ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ถอดรหัสระเบิด“รพ.พระมงกุฎฯ”5 กลุ่มต้องสงสัย
เคยฮาท้องคัดท้องแข็งกับมุกเสียดสีที่ว่า“วงจรปิดเมืองไทย ใช้ได้ทุกจุด เว้นจุดเกิดเหตุ" …แต่พอมีข่าวว่า CCTVวงจรปิดของ“โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ”อยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุระเบิดใกล้ “ห้องวงษ์สุวรรณ”เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา พังไปถึง 9 ตัว จาก 13 ตัว ก็ได้แต่หัวเราะหึ หึ … ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ที่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่จะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับข้อมูลจากกล้องวงจรปิด ตั้งแต่ตอนเกิดเหตุใหม่ๆ หรือกระทั่งภาพจากกล้องวงจรปิด ตัวที่สามารถใช้งานได้ ซึ่งน่าจะพอปะติปะต่อเส้นทาง-พฤติกรรม “บุคคลต้องสงสัย”ได้ไม่มากก็น้อย แต่อาจจะเป็นลูกไม้“สับขาหลอก”ที่หวังให้“คนร้ายตายใจ”แบบที่ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. เคยกล่าวไว้เมื่อครั้งเหตุการณ์ระเบิดที่หน้าโรงละครแห่งชาติก็เป็นได้ ... ทำให้ตอนนี้มี“หลักฐานเด็ด”แค่ภาพถ่ายขมุกขมัว ที่ถ่ายไว้โดย “พลเมืองดี”ก่อนเกิดเหตุราว 5 นาที โดยมีสิ่งแปลกปลอมคือ“แจกันดอกไม้”ที่เจ้าหน้าที่ รพ.พูดตรงกันว่า ไม่เคยมีใครเห็นอยู่ตรงนั้นมาก่อน พร้อมด้วย“ผู้ต้องสงสัย”ประกอบฉากอีก 2-3 ราย
เมื่อมั่นใจว่าเป็นการวางระเบิดของ“ผู้ไม่ประสงค์ดี”แต่ยังจับมือใครดมไม่ได้ ตลอดทั้งวันหลังเกิดเหตุ จึงเป็นคิวของ“กูรู-กูรู้”ทั้งใน “สภากาแฟ-สังคมออนไลน์”ที่พากันวิเคราะห์ถึงผู้ที่เข้าข่าย“ผู้ลงมือ-ผู้บงการ”รวมทั้งเบื้องลึก-เบื้องหลัง “มูลเหตุจูงใจ”ในการก่อวินาศกรรมใน “โรงพยาบาลทหาร” อย่างไร้มนุษยธรรม ... สรุปคร่าวๆ มี 5 กลุ่ม ที่ผ่านเข้ารอบ ตั้งแต่ 1.“เสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์”ที่ต้องการสร้างสถานการณ์บั่นทอดความเชื่อมั่นรัฐบาลคสช. 2.“คนมีสี-ทหารอกหัก”ที่ถูกกดตัวในช่วงคสช. เรืองอำนาจ หรือกระทั่งพวกที่หมั่นไส้รัฐบาลทหาร 3.“กลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้”ขยายพื้นที่ก่อเหตุเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองกับรัฐบาล 4. ของขวัญจาก“มหาอำนาจ-นักเลงโลก”สั่งสอน ที่ไทยกันไปซบอกขั้วมหาอำนาจอื่น กระทั่ง 5.“แนวร่วมหรือทีมงานคสช.” จัดเอง ทำให้สถานการณ์บ้านเมืองไม่สงบ ปูทาง“รัฐบาลทหาร”อยู่ยาวๆ … คาดการณ์กันมาประมาณนี้ น้ำหนักในแต่ละข้อ อาจจะลดหลั่น-แตกต่างกันไป ยากที่จะฟันธงว่า แท้จริงแล้วใครกันที่เล่นเกมเสี่ยง เลือกเป้าหมายก่อเหตุที่แสนจะละเอียดอ่อน จนมีแต่เสียงก่นด่าขรมเมือง
** กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด ปล่อยผี“แดงฮาร์ดคอร์”จ้องแต่จะปรองดอง-สร้างบารมี
มองอย่างไร้อคติก็เป็นไปได้ทุกทาง เหมือนอย่างที่“บิ๊กแดง”พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 บอกว่า กลุ่มที่ต้องสงสัย มีหลายกลุ่มด้วยกัน … แต่ถ้ามองอย่าง“อคติ”แล้ว คนคงรุมชี้นิ้วไปที่“กลุ่มแรก”ที่สามารถเชื่อมโยงไปถึง ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะ“คู่ขัดแย้งเบอร์หนึ่ง”ได้ใกล้เคียงที่สุด ... วิเคราะห์ได้ตั้งแต่ “ไทม์มิ่ง”เลือกก่อเหตุวันครบรอบ 3 ปีรัฐประหารคสช. พร้อม “แสดงสัญลักษณ์”มุ่งไปที่หน้า“ห้องวงษ์สุวรรณ”แน่นอนว่าต้องการลูบคม“พี่ใหญ่ คสช.” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ความมั่นคง เลือกเป้าใหญ่ชกไปที่“ขาใหญ่แห่งยุค”ตลอดจนการก่อเหตุด้วย “ไปป์บอมบ์”ที่มี “กลิ่นอาย - ลายเซ็น” ของคนร้ายที่ “คนในวงการ”ต่างชี้ว่า คล้าย หรือเป็นขบวนการเดียวกับเหตุระเบิดก่อนหน้านี้ ทั้งที่ “หน้ากองสลากเก่า”และ“โรงละครแห่งชาติ”ทั้งเรื่องอุปกรณ์ก่อเหตุ และความพยายามในการแสดง“นัยยะ”บางประการ
แต่ก็มีมุมที่ “ย้อนแย้ง”อยู่บ้าง เพราะในขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้ และคสช.กำลังเดินตามโรดแมป ระยะสุดท้าย ซึ่งก็มีการพูดเรื่องการจัดการเลือกตั้งครั้งหน้า ในช่วงเดือน ส.ค. 61 หรืออย่างมากก็ไม่เกินช่วงปลายปี 61 ดังนั้น “ทักษิณ”หรือ “คนเสื้อแดง”ก็ไม่น่าจะสร้างสถานการณ์ให้เกิดความไม่สงบเป็น“ข้ออ้าง”ให้การเลือกตั้งต้องยืดออกไป เพื่อที่จะใช้คูหาเลือกตั้งตะกายกลับเข้าวังวนอำนาจให้เร็วที่สุด ... หากแต่ก็ดูเบา “เสื้อแดงฮาร์ดคอร์”ที่บางส่วนไม่ฟังอีร้า ค่าอีรม ท่องขึ้นใจว่า เกลียดทหาร-เกลียดคสช. จึงถือโอกาสฤกษ์ดีวันครบรอบ 22 พ.ค. ใช้ความเป็น“แก๊งใต้ดิน”ปฏิบัติการตบหน้าคสช. ด้วยประเมินแล้วว่า รัฐบาลทหาร ยากที่จะผละมือจากอำนาจในเร็ววัน ... อย่างน้อยก็ทำให้คสช.เสียหน้า ดีไม่ดีอาจได้ “สองเด้ง”มีอุบัติเหตุแทรกซ้อน จน“ยักษ์ คสช.”ล้มตึงไปเลยก็เป็นได้
แล้วถ้าเป็นฝีมือ“แดงฮาร์ดคอร์”จริง ก็คงโทษใครไม่ได้นอกเสียจาก ตัว“บิ๊กป้อม”หัวหน้าทีมความมั่นคงของรัฐบาล ที่ “กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด” ไม่เด็ดขาดในการกำราบกลุ่มการเมืองต่างๆ หวังที่จะ “ซื้อใจ”เพื่อปลุกปั้นบรรยากาศปรองดอง พร้อมทั้ง“สร้างบารมีตัวเอง”ในการประสานขุมข่ายการเมืองต่างๆ ออกไปในทาง“เกี้ยเซียะ”เพื่อให้ทางสะดวก ในระหว่างที่ตัวเองมีอำนาจ หรือกระทั่งการสืบต่ออำนาจในอนาคต จึงจะเห็นได้ว่า ตลอด 3 ปี คสช. ที่ว่ากันว่ามีการกวาดล้างคนเสื้อแดงนั้น เป็นเพียงปลาซิว-ปลาสร้อย หรือบุคคลมีชื่อที่อยู่หน้าฉาก แต่สำหรับ “ฮาร์ดคอร์ตัวจริง”ยังอยู่ดีมีสุขทั้งในและต่างประเทศ ... พลอตเรื่องก็คล้ายๆ กับนิทานอีสป“ชาวนากับงูเห่า”นั่นแล
** คดีกรุงไทยใกล้ถึงฉากจบ ปลุกกระแสป่วน ยื้อชะตา “ลูกโอ๊ค”
แต่เรื่อใหญ่ขนาดนี้ก็คงตัดคนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ออกกลางคันคงไม่ได้ แน่นอนว่า “ทักษิณ”ย่อมอยากให้มีการเลือกตั้งให้เร็วที่สุด ตามสัญญาณที่ส่งลิ่วล้อ หรือน้องสาว “หนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกมากระตุ้นรัฐบาลคสช.เป็นระยะ ผนวกกับข่าวไล่เทกโอเวอร์พรรคการเมืองอื่น ที่ถูกจับได้ไล่ทันไปแล้ว ... ยิ่งในสถานการณ์ "คสช.ขาลง –เรตติ้งลุงตู่ตก" แบบนี้ สู้อยู่เฉยๆ การเมืองนิ่งๆ นับนิ้วให้ถึงวันเลือกตั้ง โอกาสเข้ากุมอำนาจ หรือเพิ่มราคาต่อรองกับคสช.ในอนาคตอันใกล้ก็มีมากโข ... แต่ก็ดันมี“ปัจจัยเร่ง”อย่างคดีความต่างๆ ที่กำลังจะถูกเช็คบิล โดยเฉพาะ“คนในตระกูลชินวัตร”ที่มีชนักปักหลังกันทั่วหน้า ไม่ใช่แค่คดีจำนำข้าวของ “หนูปู”ที่มีช่องให้ยื้อไปอีกหลายยก ที่สุดหากถูกตัดสินว่าผิด ทั้งในทางอาญา หรือถูกอายัดทรัพย์สิน เพื่อชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง ก็ไม่ยาก แค่ตัดช่องน้อยแต่พอตัว หนีไปซุกหัวอยู่กับพี่ชายที่ต่างแดน ... คดีที่เป็น“ปัจจัยเร่งระดับ 4G”คือ “คดีกรุงไทย”ที่มี “โอ๊คอ๊าค”พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายหัวแก้วหัวแหวน ของทักษิณ ที่มีข่าวหนาหูว่าคืบหน้าไปมาก จนตอนนี้ “ลูกโอ๊ค”ใกล้ถูกจับคอพาดเขียง “ดีเอสไอ”ตั้งแท่นเตรียมสรุปฟ้องฉกรรจ์อย่าง“รับของโจร - ฟอกเงิน”แม้โทษไม่หนัก แต่ก็คงเลี้ยงไม่โต …เมื่อภัยจะมาถึงลูกรัก อาจทำให้ “พ่อแม้ว”หน้ามืด เล่นเกมเสี่ยงที่ไม่มีใครคาดถึงอย่างที่สงสัยกันอยู่ก็เป็นได้.
ช.ชฎา
รูป-- พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ -- ทักษิณ ชินวัตร -- พานทองแท้ ชินวัตร
** ถอดรหัสระเบิด“รพ.พระมงกุฎฯ”5 กลุ่มต้องสงสัย
เคยฮาท้องคัดท้องแข็งกับมุกเสียดสีที่ว่า“วงจรปิดเมืองไทย ใช้ได้ทุกจุด เว้นจุดเกิดเหตุ" …แต่พอมีข่าวว่า CCTVวงจรปิดของ“โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ”อยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุระเบิดใกล้ “ห้องวงษ์สุวรรณ”เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา พังไปถึง 9 ตัว จาก 13 ตัว ก็ได้แต่หัวเราะหึ หึ … ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ที่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่จะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับข้อมูลจากกล้องวงจรปิด ตั้งแต่ตอนเกิดเหตุใหม่ๆ หรือกระทั่งภาพจากกล้องวงจรปิด ตัวที่สามารถใช้งานได้ ซึ่งน่าจะพอปะติปะต่อเส้นทาง-พฤติกรรม “บุคคลต้องสงสัย”ได้ไม่มากก็น้อย แต่อาจจะเป็นลูกไม้“สับขาหลอก”ที่หวังให้“คนร้ายตายใจ”แบบที่ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. เคยกล่าวไว้เมื่อครั้งเหตุการณ์ระเบิดที่หน้าโรงละครแห่งชาติก็เป็นได้ ... ทำให้ตอนนี้มี“หลักฐานเด็ด”แค่ภาพถ่ายขมุกขมัว ที่ถ่ายไว้โดย “พลเมืองดี”ก่อนเกิดเหตุราว 5 นาที โดยมีสิ่งแปลกปลอมคือ“แจกันดอกไม้”ที่เจ้าหน้าที่ รพ.พูดตรงกันว่า ไม่เคยมีใครเห็นอยู่ตรงนั้นมาก่อน พร้อมด้วย“ผู้ต้องสงสัย”ประกอบฉากอีก 2-3 ราย
เมื่อมั่นใจว่าเป็นการวางระเบิดของ“ผู้ไม่ประสงค์ดี”แต่ยังจับมือใครดมไม่ได้ ตลอดทั้งวันหลังเกิดเหตุ จึงเป็นคิวของ“กูรู-กูรู้”ทั้งใน “สภากาแฟ-สังคมออนไลน์”ที่พากันวิเคราะห์ถึงผู้ที่เข้าข่าย“ผู้ลงมือ-ผู้บงการ”รวมทั้งเบื้องลึก-เบื้องหลัง “มูลเหตุจูงใจ”ในการก่อวินาศกรรมใน “โรงพยาบาลทหาร” อย่างไร้มนุษยธรรม ... สรุปคร่าวๆ มี 5 กลุ่ม ที่ผ่านเข้ารอบ ตั้งแต่ 1.“เสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์”ที่ต้องการสร้างสถานการณ์บั่นทอดความเชื่อมั่นรัฐบาลคสช. 2.“คนมีสี-ทหารอกหัก”ที่ถูกกดตัวในช่วงคสช. เรืองอำนาจ หรือกระทั่งพวกที่หมั่นไส้รัฐบาลทหาร 3.“กลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้”ขยายพื้นที่ก่อเหตุเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองกับรัฐบาล 4. ของขวัญจาก“มหาอำนาจ-นักเลงโลก”สั่งสอน ที่ไทยกันไปซบอกขั้วมหาอำนาจอื่น กระทั่ง 5.“แนวร่วมหรือทีมงานคสช.” จัดเอง ทำให้สถานการณ์บ้านเมืองไม่สงบ ปูทาง“รัฐบาลทหาร”อยู่ยาวๆ … คาดการณ์กันมาประมาณนี้ น้ำหนักในแต่ละข้อ อาจจะลดหลั่น-แตกต่างกันไป ยากที่จะฟันธงว่า แท้จริงแล้วใครกันที่เล่นเกมเสี่ยง เลือกเป้าหมายก่อเหตุที่แสนจะละเอียดอ่อน จนมีแต่เสียงก่นด่าขรมเมือง
** กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด ปล่อยผี“แดงฮาร์ดคอร์”จ้องแต่จะปรองดอง-สร้างบารมี
มองอย่างไร้อคติก็เป็นไปได้ทุกทาง เหมือนอย่างที่“บิ๊กแดง”พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 บอกว่า กลุ่มที่ต้องสงสัย มีหลายกลุ่มด้วยกัน … แต่ถ้ามองอย่าง“อคติ”แล้ว คนคงรุมชี้นิ้วไปที่“กลุ่มแรก”ที่สามารถเชื่อมโยงไปถึง ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะ“คู่ขัดแย้งเบอร์หนึ่ง”ได้ใกล้เคียงที่สุด ... วิเคราะห์ได้ตั้งแต่ “ไทม์มิ่ง”เลือกก่อเหตุวันครบรอบ 3 ปีรัฐประหารคสช. พร้อม “แสดงสัญลักษณ์”มุ่งไปที่หน้า“ห้องวงษ์สุวรรณ”แน่นอนว่าต้องการลูบคม“พี่ใหญ่ คสช.” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ความมั่นคง เลือกเป้าใหญ่ชกไปที่“ขาใหญ่แห่งยุค”ตลอดจนการก่อเหตุด้วย “ไปป์บอมบ์”ที่มี “กลิ่นอาย - ลายเซ็น” ของคนร้ายที่ “คนในวงการ”ต่างชี้ว่า คล้าย หรือเป็นขบวนการเดียวกับเหตุระเบิดก่อนหน้านี้ ทั้งที่ “หน้ากองสลากเก่า”และ“โรงละครแห่งชาติ”ทั้งเรื่องอุปกรณ์ก่อเหตุ และความพยายามในการแสดง“นัยยะ”บางประการ
แต่ก็มีมุมที่ “ย้อนแย้ง”อยู่บ้าง เพราะในขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้ และคสช.กำลังเดินตามโรดแมป ระยะสุดท้าย ซึ่งก็มีการพูดเรื่องการจัดการเลือกตั้งครั้งหน้า ในช่วงเดือน ส.ค. 61 หรืออย่างมากก็ไม่เกินช่วงปลายปี 61 ดังนั้น “ทักษิณ”หรือ “คนเสื้อแดง”ก็ไม่น่าจะสร้างสถานการณ์ให้เกิดความไม่สงบเป็น“ข้ออ้าง”ให้การเลือกตั้งต้องยืดออกไป เพื่อที่จะใช้คูหาเลือกตั้งตะกายกลับเข้าวังวนอำนาจให้เร็วที่สุด ... หากแต่ก็ดูเบา “เสื้อแดงฮาร์ดคอร์”ที่บางส่วนไม่ฟังอีร้า ค่าอีรม ท่องขึ้นใจว่า เกลียดทหาร-เกลียดคสช. จึงถือโอกาสฤกษ์ดีวันครบรอบ 22 พ.ค. ใช้ความเป็น“แก๊งใต้ดิน”ปฏิบัติการตบหน้าคสช. ด้วยประเมินแล้วว่า รัฐบาลทหาร ยากที่จะผละมือจากอำนาจในเร็ววัน ... อย่างน้อยก็ทำให้คสช.เสียหน้า ดีไม่ดีอาจได้ “สองเด้ง”มีอุบัติเหตุแทรกซ้อน จน“ยักษ์ คสช.”ล้มตึงไปเลยก็เป็นได้
แล้วถ้าเป็นฝีมือ“แดงฮาร์ดคอร์”จริง ก็คงโทษใครไม่ได้นอกเสียจาก ตัว“บิ๊กป้อม”หัวหน้าทีมความมั่นคงของรัฐบาล ที่ “กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด” ไม่เด็ดขาดในการกำราบกลุ่มการเมืองต่างๆ หวังที่จะ “ซื้อใจ”เพื่อปลุกปั้นบรรยากาศปรองดอง พร้อมทั้ง“สร้างบารมีตัวเอง”ในการประสานขุมข่ายการเมืองต่างๆ ออกไปในทาง“เกี้ยเซียะ”เพื่อให้ทางสะดวก ในระหว่างที่ตัวเองมีอำนาจ หรือกระทั่งการสืบต่ออำนาจในอนาคต จึงจะเห็นได้ว่า ตลอด 3 ปี คสช. ที่ว่ากันว่ามีการกวาดล้างคนเสื้อแดงนั้น เป็นเพียงปลาซิว-ปลาสร้อย หรือบุคคลมีชื่อที่อยู่หน้าฉาก แต่สำหรับ “ฮาร์ดคอร์ตัวจริง”ยังอยู่ดีมีสุขทั้งในและต่างประเทศ ... พลอตเรื่องก็คล้ายๆ กับนิทานอีสป“ชาวนากับงูเห่า”นั่นแล
** คดีกรุงไทยใกล้ถึงฉากจบ ปลุกกระแสป่วน ยื้อชะตา “ลูกโอ๊ค”
แต่เรื่อใหญ่ขนาดนี้ก็คงตัดคนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ออกกลางคันคงไม่ได้ แน่นอนว่า “ทักษิณ”ย่อมอยากให้มีการเลือกตั้งให้เร็วที่สุด ตามสัญญาณที่ส่งลิ่วล้อ หรือน้องสาว “หนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกมากระตุ้นรัฐบาลคสช.เป็นระยะ ผนวกกับข่าวไล่เทกโอเวอร์พรรคการเมืองอื่น ที่ถูกจับได้ไล่ทันไปแล้ว ... ยิ่งในสถานการณ์ "คสช.ขาลง –เรตติ้งลุงตู่ตก" แบบนี้ สู้อยู่เฉยๆ การเมืองนิ่งๆ นับนิ้วให้ถึงวันเลือกตั้ง โอกาสเข้ากุมอำนาจ หรือเพิ่มราคาต่อรองกับคสช.ในอนาคตอันใกล้ก็มีมากโข ... แต่ก็ดันมี“ปัจจัยเร่ง”อย่างคดีความต่างๆ ที่กำลังจะถูกเช็คบิล โดยเฉพาะ“คนในตระกูลชินวัตร”ที่มีชนักปักหลังกันทั่วหน้า ไม่ใช่แค่คดีจำนำข้าวของ “หนูปู”ที่มีช่องให้ยื้อไปอีกหลายยก ที่สุดหากถูกตัดสินว่าผิด ทั้งในทางอาญา หรือถูกอายัดทรัพย์สิน เพื่อชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง ก็ไม่ยาก แค่ตัดช่องน้อยแต่พอตัว หนีไปซุกหัวอยู่กับพี่ชายที่ต่างแดน ... คดีที่เป็น“ปัจจัยเร่งระดับ 4G”คือ “คดีกรุงไทย”ที่มี “โอ๊คอ๊าค”พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายหัวแก้วหัวแหวน ของทักษิณ ที่มีข่าวหนาหูว่าคืบหน้าไปมาก จนตอนนี้ “ลูกโอ๊ค”ใกล้ถูกจับคอพาดเขียง “ดีเอสไอ”ตั้งแท่นเตรียมสรุปฟ้องฉกรรจ์อย่าง“รับของโจร - ฟอกเงิน”แม้โทษไม่หนัก แต่ก็คงเลี้ยงไม่โต …เมื่อภัยจะมาถึงลูกรัก อาจทำให้ “พ่อแม้ว”หน้ามืด เล่นเกมเสี่ยงที่ไม่มีใครคาดถึงอย่างที่สงสัยกันอยู่ก็เป็นได้.
ช.ชฎา
รูป-- พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ -- ทักษิณ ชินวัตร -- พานทองแท้ ชินวัตร