xs
xsm
sm
md
lg

DSI ดอง “คดีโอ๊ค”จะไฟเขียว-ไฟแดงต้องรอ “พี่ใหญ่” เคาะ หลังคุย “ดีลชินสุวรรณ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวการเมือง

ทักษิณ และ พานทองแท้ ชินวัตร
ป้อมพระสุเมรุ

หากว่ากันไปตามเนื้อผ้า “คดีรับของโจร-ฟอกเงิน” ของ “หนุ่มโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร อันเกี่ยวเนื่องจากคดีทุจริตอนุมัติเงินกู้ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้กับกลุ่มกฤษดามหานครควรจะเห็นหน้าเห็นหลังมีความชัดเจนนานมากแล้ว

ตั้งแต่การตรวจสอบพบการกระทำผิดตั้งแต่เมื่อปี 2547 และมีการเริ่มไต่สวนมาตั้งแต่ปี 2549 อันนำมาสู่คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่พิพากษาเมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2558 ให้จำคุก อดีตกรรมการผู้บริหารธนาคารกรุงไทย อดีตเจ้าหน้าที่สินเชื่อ และบุคคลของกลุ่มกฤษดามหานครหลายราย ยังเหลืออยู่ก็แค่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะจำเลยที่ 1 ที่ถูกระบุว่าเป็น “บิ๊กบอส” หรือผู้สั่งการให้ผู้บริหารระดับสูงในธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้สินเชื่อดังกล่าว แต่ยังหลบหนีคดี จึงให้จำหน่ายคดีไว้เป็นการชั่วคราว

ไม่น่าเชื่อว่าในขณะที่ระดับบิ๊กหลายคนชดใช้กรรมในคุกกันไปร่วม 2 ปี แต่คดีที่เกี่ยวเนื่องกันยังไม่ขยับไปไหน โดยเฉพาะ “คดีรับของโจร-ฟอกเงิน” ที่มีชื่อของนายพานทองแท้ และพวกเข้าไปเกี่ยวข้อง

และทั้งที่ในคำวินิจฉัยขององค์คณะผู้พิพากษาประกอบการพิพากษาจำคุกอดีตกรรมการผู้บริหารธนาคารกรุงไทย และผู้ที่เกี่ยวข้องเมื่อ 2 ปีก่อน ก็มีการระบุไว้ตอนหนึ่งว่า “...เมื่อพิจารณาประกอบเส้นทางของเงินสินเชื่อที่จำเลยที่ 19 (บริษัท โกลเด้นฯ เครือกฤษดามหานคร) ได้รับจากธนาคารผู้เสียหาย มีการโอนเข้าบัญชีของจำเลยที่ 25 (นายวิชัย กฤษดาธานนท์ ผู้บริหารของเครือกฤษดามหานคร) จำนวนมาก ต่อมาเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2546 นายธีรโชติ พรมคุณ พนักงานของจำเลยที่ 20 (บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน)) ได้ซื้อแคชเชียร์เช็คธนาคารไทยธนาคาร 26 ล้านบาท โดยหักจากบัญชีของจำเลยที่ 25 สั่งจ่าย นายพานทองแท้ ชินวัตร และนำเข้าบัญชีของนายพานทองแท้ ที่ธนาคาร กรุงเทพ (จำกัด) มหาชน เลขที่บัญชี 184-0-47447-0 แต่วันเดียวกันมีการยกเลิกรายการ ครั้นวันรุ่งขึ้นนายธีรโชติซื้อแคชเชียร์เช็ค 26 ล้านบาท สั่งจ่ายบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) เพื่อชำระค่าหุ้นในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของ นางเกศินี จิปิภพ มารดาของ นางกาญจนภา หงษ์เหิน เลขาส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน (ชินวัตร ปัจจุบัน ดามาพงศ์) ต่อมานางเกศินีได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 1.8 ล้านบาท เข้าบัญชีของนายพานทองแท้ ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน… นอกจากนี้ยังได้ความจากเส้นทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า นายมานพ ทิวารี (บิดาของน.ต.ศิธา ทิวารี อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย) ที่มีจำเลยที่ 1 (นายทักษิณ ชินวัตร) เป็นหัวหน้าพรรค ได้นำเช็คของบริษัทแกรนด์ แซทเทิลไลท์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของจำเลยที่ 20 จำนวน 154,763,025 บาท รวมกับเงินที่มีการโอนเข้าบัญชีของนายมานพก่อนหน้านี้รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 172,763,025 บาท ไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนของจำเลยที่ 20… การที่จำเลยที่ 25 นำเงินสินเชื่อที่จำเลยที่ 19 ได้จากการกู้ยืมธนาคารผู้เสียหาย (ธนาคารกรุงไทย) โอนให้นายพานทองแท้จำนวนมาก โดยนายพานทองแท้ไม่สามารถชี้แจงที่มาของธุรกรรมได้ และยังโอนจำนวนมากให้นายมานพ ทิวารี (บิดาของ น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย) ไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนของจำเลยที่ 20 อย่างผิดปกติ โดยที่จำเลยที่ 25 ไม่เคยชี้แจงถึงที่มาของธุรกรรมดังกล่าว มีเหตุผลน่าเชื่อว่า ธุรกรรมของนายพานทองแท้และนายมานพเป็นการรับผลประโยชน์ตอบแทนจากการที่จำเลยที่ 19 ได้รับอนุมัติสินเชื่อจากธนาคารผู้เสียหาย...”

การรับผลประโยชน์ตอบแทนที่ระบุถึงก็เป็นที่มาของคำว่า “เงินปากถุง” ที่เชื่อกันว่านายพานทองแท้และพวกได้รับจากการร่วมล็อบบี้ให้ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ครั้งนั้น

ทว่าหลังจากที่ “คดีโอ๊ค กรุงไทย” ถูกหยิบยกขึ้นมาพดูถึงในช่วงนี้ โดยผู้จุดประเด็นคือ ฝ่ายนายพานทองแท้ ที่พยายามชี้นำให้สังคมเชื่อว่า รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และจ้องเล่นงานตัวเองในฐานะ “ทายาทชินวัตร” ที่ยังเหลือรอดอยู่ หลัง “อาปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตัดช่องน้อยหนีการฟังคำพิพากษาคดีโครงการรับจำนำข้าวไปเมื่อเดือนก่อน

“ยอดชายนายโอ๊คอ๊าค” ยังพยายามตะแบงด้วยว่า เงินที่มาถึงมือตัวเองนั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของวงเงินกู้ทั้งหมด 9.9 พันล้านบาท หรือหากตัวเองผิดก็ต้องไปไล่เบี้ยความผิดกับบุคคลหรือหน่วยงานอื่นที่มีเส้นทางการเงินก้อนนี้เหมือนกัน

เมื่อรู้ว่าภัยกำลังจะมาถึงตัว ก็เลยดิ้นกระเสือกกระสน พาลไปทั่วว่าตัวเองผิด คนอื่นก็ผิดด้วย ตามประสา “ลูกคุณหนู” ที่ใช้ชีวิตสุขสบายมาตลอดชีวิต หากพลาดพลั้งต้องเข้าไปชดใช้กรรมในตะรางก็คงสยดสยองไม่หยอก

ในจังหวะที่นายพานทองแท้ออกอาการ “หนูติดจั่น” อย่างหนัก ในทางกลับกัน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ผู้รับผิดชอบคดีนี้ดูจะ “สโลว์ไลฟ์” ไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับความคืบหน้าของคดีให้เห็น ทั้งที่ ดีเอสไอได้นำคำพิพากษาศาลฎีกาฯ มาต่อยอด แล้วผู้เกี่ยวข้องในฝ่ายการเมืองเข้าให้ถ้อยคำ อาทิ พานทองแท้ นางกาญจนาภาหงษ์เหิน (เลขาฯ ส่วนตัวคุณหญิงพจมาน) (สามีนางกาญจนาภา) และ นายมานพ ทิวารี บิดา น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่มีชื่อได้รับทรัพย์สินบางส่วนที่เกิดจากการปล่อยกู้เครือกฤษดามหานคร

ดีเอสไอ ไม่เดือดร้อนจนตอนนี้ “คดีรับของโจร” หมดอายุความคามือไปแล้ว ส่วน “คดีฟอกเงิน” เหลืออายุความไม่ถึงปี จะสิ้นสุดในปี 2561 นี้แล้ว

เดิมก็มีกระแสข่าวว่า ทางดีเอสไอ กำลังจะเรียกนายพานทองแท้ และพวกเข้ารับฟังข้อกล่าวหาในอีกไม่นานนี้ แต่เมื่อข่าวหลุดออกไป ทางดีเอสไอกลับออกมาชี้แจงว่า ข่าวคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง เพราะขณะนี้อยู่ในระหว่างประสานข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะในเรื่องเส้นทางการเงิน

การที่ ดีเอสไอ ไม่ตัดสินใจลงดาบสักที ก็ทำให้กองเชียร์ผิดหวังไม่น้อย

แล้วยังต้องมาผิดหวังมากขึ้นไปอีก เมื่อ “บิ๊กยะ” พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เปิดเผยว่า ได้มอบหมายเจ้าหน้าที่ปปง.ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษนายพานทองแท้และพวก ต่อดีเอสไอแล้ว พร้อมแนบข้อมูลพยานหลักฐาน การตรวจสอบเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ให้แก่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษของดีเอสไอแล้วเช่นกัน

เหมือนเป็นการตบหน้า “ดีเอสไอ” ฉาดใหญ่ว่า ที่ทำท่ามะงุมมะงาหรา ทั้งที่ ปปง.ป้อนข้อมูลให้ทุกอย่างแล้ว

พลันที่ “บิ๊กยะ” ออกมาระบุว่า ปปง.ได้ส่งทุกอย่างให้แล้ว ฝ่ายดีเอสไอ โดย พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ รองโฆษกดีเอสไอ ผู้เคยระบุว่าต้องทำงานกันอีกหลายขั้นตอน ก็ออกมายอมรับเสียงอ่อยๆ ทันทีว่า พนักงานสอบสวนจะนำข้อมูล รวมถึงพฤติการณ์ หลักฐานต่างๆ มาพิจารณาว่าจะแจ้งข้อหาแก่ใคร และประกอบด้วยข้อหาใดบ้าง จากนั้นผู้ที่ถูกกล่าวหา สามารถที่จะนำหลักฐานมาแก้ข้อกล่าวหาได้ตามสิทธิ์ ซึ่งตามหลักการสากล พนักงานสอบสวนจะพิจารณาและให้ความเป็นธรรมกับทั้งผู้กล่าวหา และผู้ที่ถูกกล่าวหา ก่อนที่จากนั้นจะพิจารณาส่งฟ้องศาลต่อไป

แสดงว่าที่ผ่านมา การอ้างว่าต้องรอข้อมูลหลักฐานต่างๆ อยู่นั้นเป็นเพียงลูกไม้ “เตะถ่วง” ที่ไม่เนียนตาเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้ออ้างว่าต้องมีการตรวจสอบ “เส้นทางการเงิน” นั้น ทาง ปปง.ก็ยืนยันว่าทำให้เรียบร้อย อีกทั้งหากไปยึดตามคำวินิจฉัยในคดีจำคุกผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ก็มีการระบุถึงเส้นทางการเงินให้อย่างสำเร็จรูป ดีเอสไอไม่ต้องงมให้เสียเวลา แถมอาจจะแจ้งข้อกล่าวหา และนำตัวส่งฟ้องศาลได้ในวันนี้-พรุ่งนี้ด้วยซ้ำ

เรียกได้ว่า เครื่องปรุงทุกอย่างพร้อมสรรพ อยู่ที่พ่อครัวจะต้มยำทำแกงเมื่อไหร่เท่านั้นเอง

จนอาจเชื่อมโยงได้ว่าจังหวะชะงักของ “ดีเอสไอ” ไม่ใช่แค่ชน “ตอ” ธรรมดา ยังชนเข้ากับ “หินโสโครก” ที่ทำเอาเดินต่อไปไม่ได้ ทั้งที่ลึกๆ แล้ว “บิ๊กดีเอสไอ” ก็ต้องการ “คดีดัง” มากอบกู้ภาพลักษณ์หน่วยงานที่ช่วงหลังๆ มีแต่เรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้น

“หินโสโครก” ในที่นี้ก็คงหนีไม่พ้น “ดีลชินสุวรรณ” ที่ “บุคคลระดับนำ” กำลังเร่งมือเจรจาให้ลงตัว มองกันไกลไปถึงการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งครึ่งต่อไป แต่ก็ได้ปลดล็อกเงื่อนไขที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์หลบหนีออกจากนอกประเทศได้โดยสะดวก และวางเงื่อนไขการดำเนินคดีนายพานทองแท้ไว้เป็นลักษณะ “ตัวประกัน-ข้อต่อรอง” ที่จะถูกหยิบขึ้นมาให้มีการดำเนินการเมื่อใดก็ได้

ซึ่งการที่ถูกนำขึ้นมาเป็นประเด็นในช่วงนี้ ก็เนื่องด้วยกระแสความนิยมในรัฐบาล คสช. ตลอดจนตัว “นายกฯ ตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นตกต่ำลงอย่างหนัก คดีที่มี “บุคคลสำคัญของระบอบทักษิณ” ร่วมเป็นว่าที่ผู้ต้องหา จึงถูกนำขึ้นมาเพื่อทำให้ “ติ่ง คสช.-ติ่งลุงตู่” เห็นว่ารัฐบาลพยายามฟาดฟันกับ “ระบอบทักษิณ” อย่างเต็มรูปแบบ

หากแต่พอกระบวนการเนิ่นช้าผิดสังเกต ก็ทำให้ “สังคมไทยที่ฉลาดพอ” จับได้ไล่ทันว่า ผู้มีหน้าที่รักษากฎหมายนั้มีสัญญาใจกับกลุ่มว่าที่ผู้ต้องหาหรือไม่

และก็เป็นเรื่องบังเอิญข่าวว่า “บุคคลระดับนำ” ฝ่ายหนึ่งก็คือ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษุ์สวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงในฐานะ “พี่ใหญ่ คสช.” ดันมีภารกิจต้องไปเยือนเกาะอังกฤษ สหราชอาณาจักร เมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางที่ว่ากันว่า “พี่ษิณ” พา “น้องปู” มากบดานและพยายามทำเรื่องขอลี้ภัยทางการเมืองกับทางการประเทศอังกฤษอยู่

จนถูกจับตาว่าคิวการเยือนมหานครลอนดอนของ “ป๋าป้อม” อาจจะมี “แขกพิเศษ” มาร่วมตั้งวงจิบชายามบ่ายด้วยก็ได้ ซึ่งผลจากวงพูดคุยที่ประเทศอังกฤษนี่แหละ จะเป็นบทสรุปชี้ขาดชะตากรรมของ “ลูกโอ๊ค” ในวิบากกรรม “เงินปากถุง” ที่ค้างเติ่งมานานหลายปี จะ “ไฟเขียว-ไฟแดง” ทุกอย่างอยู่ในดุลพินิจของ “ป๋าป้อม” แต่เพียงผู้เดียว
กำลังโหลดความคิดเห็น