่งบารมีพระทรงธรรม" ที่สื่อความหมาย ถึงหยาดหยดจากน้ำพระทัย ที่รวมเป็นมหาสมุทรแห่งความเมตตา หล่อเลี้ยงผืนแผ่นดินที่แตกระแหง ให้พลิกฟื้นสู่ความชุ่มชื้น อุดมสมบูรณ์ ด้วยรอยยิ้มของความสุขสงบ ร่มเย็น ของพวกเราทุกคน
วันนี้ ผมมีเรื่องที่น่ายินดีมาเล่าให้พี่น้องประชาชนฟังเกี่ยวกับการประกาศผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ของสภาเศรษฐกิจโลก ซึ่งล่าสุดประเทศของเรา ได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 32 จาก 137 ประเทศ ทั่วโลก หรือดีขึ้น 2 อันดับ จากปีที่แล้ว ทั้งนี้มีหลายประเด็นที่น่าสนใจผมขอยกตัวอย่าง ดังนี้
ในภาพรวมประเทศไทยมีคะแนนดีขึ้นใน 8 ด้านหลัก และอีก 4 ด้านหลักมีคะแนนเท่าเดิม โดยไม่มีด้านหลักใด ที่คะแนนลดลงเลย ทั้งนี้ ในส่วนที่ดีขึ้น มีในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน ประสิทธิภาพตลาดแรงงาน การอุดมศึกษาและการฝึกอบรม รวมทั้งนวัตกรรม ซึ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 และการพัฒนาต่างๆ เพื่อรองรับยุคดิจิทัลของประเทศในอนาคตด้วย
2. ด้านเศรษฐกิจมหภาค ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 9 ของโลก ซึ่งเป็นด้านเดียวที่เราอยู่ใน10 อันดับแรกของโลก โดยมีปัจจัยส่งเสริมในหลายด้าน อาทิ การใช้จ่ายภาครัฐที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งมีกลไกในการปกป้องนักลงทุนที่ดีขึ้น ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมมากขึ้น ภาคเอกชนมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งมีการจดสิทธิบัตรเพิ่มขึ้นมีการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เช่น ตลาดทุนและสินเชื่อ ทำได้ง่ายขึ้น ความพร้อมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศขยายตัวดีขึ้น อันเป็นผลมาจากโครงการเน็ตประชารัฐ ที่ส่งเสริมให้มีการเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ของทุกภาคส่วน นอกจากนี้ ตลาดต่างประเทศ และการส่งออก สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไปพร้อมกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นต้น และ
3. ในนโยบายยกระดับการให้บริการของภาครัฐหลายมาตรการ โดยเฉพาะเรื่อง Ease of doing business ซึ่งมุ่งเน้นการลดระยะเวลาในการเริ่มก่อตั้งธุรกิจลงนั้น นับว่าเป็นปัจจัยแรกๆ ที่บ่งชี้ให้เห็นถึงขีดความ สามารถในการแข่งขันของประเทศ ผลการดำเนินการที่ผ่านมา ส่งผลให้คะแนนในส่วนนี้ ปรับดีขึ้น และคาดว่าในปีต่อไป จะดีขึ้นได้อีกเนื่องจากรัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายที่จะลดจำนวนวัน ในกระบวนการต่างๆ ลง 10 เท่า คือ จาก 25 วันครึ่ง ให้เหลือเพียง 2 วันครึ่ง และเราต้องให้ความ สำคัญกับธุรกิจ SMEs Startups สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน รวมทั้งบริษัทประชารัฐรู้รักสามัคคี จำกัด ทั่วประเทศ ด้วย เพราะว่าเป็นกลไก เครื่องมือ ที่สำคัญในการยกระดับรายได้ของประเทศด้วยการส่งออก มีการผลิตนวัตกรรมสินค้า ที่จะแข่งขันกันได้เป็นโอกาสให้ทางเลือกให้กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มอาชีพต่างๆ ที่อยู่ในห่วงโซ่เหล่านี้จะต้องเชื่อมโยงกันให้ได้ แล้วก็จะต้องผลิตสินค้าที่มีคุณภาพที่ดีขึ้น
โดยสรุปแล้วผลการจัดอันดับดังกล่าวนั้นก็เป็นมุมมองจากภายนอกที่มีต่อประเทศไทย ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นศักยภาพและความท้าทายของเรา ในอนาคตในหลายๆ ด้าน ได้แก่
1. คือ ความแข็งแกร่งและประสิทธิภาพของตลาดการเงิน
2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง
3. การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรในการสร้างนวัตกรรม อีกทั้ง
4. การเพิ่มขนาดของตลาดภายในประเทศ และลดการพึ่งพาการส่งออก ทั้งนี้ผมเห็นว่าเราจำเป็นที่จะต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไกประชารัฐ ตั้งแต่ระดับชุมชน ไปถึงระดับชาติ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงเกื้อกูลกันในทุกๆ กิจกรรม นอกจากนั้น เราจำเป็นต้องดำเนินการอย่างมียุทธศาสตร์ เนื่องจากการลงทุนเพื่ออนาคตนั้น ต้องอาศัยการระดมทรัพยากรและเงินลงทุน รวมทั้งต้องอาศัยเวลา และความต่อเนื่อง ที่สำคัญคือ ความชัดเจนในนโยบายของภาครัฐ ที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งภายในและภายนอกประเทศอีกด้วย สิ่งเหล่านี้หลายคนอาจจะไม่ทราบ หรือลืมไปแล้วว่า เป็นผลงานที่รัฐบาลนี้ได้พยายามแก้ไข และปรับปรุงทำให้มันดีขึ้น เกิดขึ้นจนเป็นผลสัมฤทธิ์ จนได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ และในประเทศเราต้องเชื่อมั่นกันเอง เพราะว่าอย่าไปแบ่งแยกว่า อันนี้เป็นนายทุน หรือเป็นการลงทุนจากต่างประเทศ ไม่คำนึงถึงคนมีรายได้น้อย มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะทุกอย่างมันต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกัน และทุกคนเข้าไปอยู่วงจรห่วงโซ่กันให้มากขึ้น
เพราะฉะนั้นกลไกสำคัญคือ กลไกประชารัฐ เราจะต้องร่วมมือกันให้มากกว่าเดิม เพื่อจะเข้าให้ถึงจากคนทุกกลุ่มทุกอาชีพ เราต้องเรียนรู้การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ดิจิทัลตั้งแต่วันนี้ เริ่มจากโทรศัพท์มือถือของท่านเอง เว็บไซต์ที่เป็นประโยชน์ของรัฐบาล หน่วยราชการ ภาคเอกชน อื่นๆ ด้วย ทุกกิจกรรมทุกแผนงานโครงการจะต้องมีการบูรณาการกัน ไม่ใช่ทำโครงสร้างเชื่อมต่อเสร็จแล้วโดยเน้นยุคดิจิทัล เราต้องมาเสียเวลาเรียนรู้กันใหม่อีก มันต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับการทำงานในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไปพร้อมกันด้วย พอเสร็จแล้วเราจะใช้งานได้ทันที ไม่ต้องมาสอนมาเรียนกันใหม่
พี่น้องประชาชนครับ ไทยแลนด์ 4.0 นั้น คือ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมด้วยความรู้ ปัญญา และนวัตกรรม เพื่อจะสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และทำน้อยลง แต่ทำให้ได้ผลสัมฤทธิ์มากขึ้น หรือรายได้มากขึ้นด้วย มีความสำคัญอย่างมากในการพัฒนาประเทศ เพื่อจะให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันได้ทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ ทั้งนี้ นโยบายของรัฐบาลในการเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และสารสนเทศ ได้แก่
1. โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศประมาณ 75,000 แห่ง หรือทุกหมู่บ้าน โดยกำลังเร่งดำเนินการอยู่เกือบ 25,000 หมู่บ้าน
2. โครงการระบบเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศ ระหว่างเอเชีย แอฟริกา ยุโรป ที่จะเชื่อมศักยภาพของวงจรสื่อสารระหว่างประเทศของไทย และลดต้นทุนในการเชื่อมต่อวงจรต่างประเทศลง และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสำหรับทุกๆ คน รวมทั้งผู้มีรายได้น้อยด้วย มันเป็นช่องทาง และที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้มีรายได้น้อยคือ เข้าถึงได้ง่าย เข้าถึงได้เร็ว เราต้องพยายามเรียนรู้ ที่สำคัญก็คือส่งเสริมให้ไทยนั้นเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย เพราะเราเป็นแกนกลางของอาเซียนอยู่แล้วทางภูมิศาสตร์
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมได้กล่าวไปแล้วนั้น เป็นการลงทุนในอนาคต แม้จะเป็นอนาคตที่ไม่นานนัก แต่ผมเห็นว่าการพัฒนาตนเองของเรานั้น เราไม่อาจชักช้าแม้แต่วินาทีเดียว ดิจิทัลสามารถที่จะถึงกันได้ภายในไม่กี่วินาที เพราะงั้นความคิดของเราต้องปรับเปลี่ยนให้ทัน เพราะฉะนั้นเราต้องเรียนรู้ในวันนี้ เรียนรู้วิธีการพัฒนาตนเองที่ได้ผลในทุกยุคทุกสมัย คือ การปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน ผมเคยพูดไปแล้วว่า หนังสือทุกเล่ม ตัวหนังสือประโยคต่างๆ ในหนังสือนั้นมันมีชีวิตจิตใจ ด้วยจิตวิญญาณของผู้เขียน หลายคนอ่านก็จะสามารถคิดตาม และหาเหตุหาผลไปได้ ซึ่งมันจะมีความรู้สึกที่ซาบซึ้งมากกว่าที่จะอ่านข้อความสั้นๆ ง่ายๆ สำหรับนักเรียนนักศึกษาแล้วนั้น การเรียนหนังสือจากตำราเรียนอาจจะเพียงพอสำหรับการสอบ แต่อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการทำงานในอนาคต อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ หลายเรื่องไม่มีสอนในหลักสูตร เขาสอนให้คิด เขาสอนให้สมองได้รู้จักการคิดเป็นกระบวนการ มีการคิดวิเคราะห์ตามหลักการ ตามวิชาการในหนังสือ แต่การที่จะเอาทุกอย่างมาร้อยเรียงต่อกันด้วยสติปัญญา สมองของเรา จะต้องเป็นคนทำเอง เราต้องอาศัยการค้นคว้า หาความรู้รอบตัวด้วยตนเอง รวมไปถึงการฝึกปฏิบัติ ลงมือทำเองด้วย เราจะได้คิดไปด้วย ไม่ใช่บางทีก็เชื่อไปซะหมด มันไม่เป็นตัวของตัวเอง มันต้องหาเหตุหาผลของตัวเองไปด้วย เคยเรียนไปแล้วว่า ทุกคนไม่ใช่เชื่อทุกอย่างที่ได้ยิน หรือไม่เชื่อทุกอย่างที่ได้ยิน มันก็ไม่ได้ ทั้ง 2 อย่าง มันต้องใช้สติปัญญาของตนเองในการไตร่ตรอง ในการคิดใคร่ครวญ เพื่อจะหาสิ่งที่มันถูกต้อง และนำมาใช้ในการปฏิบัติ เหมือนกับเรื่องนโยบายของกระทรวงศึกษาฯ เวลานี้คือ การลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ของรัฐบาลในปัจจุบัน
สำหรับประชาชนทั่วไปแล้ว ในการสืบค้นข้อมูลผ่านโลกอินเทอร์เน็ตแล้ว ผมเห็นว่าสื่อสิ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ยังคงมีความจำเป็น และเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญ ผมเคยฝากไปแล้วว่า บรรดาสถานีโทรทัศน์วิทยุต่างๆ นั้น ควรจะสร้างขบวนการเรียนรู้ให้กับประชาชนไปด้วย นอกจากความบันเทิง เมื่อมีโอกาสทุกครั้ง อยากให้ทำแบบนั้น ซึ่งผมเองก็มีการติดตามอยู่บ้าง พอเจอตรงไหนที่มีสาระสำคัญผมก็จำไว้ ผมจดไว้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม บางอย่างความคิดเกิดขึ้นดีๆ หลายอย่าง นำไปสู่การบริหารราชการแผ่นดินได้ ผมก็ดูตัวอย่างต่างประเทศบ้าง อ่านหนังสือ บทวิเคราะห์ต่างๆ เหล่านี้ เพราะมีองค์ความรู้ แล้วเป็นข้อมูลข่าวสารของทางราชการบ้าง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ อันเป็นประโยชน์สำหรับทุกคน ถือว่าทุกคนเข้าถึงได้ง่าย แต่ทุกคนจะต้องอ่าน แล้วไขว่คว้าหาเองจะได้ไม่ตกข่าว
ที่สำคัญก็คือว่า จะเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพราะว่ามีการอ้างอิง เนื่องจากมีกองบรรณาธิการต้องคอยดูแล ตรวจสอบความถูกต้องอยู่เสมอ ต้องมีจรรยาบรรณในการที่จะกำกับดูแลในเรื่องเหล่นี้ อยากขอให้เจ้าของแหล่งความรู้ดังกล่าว ได้มีการรักษามาตรฐาน รักษาจรรยาบรรณ ซึ่งเป็นจุดแข็งของตนให้เป็นที่พึ่งของประชาชนตลอดไป นอกจากนั้นแล้ว การจัดนิทรรศการต่างๆ โดยเฉพาะงานในระดับนานาชาติ ผมอยากให้ทุกคนมีความสำคัญให้ความสำคัญกับในเรื่องเหล่านี้มากยิ่งขึ้น นอกจากงานจัดของมาขาย บางครั้งมันมีงานที่สำคัญๆ หลายงาน ซึ่งเหมาะกับการพัฒนาตนเอง โดยเฉพาะเด็กเยาวชน หรือประชาชนโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นงาน Digital Thailand Big Bang หรืองาน Thai Tech Expo ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปแล้ว ได้ช่วยสะท้อนศักยภาพของประเทศ แล้วความพร้อมของธุรกิจไทย ในการที่เราจะก้าวเข้าสู่โลกแห่งเทคโนโลยีและดิจิทัลไปพร้อมกับนานาประเทศด้วย สัปดาห์หน้าจะมีงานนิทรรศการที่น่าสนใจ อาทิ
1.งาน Innovation Thailand Week 2017 ระหว่างวันที่ 5 - 8 ตุลาคม นี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา นอกจากเป็นการจัดแสดงนวัตกรรม ในหลากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบัน การศึกษา สังคม ในทุกระดับแล้วก็ยังมีกิจกรรมส่งเสริมความรู้ เกี่ยวกับรูปแบบผลิตภัณฑ์, การออกแบบนวัตกรรมเชิงสังคม สตาร์ทอัป แหล่งเงินทุนสนับสนุนนวัตกรรม การขอรับทุนพัฒนานวัตกรรม การส่งเสริมนวัตกรรมออกสู่ตลาด การทดสอบและมาตรฐานนวัตกรรมรวมถึงการเชื่อมโยงให้เกิดธุรกิจนวัตกรรม เป็นต้น
2. งาน Talent Mobility Fair 2017 ในวันจันทร์ที่ 2 ตุลาคมนี้ ณ ห้อง Ballroom Hall A ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งนอกจากจะมีการปาฐกถาพิเศษ และการเสวนา ที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาคนและนวัตกรรม อันจะนำไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 แล้ว ก็ยังมีการออกบูทของเครือข่าย กว่า 47 หน่วยงาน มีทั้งภาครัฐ เอกชน และ 20 มหาวิทยาลัย มีการจับคู่ เชื่อมโยงความช่วย เหลือด้านการวิจัย ให้กับนักวิจัยและทุนวิจัยภายในงานด้วย
ทั้งนี้ ผมอยากให้ผู้ที่สนใจทั้งนักเรียน นักศึกษา ประชาชน ได้ใช้เวลาว่างของตนเอง ถ้าเป็นนักเรียน นักศึกษาก็ในช่วงปิดเทอม ให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น เปิดโลกให้กว้าง เป็นโลกที่เราต้องเรียนรู้นอกตำรา นอกห้องเรียน นอกหลักสูตร ท่านอาจจะพบประสบการณ์ใหม่ๆ แล้วอาจจะค้นพบตนเอง หรือพบกับพรสวรรค์ในตัวเอง ซึ่งบางคนก็ยังไม่ทราบเลยว่าตัวเองมีพรสวรรค์ในเรื่องอะไร ไปสนใจในเรื่องที่บางทีไม่ค่อยเป็นประโยชน์มากนัก ก็เลยทำให้บดบังพรสวรรค์ของตัวเองออกไป จนมองไม่เห็น
หลายคนก็อาจจะสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ จากการแสวงหาความรู้จากนิทรรศการเหล่านี้ ที่เปิดโอกาสให้มีการพบปะ พูดคุย ปรึกษาปัญหา และเชื่อมโยงกันเป็นห่วงโซ่ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง แล้วก็ปลายทาง คือ การผลิต การแปรรูป และการตลาด ที่ผมก็พูดอยู่เสมอทุกคนต้องมีส่วนร่วมใน 3 ส่วนนี้ อย่างไรก็ออกนอกกรอบตรงนี้ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ทำอย่างไรจะเข้าไปได้ ก็ต้องเปิดตา เปิดหูตัวเอง ศึกษา อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ ทุกช่องที่มีโอกาส มีประโยชน์ทุกช่อง
อีกประการหนึ่ง ก็คือ การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เราคงไม่ต้องไปคิดอะไรที่ยากจนเกินไป เพราะบางครั้งสลับซับซ้อน เราก็ต้องเริ่มจากการวิจัยพัฒนา ที่กำหนดจากความต้องการชีวิต ในครอบครัวในการประกอบอาชีพ เพราะหลายคนที่ประสบปัญหาเดียวกันก็คือลูกค้าของท่านในอนาคต อันนี้พูดถึงว่าการที่จะใช้ดิจิตัล ในเรื่องของการวิจัยพัฒนา
ยกตัวอย่างเช่น แอปพลิเคชัน U Lease ซึ่งผันตัวจากเด็กแว้น โดยพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับจัดไฟแนนซ์ เช่าซื้อมอเตอร์ไซคืออนไลน์ ที่จะช่วยแก้ปัญหาและตอบโจทย์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในวงจรธุรกิจดังกล่าวก็คือผู้ซื้อรถ ลูกค้า ผู้ขายรถ ร้านดีลเลอร์ และผู้ให้สินเชื่อ บริษัทไฟแนนซ์ ซึ่งจุดประกายความคิด ก็เกิดจากประสบการณ์ทำงาน ประกอบความรู้ในห้องเรียนจนเป็นที่มาของอาชีพใหม่ แล้วก็ไม่กลับไปใช้ชีวิตของเด็กแว้นอีกต่อไป ก็ทราบว่านวัตกรรมนี้เข้ารอบ 10 ทีมสุดท้าย ในเวที Fintech Challenge 2017 ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ผมก็ได้จากการอ่านหนังสือพิมพ์ แล้วนำมาเล่าในวันนี้ครับ ก็ขอชื่นชม และขอให้เป็นตัวอย่างที่ดี สำหรับเด็กแว้นที่ยังใช้ชีวิตที่เสี่ยงภัย และสูญเปล่า ให้ค้นหาตัวเองให้เจอ แล้วพัฒนาตนเองไปสู้เป้าหมายที่ตั้งใจไว้
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ เครื่องสำอางจากสเต็มเซลล์ข้าวไทย ที่สกัดจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อข้าว มีสรรพคุณช่วยชะลอริ้วรอยและช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำออกจากผิว เป็นเจ้าแรกในโลก แสดงให้เห็นว่าข้าวไทย สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกมากมาย หลากหลายรูปแบบ ด้วยการวิจัย การแปรรูปผลิตภัณฑ์ ท่านรู้หรือไม่ว่า น้ำมันรำข้าว ไขรำข้าว และแป้งข้าวเจ้า ก็สามารถนำมาเป็นส่วนผสมชั้นดีของลิปสติกข้าวไทย ซึ่งมีคุณสมบัติทั้งช่วยในการบำรุงและปกป้องแสงแดด โดยลิปสติกจากข้าว ของไทย นับเป็นนวัตกรรม ที่ช่วยลด หรือทดแทนการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศสำหรับการผลิตเครื่องสำอาง ลงได้เป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ ผมได้ติดตามข่าวสารจากงานประชุมนานาชาติข้าว Thailand Rice Convention 2017 เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ก็ได้รับทราบถึงศักยภาพประเทศไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมข้าวเพื่อสุขภาพและความงาม ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่หันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพตามวิถีธรรมชาติ ทำให้เครื่องสำอางจากธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์เวชสำอางธรรมชาติ มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ ยังมีนวัตกรรมข้าวไทยในอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพและความงาม อีกหลายรายการ ที่ได้ตรารับรอง USDA Organic ไปแล้วและได้รับลิขสิทธิ์เทคโนโลยีข้าวแล้ว
ทั้งนี้ ผมขอเป็นกำลังใจให้กับนักวิจัย และขอกระตุ้นให้นักเรียน นักศึกษา ที่จะเติบโตขึ้นมาในวันข้างหน้า ได้ช่วยกันเร่งหาความรู้ใส่ตัว ทั้งในตำรา จากนิทรรศการต่างๆ สำหรับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ นวัตกรรมดีๆ เพื่อยกระดับชีวิตของคนไทย ไปพร้อมๆ กับที่รัฐบาลพยายามกำลังจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ต้องใช้ควบคู่กันไปมุมมองของต่างประเทศ แล้วเราก็ต้องเอามุมมองประเทศเหล่านั้นมาคิดว่าเราจะได้ประโยชน์จากที่เขามองอย่างไร ถ้าเราไม่พัฒนาตัวเอง ต่อให้เขามองดียังไงก็ตาม เราก็ไม่เกิดอะไรขึ้นมาหรอกครับ อย่าไปวาดหวังคอยแต่เพียงอย่างเดียว
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น เราจะต้องไม่ปล่อยให้สิ่งประดิษฐ์ใดๆ นั้นสูญเปล่า เรามีการคิดค้นมาตั้งหลายหมื่น เป็นแสนชิ้น แต่มันถูกผลิตน้อยมาก เพราะฉะนั้นมันก็เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำนั่นล่ะ มันก็ทำให้เกิดการผลิตไม่ได้ มันก็ใช้ได้ไม่มาก ไม่ทั่วถึง ราคาสูง ราคาแพงเกินไป ถ้าเราไม่ผลิตเอง ใช้เอง มันก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงได้ง่าย มีความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ รายได้เราน้อย เราต้องมีการสานต่อ ขยายผล เพื่อจะนำไปสู่การผลิตในเชิงพาณิชย์ให้ได้ เอาเรื่องที่ใช้เยอะๆ เอาเรื่องที่เกษตรกรต้องใช้ เอาเรื่องที่ผู้มีรายได้น้อยต้องใช้ ในชีวิตประจำวันเหล่านี้ ก็ทำให้มันคุณภาพดีราคาถูกลง สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ที่มันน่าใช้ ทนทาน มีคุณภาพ มาตรฐาน ผมว่ามันขายดีหมดนะ
อันนี้ก็ถือเป็นนวัตกรรมเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าต้องไปคิดเรื่องใหญ่โต ในเรื่องที่สลับซับซ้อน เครื่องจักร เครื่องยนต์ เหล่านี้อย่างเดียว อันนั้นก็เป็นอีกส่วนหนึ่งในเรื่องของอนาคต แต่คนปัจจุบันเขามีปัญหาเรื่องรายรับกับรายจ่ายไม่สมดุลกัน เขาต้องไปซื้อของราคาแพง ที่เราทำเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราไปคิดอะไรที่มันทำเองได้ แล้วจะได้ซื้อของแพงๆ ให้น้อยลง
อันนี้ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวไทย ทั้งที่อยู่ในประเทศ และอาศัยอยู่ต่างประเทศ โดยได้มีการร่วมกันประกอบพิธีวันที่ระลึกวันพระราชทานธงชาติไทย และเป็นวันครบรอบ 100 ปี ของการประกาศให้ใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย โดยการเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา และร้องเพลงชาติไทยอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อวานนี้ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจ ความผูกพัน ความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทยทั้งชาติ โดยไม่แบ่งชนชั้น เชื้อชาติ และศาสนา คนไทยทุกคนมีความรู้สึกร่วมกันถึงความรักชาติ ทุกครั้งที่เราได้เห็นการเชิญธงชาติไทยขึ้นสูงยอดเสาในทุกสนามการแข่งขันกีฬา หรือแม้กระทั่งปลายยอดเขาเอเวอเรสต์ เทือกเขาหิมาลัย ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของโลก
ทั้งนี้ ธงไตรรงค์นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์แทนชาติไทยและคนไทยทุกคนแล้ว ก็ยังเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ให้ทุกคนมีสำนึกในความเป็นชาติทุกลมหายใจ
ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นต่อ 4 ข้อคำถามของผม ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งนับจนถึงวันนี้ ก็มีจำนวนกว่า 1 ล้านคนแล้ว ผมก็ถือว่าเป็นทุกความเห็นที่มีคุณค่ามาก และยิ่งใหญ่กว่าการทำโพลสำนักใดๆ ที่ผ่านมา ที่อาจจะเก็บตัวอย่างเพียงไม่กี่พันคน จากประชากร 65 ล้านคน
ผมอยากให้คณะกรรมการทำต่อไป ขอเชิญชวนทุกคน ทุกภาคส่วน ทั้งพ่อค้าประชาชน พลเรือน ตำรวจ ทหาร ครอบครัว ได้ช่วยกันมาแสดงความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ให้มากยิ่งขึ้น คือถ้ามีอะไรที่จะเสนอแนะ หรือมีข้อคิดเห็นประการใด ก็เขียนเพิ่มเติมได้ นอกจากตอบคำถามที่ผมถามไปแล้ว ผมจะได้นำมาสู่การคิด วิเคราะห์ มาสู่การนำสู่การปฏิบัติ เพื่อจะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินนั้นเป็นผลดี และเป็นที่พึงพอใจของทุกคน ในเรื่องของการกำหนดนโยบายต่างๆ ก็จะได้ตรงตามที่พี่น้องประชาชนปรารถนา
สำหรับสัปดาห์หน้า ผมมีกำหนดการเดินทางที่สำคัญ ไปปฏิบัติภารกิจ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ตามที่ได้รับคำเชิญไว้ล่วงหน้า ดังนั้น รายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนครั้งต่อไปก็อาจจะมีการบันทึกเทปจากที่สหรัฐอเมริกา แล้วผมก็จะได้เล่าเรื่องราว สาระประโยชน์จากการทำงานให้ทุกคนได้ฟัง แล้วก็ขอให้ติดตามชมด้วยนะครับ
ในการไปต่างประเทศนั้น ผมก็ได้สั่งการให้กับช่างภาพ นักข่าว ได้ถ่ายภาพของบ้านเมืองของคนอื่นเขา ถนนหนทาง ตลาด บรรยากาศของเมืองเขา ให้พวกเราได้ดูด้วย เราจะได้คิดเปรียบเทียบกับบ้านเราว่าเราควรจะเป็นอย่างไร หลายอย่าง ผมถึงบอกว่าต้องอ่านหนังสือ หลายอย่างก็ต้องดูด้วยตาของตัวเอง หลายอย่างดูจากโทรทัศน์ก็ได้ สนใจประเทศอื่นเขาบ้าง ผมไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเหมือนเขา แต่เราเอาส่วนดีๆ ของเขามา แล้วปรับปรุงของเราที่มันดีอยู่มากพอสมควรให้มันดีขึ้นมาอีก มันก็จะเป็นประเทศที่น่าอยู่ น่าอาศัย น่าท่องเที่ยว อีกยาวนาน คนเขาจะได้ไม่เบื่อ วันนี้เขาก็มากันมากมาย วันหน้าผมก็อยากให้เขารักประเทศไทย มากันหลายๆ ครั้ง
วันนี้ก็เป็นที่น่ายินดีที่กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวเป็นอันดับ 1 และประเทศไทยก็มีรายได้จากการท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่การท่องเที่ยวจำนวนมากนั้น จริงๆ แล้วรัฐบาลได้แต่เพียงส่วนเดียวเท่านั้นล่ะครับ เป็นเรื่องของภาษี เรื่องอะไรต่างๆ เหล่านี้ แต่ในส่วนที่ได้จริงๆ ก็คือ รายได้ที่ลงไปสู่ผู้ให้บริการในพื้นที่ วันนี้ผมก็เน้นไปถึงชุมชนด้วย การท่องเที่ยวทางการเกษตร การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการท่องเที่ยวในเรื่องของพื้นที่หรือบรรยากาศสวยงาม หรือเป็นพื้นที่ที่เก่าแก่ทางวัฒนธรรม เหล่านี้มันต้องกระจายลงไปสู่ข้างล่างให้ได้ในทุกๆ จังหวัด
สำหรับเรื่องของการทุจริตโครงการโน้นโครงการนี้ ก็ต้องไปตรวจสอบนะครับ ผมไม่นิ่งนอนใจหรอก ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีหรือไม่มี ขณะนี้ยังพูดไม่ได้ มันต้องไปตรวจสอบหลายประเด็น มันเป็นปัญหาละเอียดเล็กน้อย ก็ต้องไปดู โดยเฉพาะโครงการ 9101ฯ ผมก็ให้ไปตรวจสอบ มันมีประเด็นปลีกย่อยเยอะแยะ
โครงการนี้เป็นโครงการที่ประชาชนมีส่วนร่วมจริงๆ ซึ่งถือว่าเป็นโครงการในลักษณะใหม่ที่ลงไป ก็อาจจะมีคนที่ยังไม่เข้าใจ บางคนที่อาจจะไม่ไว้วางใจ แต่ผมก็พยายามหรือยืนยันว่าจะพยายามปราบปรามการทุจริตให้ได้มากที่สุด แต่ขอให้ไปดูรายละเอียดข้างล่างด้วย ไม่ใช่ฟังอะไรมาทางแล้วก็แชร์กันต่อไป ก็ให้เวลาเขาตรวจสอบหน่อยนะครับ
ก็ขอขอบคุณอีกครั้งนะครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สำหรับเยาวชนก็ขอให้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ดูโทรทัศน์ ดูทีวี อ่านโซเชียลมีเดียอะไรก็แล้วแต่ ลองอ่านแล้วก็คิด อันไหนไม่มีประโยชน์ก็ตัดทิ้งไปเสียบ้าง บางทีมันก็ทำให้เราเสียสมาธิ ให้เราหาประสบการณ์นอกตำราเพิ่มเติม คิดว่าเราจะเอาที่โรงเรียนมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร อันนี้เป็นสิ่งที่ยาก นั่นคือความแตกต่าง ใครทำได้มาก ก็จะได้รับผลประโยชน์มาก ทำงานได้เก่งกว่าเขา ความคิดดีกว่าเขา
ถ้าท่องอย่างเดียวไปสอบ สอบได้ที่หนึ่งแต่ทำงานไม่ได้หรอกครับเพราะว่าใช้ตำราเหล่านั้นใช้วิชาการเหล่านั้นไปทำงานไม่เป็น ความคิดไม่ต่อเนื่อง วิเคราะห์ไม่เป็น กระบวนการไม่มี ก็ฝากให้ลูกหลานทุกคนได้คิดตามนะครับ ขอบคุณ สวัสดีครับ