xs
xsm
sm
md
lg

“ประยุทธ์” คาดกฎหมายบังคับลูกจ้างออมเงินกับ กบช. มีผลปีหน้า เริ่มจากบริษัทใหญ่ก่อน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ประยุทธ์” เผยภายในปี 60 เตรียมทุ่ม 30 ล้าน พัฒนาฐานข้อมูลภาครัฐให้นำไปวิเคราะห์ใช้ประโยชน์ได้เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมของไทย คาดกฎหมายบังคับลูกจ้างในระบบออมเงินกับ กบช. มีผลใช้ปีหน้า โดยจะเริ่มจากบริษัทใหญ่ก่อน มั่นใจช่วยประชาชนสบายหลังเกษียณ เล็งเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ พร้อมผุดมาตรการให้คนแก่ฐานะดีสละสิทธิ์รับเบี้ยฯ ซึ่งหากมีผู้สละสิทธิ์เพียง 10% จะมีเงินเข้ากองทุนชราภาพมากถึง 4,000 ล้านบาทต่อปี

วันนี้ (25 ส.ค.) เมื่อเวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า รัฐบาลนี้พยายามผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรมให้ได้ คือฐานข้อมูลภาครัฐ ที่เรียกว่า ดาต้า เซ็นเตอร์ สำหรับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และวิชาการ สามารถนำไปวิเคราะห์ใช้ประโยชน์ได้ ลักษณะเป็นบิ๊กดาต้า ทั้งนี้ จากผลการประชุมวิชาการของสำนักงานเศรฐกิจอุตสาหกรรม สศอ.ที่ผ่านมา ทำให้เกิดบูรณาการแนวคิดของภาครัฐและเอกชน ในการกำหนดนโยบายสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรม โดยเฉพาะฐานข้อมูลขนาดใหญ่ บิ๊กดาต้า ซึ่งสำคัญมากต่อการยกระดับอุตสาหกรรมของไทย เพื่อรองรับการเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เพราะจะเป็นนโยบายที่เอื้อต่อการสร้างเครือข่าย ทำให้ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน สามารถเข้าถึงข้อมูลมีคุณภาพ ทันสมัย และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งระบบ โดยปี 2560 นี้ รัฐบาลจะใช้งบประมาณ 30 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาระบบบิ๊ก ดาต้า 3 ด้าน ได้แก่

1. การสร้างทีมบุคลากร เพื่อเร่งผลิตนักวิเคราะห์ข้อมูล โดยระยะสั้นจำเป็นต้องจัดหาผู้เชี่ยวชาญภายนอก มาเป็นหัวหน้าทีมก่อน ระยะต่อไปจะต้องพัฒนาบุคลากรภายใน สศอ.เอง 2. การบริหารจัดการข้อมูล กรณีที่มีข้อมูลอยู่แล้ว แต่ละหน่วยมีงาน โดย สศอ.จะหารือและจะทำบันทึกความเข้าใจร่วมกัน ในการนำข้อมูลมาใช้ พร้อมจัดทำข้อมูลใหม่ๆ เช่น ทำระบบข้อมูลจีไอเอส เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของ การพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงพื้นที่ และ 3. การพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยการสร้างแบบจำลอง ดาต้า โมเดล ให้เหมาะสมกับประเภทข้อมูล และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์โลก

ทั้งนี้ สิ่งที่ได้รับอาจประเมินค่าเศรษฐกิจเป็นตัวเลขไม่ได้ แต่จะก่อให้เกิดการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม ทำให้ผู้ประกอบการมีความสามารถในการแข่งขัน และมีนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้ทันการแข่งขันในอนาคต ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยพลังประชารัฐ ในการทำงาน มีความร่วมมือกันทั้งภาครัฐ เอกชน และนักวิชาการ ตั้งแต่กำหนดทิศทาง ของการพัฒนาอุตสาหกรรมประเทศ เป็นต้นไป

นายกฯ กล่าวอีกว่า ตัวอย่างบทเรียนในอดีต ประเทศไทยใช้ศักยภาพในการผลิต 70% ของขีดความสามารถจริงได้เท่านั้น สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากไม่สามารถเข้าถึง เข้าใช้ข้อมูลได้เท่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้การวิเคราะห์ข้อมูลขาดความแม่นยำ การพยากรณ์แนวโน้มในอนาคตคาดเคลื่อน ไม่สมบูรณ์ รวมถึงการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทำได้ยาก เป็นอุปสรรคต่อการยกระดับเศรษฐกิจ ถึงการนำพาในการไปสู่การเป็นไทยแลนด์ 4.0 ทั้งที่การใช้เทคโนโลยีบิ๊กดาต้าจะเป็นเครื่องมือหลักในอนาคตอันใกล้ ในการสร้างมูลค่าเพิ่ม ทั้งภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งภาคการท่องเที่ยวและบริการ รวมถึงมีผลงานวิจัยของทีดีอาร์ไอระบุว่า เศรษฐกิจยุคใหม่จะใช้ข้อมูลเป็นสำคัญ โดยนำข้อมูลมาประมวลผลตามแนวทางบิ๊กดาต้านั้น เพียงแค่ 1 ใน 5 ของภาคเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ จะทำให้จีดีพี โตขึ้น 0.82% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 84,000 ล้านบาท ดังนั้น ความต้องการแรงงานทักษะในตลาดแรงงานยุคต่อไป หรืออาชีพที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด ไม่ใช่เพียงนักสถิติ นักวิเคราะห์ธรรมดาทั่วไป แต่ต้องเป็นนักวิเคราะห์ บิ๊ก ดาต้า ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยที่เปิดการเรียน การสอนโดยเฉพาะ แต่เราคงต้องเริ่มแล้วตั้งแต่วันนี้เพื่อให้ทันใช้งานในวันข้างหน้า โดยการศึกษาที่เป็นพื้นฐานที่รัฐบาลนี้ได้ผลักดันอย่างเต็มที่แล้วก็คือ STEM ศึกษานั่นเอง

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกกว่า วันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) มีอายุครบ 2 ขวบแล้ว เป็นกองทุนที่รัฐบาลนี้ผลักดัน และจัดตั้งให้มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญที่สอดคล้องกับศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ ๙ เรื่องการปลูกฝังพฤติกรรมการออมและการทำบัญชีครัวเรือน แก่พสกนิกรของพระองค์ รวมทั้ง เป็นการดำเนินชีวิตที่ไม่ประมาทอีกด้วย

กลุ่มเป้าหมายของกองทุนนี้ไม่ได้จำกัดแต่เพียงแรงงานนอกระบบ อาทิ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เกษตรกร รับจ้าง ลูกจ้างชั่วคราวเท่านั้น แต่ได้ขยายกรอบไปสู่ประชาชนในวงกว้าง รวมทั้งนักเรียน นักศึกษาและผู้ที่ไม่อยู่ในกองทุนใดๆ เพื่อให้คนไทยทุกคน ทั่วประเทศรักการออม

ปัจจุบัน กอช.มีเงินในกองทุนราว 2,400 กว่าล้านบาท จากสมาชิกกว่า 530,000 ราย จากแรงงานนอกระบบ ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ประมาณ 27 ล้านคน

ตนอยากให้คนไทยทุกคนมีความสุข โดยเฉพาะผู้สูงอายุซึ่งมีจำนวนมากขึ้นทุกปี ปีนี้ประเทศไทยมีผู้ที่มีอายุเกินกว่า 60 ปี จำนวน 10.3 ล้านคน หรือ 16% ของประชากรทั้งประเทศ และคาดว่าอีก 8 ปีข้างหน้า จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น เป็น 20% โดยในจำนวนนี้ มี 3.5 ล้านคน ที่เป็นผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี ที่รัฐบาลจำเป็นต้องเข้าไปดูแล

นายกฯ กล่าวต่ออีกว่า โดยกระทรวงต่างๆ ได้เตรียมการล่วงหน้าเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้จัดทำแผนดูแลผู้สูงอายุ, กระทรวงสาธารณสุข จัดทำแผนสุขภาพแห่งชาติและกระทรวงแรงงาน จัดทำแผนจัดหางานให้ผู้สูงอายุ เป็นต้น

นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง ก็มีแนวความคิดในการเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ เพื่อให้เหมาะสมต่อสภาพค่าครองชีพในปัจจุบัน โดยจะต้องมีมาตรการส่งเสริมให้มีการสละสิทธิ์ของผู้สูงอายุฐานะดี และประสงค์ไม่รับเบี้ยผู้สูงอายุ เพื่อให้รัฐบาลสามารถนำเงินในส่วนดังกล่าว ไปตั้งเป็นกองทุนชราภาพเพื่อจะช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยได้อย่างแท้จริงตามหลักการเบื้องต้น

จากการประเมินทราบว่า หากมีผู้สละสิทธิ์เพียง 10% ก็จะมีเงินเข้ากองทุนชราภาพ มากถึง 4,000 ล้านบาทต่อปี รัฐบาลก็จะสามารถดูแลผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยอย่างแท้จริง ได้ดีขึ้น กว่าในปัจจุบัน

นายกฯ กล่าวด้วยว่า สำหรับแรงงานในระบบ แม้ว่าจะมีกองทุนประกันสังคมแล้ว ที่เน้นในเรื่องหลักประกันสุขภาพ เจ็บป่วย ประสบอุบัติเหตุเป็นต้น แต่ยังคงมีข้อจำกัด ในการดูแลพี่น้องแรงงานในระบบหลังเกษียณ ให้มีความมั่นคงทางการเงิน

ดังนั้น รัฐบาลนี้จึงพยายามจะผลักดันให้เกิดกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) ที่จะมาเติมเต็ม เพื่อส่งเสริมให้แรงงานในระบบ มีการออมเงินผ่านกองทุนฯ ในลักษณะบังคับออมเพื่ออนาคต ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการของกฎหมาย และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ในปีหน้า โดยจะเริ่มบังคับใช้กับบริษัทขนาดใหญ่ก่อน แล้วขยายไปใช้กับบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กต่อไป คาดว่าภายใน 7 ปีข้างหน้าจะมีผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบกองทุน กบช.ได้ครบทั้งหมด โดยครอบคลุมแรงงานในระบบ กว่า 14 ล้านคน

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ถ้าเป็นไปตามหลักการที่ตั้งไว้ หากท่านเป็นแรงงานในระบบที่ส่งเงินเข้า กบช. ตั้งแต่อายุ 15-60 ปี อย่างต่อเนื่อง ท่านก็จะมีรายได้หลังเกษียณสูงถึง 40,000 กว่าบาทต่อเดือน นอกจากนี้ หากท่านส่งเงินสมทบ เข้ากองทุนประกันสังคม ตั้งแต่อายุ 20-55 ปี ท่านก็จะเงินหลังเกษียณประมาณ 7,500 บาทต่อเดือน และเมื่อรวมเงินทั้ง 2 ส่วนนี้แล้ว ท่านก็จะมีเงินไว้ใช้ยามชราภาพ ไม่ต่ำกว่า 50,000 บาทต่อเดือน ซึ่งน่าจะเพียงพอต่อการดำรงชีพหลังวัยเกษียณ นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่เสี่ยง ไม่ประมาทไม่เป็นภาระลูกหลาน และไม่ต้องพึ่งพาแต่การช่วยเหลือจากรัฐบาล สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของการผลักภาระแต่อย่างใด แต่เป็นมาตรการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชน อันเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของประเทศ ที่เป็นหลักการสากลและ เป็นการใช้งบประมาณแผ่นดินของรัฐที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการส่งเสริมการออมของประชาชน ประกอบกับการลงทุนเพื่ออนาคตของรัฐ

คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 25 สิงหาคม 2560


สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ด้วยพระปรีชาสามารถของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ที่ทรงนำทัพนักกีฬาขี่ม้าทีมชาติไทย ได้รับรางวัลเหรียญเงินจากการแข่งขันขี่ม้าประเภทศิลปะบังคับม้า หรือ Dressage ในการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 29 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้สร้างความปลื้มปีติให้กับคนไทยทั้งประเทศอีกครั้งหนึ่ง ภายหลังจากที่เคยทรงได้รับรางวัลเหรียญทอง จากการแข่งขันแบดมินตัน ประเภททีมหญิง ในกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 23 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อ 12 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนับว่าพระองค์ทรงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักกีฬาไทยทุกคน ให้ทำหน้าที่และสร้างผลงานของตนให้ดีที่สุด เพื่อเกียรติประวัติของตน และเกียรติภูมิของประเทศ นำความสุขมาสู่ชาวไทยทั้งชาติอีกด้วย

พี่น้องประชาชนที่รักครับ ในการลงพื้นที่พบปะกับพี่น้องประชาชน พี่น้องเกษตรกร ข้าราชการ และผู้ประกอบการในพื้นที่ จ.นครราชสีมา และภาคอีสานของผมและคณะรัฐมนตรี เพื่อที่จะรับฟังเสียงสะท้อนของประชาชนในเรื่องต่างๆ จากการบริหารราชการแผ่นดิน 3 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งรับฟังความต้องการของประชาชนในพื้นที่ และจะนำมาพิจารณาในการประชุมคณะรัฐมนตรีในทุกภาคนั้น เพื่อจะได้นำไปสู่การอนุมัติแผนงานโครงการงบประมาณให้สามารถดำเนินงานได้ในหลายโครงการ เพื่อจะบรรเทาปัญหาและช่วยเหลือพี่น้องประชาชนชาวอีสาน และชาวโคราช ซึ่งผมจะขอเล่าให้ทุกคนจากทุกภาคได้รับรู้รับทราบถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาล และได้ตื่นตัวในการมีส่วนร่วมกับรัฐบาล โดยจะต้องเชื่อมโยงกันในระดับภาค และประเทศดังต่อไปนี้

1. ปัญหาการขาดแคลนน้ำ และน้ำท่วมซ้ำซากนั้น ผมได้เร่งรัดแผนบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล เพื่อมาใช้พัฒนาบริหารจัดการน้ำในภาคอีสาน เพื่อเสริมระบบชลประทานที่สามารถกระจายน้ำสู่พื้นที่เกษตรได้ โดยใช้แรงโน้มถ่วงในสภาพภูมิประเทศที่เป็นพื้นที่สูง มีระดับน้ำในแม่น้ำโขงที่ปากน้ำเลย อ.เชียงคาน จ.เลย ให้ไหลผ่านอุโมงค์ผันน้ำเข้าสู่พื้นที่ ซึ่งโครงการนี้จะสามารถใช้บรรเทาอุทกภัยได้ด้วย แต่คงต้องใช้เวลาในการศึกษาผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม และใช้เวลาในการก่อสร้างหลายปี ใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องเร่งดำเนินการเรื่องการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมโดยด่วน ในระหว่างนี้เราคงต้องมีการดำเนินการด้านอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อจะบรรเทาปัญหา เช่น การเก็บกักน้ำตั้งแต่ต้นน้ำชี โดยเร่งรัดการดำเนินโครงการอ่างลำสะพุง จ.ชัยภูมิ ที่ยังติดเรื่องการใช้พื้นที่ ซึ่งจะเร่งแก้ปัญหาโดยการย้ายตำแหน่งของพื้นที่ลงมาที่เชิงเขา เพื่อไม่ให้กระทบกับพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า

นอกจากนี้ จะพิจารณาการก่อสร้างประตูระบายน้ำตามจังหวัดชายแดนที่ติดแม่น้ำโขง เพื่อให้เก็บกักน้ำก่อนระบายสู่แม่น้ำโขง ทั้งนี้จะเร่งพิจารณางบประมาณ และแผนงานเพื่อดำเนินการต่อไป รวมทั้งการเร่งรัดจัดทำอีไอเอ และออกแบบโครงการประตูระบายน้ำปากแม่น้ำสงคราม อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เป็นกรณีเร่งด่วน

สำหรับการบริหารน้ำนอกเขตชลประทานนั้น จะมีการเพิ่มระบบกักเก็บน้ำ และระบบกระจายน้ำ โดยสร้างแหล่งกักเก็บน้ำขนาดเล็กแบบหลุมขนมครก โดยจะพิจารณาสนับสนุนเครื่องจักรกลในการขุดเจาะบ่อบาดาลให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการดำเนินการเพิ่มพื้นที่เก็บน้ำในที่นา และปรับแปลงนาตามเกษตรทฤษฎีใหม่อีกด้วย

2.การสนับสนุนการค้าการลงทุน และโครงสร้างพื้นฐานในภาคอีสาน เพื่อจะยกระดับศักยภาพของพื้นที่ และอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงพื้นที่ โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวนั้น ผมได้หารือกับหน่วยงานต่างๆ โดยเห็นว่าจะต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมให้สอดคล้อง และรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ อาทิ การก่อสร้างรถไฟทางคู่ผ่านในเขตเทศบาลนครราชสีมา นับเป็นโครงการที่ทุกฝ่ายสนับสนุน และต้องขจัดปัญหาการแบ่งพื้นที่ชุมชนออกเป็น 2 ฝั่ง ที่อาจส่งผลต่อการดำเนินชีวิต และการค้าขายของประชาชนในพื้นที่ โดยบรรลุข้อสรุปร่วมกันว่า ให้มีการปรับแผนโครงการให้เป็นทางรถไฟยกระดับ ซึ่งอาจส่งผลให้ต้องขยายระยะเวลาในการดำเนินงานออกไปอีก 17 เดือน สำหรับงานออกแบบโครงสร้างทางยกระดับ การศึกษาอีไอเอเพิ่มเติม และการก่อสร้าง รวมถึงอาจทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นราว 2,700 ล้านบาท แต่นับว่าคุ้มค่า หากจะต้องแลกกับความสุขของประชาชนที่ประเมินค่าเป็นตัวเงินไม่ได้ เพราะโครงการนี้จะอยู่คู่เมือง คู่ประเทศไปอีกชั่วลูกชั่วหลาน สำหรับการสนับสนุนการค้า ผมได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้พิจารณาขับเคลื่อนการพัฒนาด่านชายแดนให้เกิดการบูรณาการอย่างจริงจัง ให้มีการจัดการในลักษณะ One Stop Service เพื่อให้การบริการมีประสิทธิภาพ สะดวก และย่นระยะเวลา โดยอาจจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาด่านชายแดน เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทำงานต่อไป

ทั้งนี้ ในอนาคตเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนอีสานทั้ง 3 แห่งคือ ใน จ.หนองคาย จ.นครพนม และ จ.มุกดาหาร อาจจะต้องมีการต่อยอดขยายผล เพื่อไปสู่ระดับเดียวกับอีอีซีได้ เมื่อทุกอย่างมีความพร้อม ทุกอย่างต้องพร้อมในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน น้ำ ไฟ ประปา โทรศัพท์ ดิจิทัล อะไรเหล่านี้ พร้อมทั้งหมด และขณะเดียวกันต้องคำนึงถึงมูลค่า หรือผู้ที่สนใจในการลงทุนด้วย ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป แต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน ส่วนการสนับสนุนให้โคราชเป็นเมืองท่องเที่ยวนั้น ต้องร่วมมือกันในรูปแบบประชารัฐ ให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โดยภาครัฐจะเข้าไปสนับสนุนขอให้เป็นความริเริ่มจากชุมชน เป็นการระเบิดจากข้างในในการยกระดับแหล่งท่องเที่ยวชุมชนในรูปแบบต่างๆ ทั้งศิลปะ วัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ กีฬา อาหาร สมุนไพร รวมทั้งของดีที่เป็นสินค้าประจำจังหวัด เช่น เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ผ้าไหมปักธงชัย เป็นต้น ก็คงต้องดูแลเรื่องของความทรุดโทรมของสถานที่ท่องเที่ยวด้วย ตลอดจนถนนหนทาง สร้างความเชื่อมโยงเพราะว่าแต่ละแห่งสวยงามแต่มีระยะทางไกล เดินทางไปมาไม่ค่อยสะดวก

ทั้งนี้ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อต้นสัปดาห์ ได้มีการอนุมัติให้ดำเนินงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือหลายด้านด้วยกัน อาทิ

1. โครงการทางหลวงด่วนพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน -นครราชสีมา ในส่วนของการให้เอกชนมาร่วมลงทุนกิจการของรัฐ หรือเรียกว่า PPP ซึ่งทางหลวงพิเศษนี้ จะมีระยะทางประมาณ 196 กิโลเมตร และเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงพิเศษ ระหว่างเมืองจากกรุงเทพมหานคร - หนองคาย ซึ่งจะมีระยะทางรวมทั้งสิ้น 535 กิโลเมตร ซึ่งก็ะเป็นเส้นทางที่เชื่อมโยงกรุงเทพมหานคร กับศูนย์กลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านในบริเวณพื้นที่อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง จะช่วยลดต้นทุน ลดความแออัดของการจราจร และเป็นการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี อีกด้วย

2. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น กว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ในพื้นที่ภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือและภาคเหนือให้กลับสู่ปกติโดยเร็ว

3. เห็นชอบข้อเสนอแผนงานโครงการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่

(1) การกำหนดพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งอย่างเป็นระบบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 8 พื้นที่ ให้ครอบคลุม 18 จังหวัด เพื่อให้มีความชัดเจนในการบูรณาการ แก้ไขปัญหาอุทกภัย และภัยแล้ง

(2) ให้กรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมทรัพยากรน้ำ เสนอโครงการที่มีความพร้อมเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2561 เพิ่มเติม รวม 348 โครงการ เป็นเงินทั้งสิ้น 8,800 กว่าล้านบาท จะมีพื้นที่ได้รับประโยชน์ราว 550,000 ไร่ คิดเป็นปริมาณน้ำที่จะเพิ่มขึ้น 107 ล้านลูกบาศก์เมตร

ทั้งนี้ ก็เพื่อแก้ไขปัญหาทั้งอุทกภัยและภัยแล้งครอบคลุมภาคตะวันออกเฉียง เหนือใน 8 พื้นที่ดังกล่าว โดยจะมีการพิจารณา และวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการและงบประมาณเพื่อจะขอรับการสนับสนุนงบประมาณ เพื่ออนุมัติต่อไป

(3) ให้รวบรวมแผนงานโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในระยะยาว ปี 2563 ถึง 2569 ตามแผนบริหารจัดการน้ำของภาคตะวันออก เฉียงเหนือ จากทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยแผนงานดังกล่าวจะต้องสามารถแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของพื้นที่เสี่ยงรุนแรง และร้อยละ 50 ของพื้นที่ทั้งหมด

(4) ให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดแก้ไขปัญหาสิ่งกีดขวางทางน้ำ หรือกำหนดมาตรการรองรับกรณีเกิดอุทกภัย โดยต้องแล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน 2560 นี้

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งในมาตรการสำคัญๆ ที่ได้ดำเนินการ เพื่อบรรเทาปัญหาของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ยังมีอีกหลายเรื่องที่ได้มีการหยิบยกขึ้นมาหารือ และต้องร่วมกันพิจารณาแนวทางแก้ไข เช่น เรื่องการศึกษา การพัฒนาแรงงาน และการสาธารณสุข ซึ่งก็ได้มีการมอบหมายส่วนงานให้ไปพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนแล้ว

ผมต้องขอขอบคุณพี่น้องชาวโคราช ภาคเอกชน และข้าราชการในพื้นที่ ตลอดจนทุกจังหวัด ในพื้นทีภาค อีสาน ที่ได้มาต้อนรับและให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ กับผมและคณะฯ อย่างอบอุ่น และเปี่ยมด้วยมิตรไมตรีที่ดียิ่ง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติไทย

การลงพื้นที่ครั้งนี้ ผมและคณะรัฐมนตรี รวมถึงข้าราชการจากส่วนกลาง ได้รับประโยชน์อย่างมาก เพราะได้รับข้อมูลโดยตรงจากพี่น้องประชาชน ได้ลงไปเห็นปัญหา และผลงาน รวมถึงสิ่งที่ต้องดำเนินการเพิ่มเติมในระยะต่อไป ซึ่งจะทำให้การดำเนินงานของภาครัฐมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผม และคณะรัฐมนตรี ตั้งใจไว้แล้ว ว่าจะเดินทางลงพื้นที่เช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ไปยังภาคอื่นๆ ให้ทั่วถึง

ขอให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบว่ารัฐบาลนี้ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาภูมิภาคเป็นอย่างมาก เพราะเป็นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งผม และคณะรัฐมนตรี พร้อมที่จะรับฟังความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ และจะพยายามแก้ไข บรรเทาทุกข์ของท่าน อย่างเต็มกำลังความสามารถ ผมอยากให้เราเดินหน้า และปรับตัวเพื่อสู้กับปัญหาไปด้วยกัน

ในระหว่างการเดินทางลงพื้นที่ของผมในครั้งนี้ ผมได้รับรายงานการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ ซึ่งเป็นที่น่าชื่นชม ในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ที่เฉี่ยวชนกัน โดยให้การช่วยเหลือเบื้องต้นแล้วนำ ด.ญ.คณิศร ปันคำ ผู้ได้รับบาดเจ็บ ไปส่งโรงพยาบาลประทาย และส่งต่อไปยังโรงพยาบาลมหาราชเพื่อทำการผ่าตัดได้อย่างทันท่วงที

อีกทั้งยังได้ติดตามอาการเด็กอย่างใกล้ชิดจนปลอดภัย โดยโอกาสนี้ ผมขอฝากคำชื่นชมไปยัง ส.ต.ท.ปรีชา บุญสอน ด.ต.สายยนต์ พานงูเหลือม รวมทั้งเพื่อนตำรวจอีกหลายนายในการช่วยเหลือประชาชนดังกล่าว ขอให้รักษาความดีเหล่านี้ไว้ และขอให้เป็นที่พึ่งของประชาชนได้ตลอดไป รวมทั้งขอส่งกำลังใจให้น้องคณิศรหายเจ็บในเร็ววันด้วย

ผมขอขอบคุณทั้งเจ้าหน้าที่พลเรือน ฝ่ายพลเรือน อาสาสมัคร ดับเพลิงป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน ทหารในพื้นที่ทุกคน ทำหน้าที่ดีที่สุด ก็ขอให้ดูแลประชาชน ไปด้วย พร้อมกับดูแลผม ประชาชนสำคัญที่สุด จะเห็นว่า ถ้าบ้านเมืองเรามีพลเมืองดี มีข้าราชการดี คนไทยก็จะมีความสุขและมีความปลอดภัย จึงอยากให้ช่วยกันทำความดีเพื่อสังคม ให้มากๆ ทำได้ทุกวัน

พี่น้องประชาชนที่เคารพครับเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้น มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในอาเซียน มีสัดส่วนในเศรษฐกิจอาเซียนถึง ร้อยละ 20 หากเรายังมีการเติบโต ในอัตราเฉลี่ยระดับ 3.7% ถึงแม้จะดีที่สุดแล้วในปัจจุบัน แต่ผมเห็นว่า ยังคงเป็นกล้ามเนื้อที่อ่อนแรง ยังไม่ยั่งยืน ยังไม่เข้มแข็งไปทั้งตัว เราต้องกลับมาวิเคราะห์ตนเอง เพื่อจะหาจุดอ่อน จุดแข็ง ในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้ได้ แม้ว่า 3 ปี ที่ผ่านมา รัฐบาลจะได้เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และแก้ปัญหาเรื่องน้ำในภาพรวมตามที่ผมได้เล่าให้ฟังต่อเนื่อง รวมทั้งเรื่องปรับปรุงกฎหมาย ตีตราข้อบังคับที่ล้าสมัย ซับซ้อน ขัดแย้งกันเอง และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ท่านทราบหรือไม่ ปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายที่เป็นพระราชบัญญัติถึง 20,000 ฉบับ หากรวมกฎหมายอื่นๆ จะมากถึง 105,000 ฉบับ ที่เป็นตัวอย่างประเด็นปัญหาของเราที่รอการปฏิรูป

ส่วนเรื่องที่สามารถดำเนินการได้ทันที ไม่สลับซับซ้อนเกินไป รัฐบาลจะเร่งดำเนินการ โดยมีมาตรการระยะสั้น กลาง ยาว ควบคู่กันไป ตัวอย่างการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของประเทศนั้น รัฐบาลนี้ ให้ความสำคัญตั้งแต่เศรษฐกิจระดับฐานราก อาทิ มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายและสะดวกขึ้น รวมทั้งเข้าสู่ห่วงโซ่การผลิตของประเทศ ดังนี้

1. การค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่อ อุตสาหกรรมขนาดย่อม บสย. จะมีวงเงินค้ำประกัน 8.1 หมื่นล้านบาท โดย บสย.จะเริ่มช่วยเหลือ ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม ที่ผ่านมา เป็นต้นไป คาดว่าจะช่วยเหลือ เอสเอ็มอี ได้ราว 27,000 ราย

2. การปล่อยสินเชื่อ เอสเอ็มอี ในธุรกิจและบริการด้านการท่องเที่ยว ราว 7,500 ล้านบาท โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สำหรับบุคคลธรรมดาไม่เกิน 2 ล้านบาท และนิติบุคคลไม่เกิน 15 ล้านบาท และ

3. กองทุนประชารัฐ 3.8 หมื่นล้านบาท คาดว่าสร้างเงินหมุนเวียน ภายในระบบเศรษฐกิจได้ถึง 5-6 แสนล้านบาท ในช่วงปลายปี 2560 ถึงต้นปี 2561 และตั้งเป้าจะมีผู้ยื่นขออนุมัติวงเงิน ในกองทุนประชารัฐทั้งหมด และจะพิจารณาให้เสร็จสิ้นได้ภายในเดือนตุลาคม 2560 นี้

อีกเรื่องที่อาจเป็นเรื่องใหม่ของใครบางคน แต่เป็นเรื่องที่รัฐบาลนี้พยายามผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรมให้ได้ คือฐานข้อมูลภาครัฐ ที่เรียกว่า ดาต้า เซนเตอร์ สำหรับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และวิชาการ สามารถนำไปวิเคราะห์ใช้ประโยชน์ได้ ลักษณะเป็นบิ๊กดาต้า ทั้งนี้ จากผลการประชุมวิชาการของสำนักงานเศรฐกิจอุตสาหกรรม สศอ.ที่ผ่านมา ทำให้เกิดบูรณาการแนวคิดของภาครัฐและเอกชน ในการกำหนดนโยบายสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรม โดยเฉพาะฐานข้อมูลขนาดใหญ่ บิ๊กดาต้า ซึ่งสำคัญมากต่อการยกระดับอุตสาหกรรมของไทย เพื่อรองรับการเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เพราะจะเป็นนโยบายที่เอื้อต่อการสร้างเครือข่าย ทำให้ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน สามารถเข้าถึงข้อมูลมีคุณภาพ ทันสมัย และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งระบบ โดยปี 2560 นี้ รัฐบาลจะใช้งบประมาณ 30 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาระบบบิ๊ก ดาต้า 3 ด้าน ได้แก่

1. การสร้างทีมบุคลากร เพื่อเร่งผลิตนักวิเคราะห์ข้อมูล โดยระยะสั้น จำเป็นต้องจัดหาผู้เชี่ยวชาญภายนอก มาเป็นหัวหน้าทีมก่อน ระยะต่อไป จะต้องพัฒนาบุคลากรภายใน สศอ.เอง

2. การบริหารจัดการข้อมูล กรณีที่มีข้อมูลอยู่แล้ว แต่ละหน่วยมีงาน โดย สศอ.จะหารือและจะทำบันทึกความเข้าใจร่วมกัน ในการนำข้อมูลมาใช้ พร้อมจัดทำข้อมูลใหม่ๆ เช่น ทำระบบข้อมูลจีไอเอส เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของ การพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงพื้นที่ และ

3. การพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยการสร้างแบบจำลอง ดาต้า โมเดล ให้เหมาะสมกับประเภทข้อมูล และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์โลก

ทั้งนี้ สิ่งที่ได้รับอาจประเมินค่าเศรษฐกิจเป็นตัวเลขไม่ได้ แต่จะก่อให้เกิดการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม ทำให้ผู้ประกอบการมีความสามารถในการแข่งขัน และมีนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้ทันการแข่งขันในอนาคต ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยพลังประชารัฐ ในการทำงาน มีความร่วมมือกันทั้งภาครัฐ เอกชน และนักวิชาการ ตั้งแต่กำหนดทิศทาง ของการพัฒนาอุตสาหกรรมประเทศ เป็นต้นไป

ตัวอย่างบทเรียนในอดีต ประเทศไทยใช้ศักยภาพในการผลิต 70% ของขีดความสามารถจริงได้เท่านั้น สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากไม่สามารถเข้าถึง เข้าใช้ข้อมูลได้เท่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้การวิเคราะห์ข้อมูลขาดความแม่นยำ การพยากรณ์แนวโน้มในอนาคตคาดเคลื่อน ไม่สมบูรณ์ รวมถึงการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ของผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี ทำได้ยาก เป็นอุปสรรคต่อการยกระดับเศรษฐกิจ ถึงการนำพาในการไปสู่การเป็นไทยแลนด์ 4.0 ทั้งที่การใช้เทคโนโลยี บิ๊ก ดาต้า จะเป็นเครื่องมือหลักในอนาคตอันใกล้ ในการสร้างมูลค่าเพิ่ม ทั้งภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งภาคการท่องเที่ยวและบริการ รวมถึงมีผลงานวิจัยของทีดีอาร์ไอ ระบุว่า เศรษฐกิจยุคใหม่จะใช้ข้อมูลเป็นสำคัญ โดยนำข้อมูลมาประมวลผลตามแนวทางบิ๊ก ดาต้า นั้น เพียงแค่ 1 ใน 5 ของภาคเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ จะทำให้จีดีพี โตขึ้น 0.82% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 84,000 ล้านบาท ดังนั้น ความต้องการแรงงานทักษะในตลาดแรงงานยุคต่อไป หรืออาชีพที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด ไม่ใช่เพียงนักสถิติ นักวิเคราะห์ธรรมดาทั่วไป แต่ต้องเป็นนักวิเคราะห์ บิ๊ก ดาต้า ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยที่เปิดการเรียน การสอนโดยเฉพาะ แต่เราคงต้องเริ่มแล้ว ตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้ทันใช้งาน ในวันข้างหน้า โดยการศึกษาที่เป็นพื้นฐานที่รัฐบาลนี้ได้ผลักดันอย่างเต็มที่แล้ว ก็คือ STEM ศึกษานั่นเอง

พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ, วันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) มีอายุครบ 2 ขวบ แล้วนะครับ

เป็นกองทุนที่รัฐบาลนี้ ผลักดัน และจัดตั้งให้มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ.2554 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญ ที่สอดคล้องกับศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ 9 เรื่องการปลูกฝังพฤติกรรมการออมและ การทำบัญชีครัวเรือน แก่พสกนิกรของพระองค์ รวมทั้ง เป็นการดำเนินชีวิตที่ไม่ประมาทอีกด้วย

กลุ่มเป้าหมายของกองทุนนี้ไม่ได้จำกัดแต่เพียง แรงงานนอกระบบ อาทิ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เกษตรกร รับจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว เท่านั้น แต่ได้ขยายกรอบไปสู่ประชาชนในวงกว้าง รวมทั้งนักเรียน นักศึกษาและผู้ที่ไม่อยู่ในกองทุนใดๆ เพื่อให้คนไทยทุกคน ทั่วประเทศรักการออม

ปัจจุบัน กอช. มีเงินในกองทุนราว 2,400 กว่าล้านบาท จากสมาชิกกว่า 530,000 ราย จากแรงงานนอกระบบ ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ประมาณ 27 ล้านคน

ผมอยากให้คนไทยทุกคนมีความสุข โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นทุกปี ปีนี้ประเทศไทยมีผู้ที่มีอายุเกินกว่า 60 ปี จำนวน 10.3 ล้านคน หรือ 16% ของประชากรทั้งประเทศ และคาดว่าอีก 8 ปีข้างหน้า จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น เป็น 20% โดยในจำนวนนี้ มี 3.5 ล้านคน ที่เป็นผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี ที่รัฐบาลจำเป็นต้องเข้าไปดูแล

โดยกระทรวงต่างๆ ได้เตรียมการล่วงหน้าเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้จัดทำแผนดูแลผู้สูงอายุ, กระทรวงสาธารณสุข จัดทำแผนสุขภาพแห่งชาติและกระทรวงแรงงาน จัดทำแผนจัดหางานให้ผู้สูงอายุ เป็นต้น

นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง ก็มีแนวความคิดในการเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ เพื่อให้เหมาะสมต่อสภาพค่าครองชีพในปัจจุบัน โดยจะต้องมีมาตรการส่งเสริมให้มีการสละสิทธิ์ของผู้สูงอายุฐานะดี และประสงค์ไม่รับเบี้ยผู้สูงอายุ เพื่อให้รัฐบาลสามารถนำเงินในส่วนดังกล่าว ไปตั้งเป็นกองทุนชราภาพเพื่อจะช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยได้อย่างแท้จริงตามหลักการเบื้องต้น

ทั้งนี้ จากการประเมินทราบว่า หากมีผู้สละสิทธิ์เพียง 10% ก็จะมีเงินเข้ากองทุนชราภาพ มากถึง 4,000 ล้านบาทต่อปี รัฐบาลก็จะสามารถดูแลผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยอย่างแท้จริง ได้ดีขึ้น กว่าในปัจจุบัน

สำหรับแรงงานในระบบ แม้ว่าจะมีกองทุนประกันสังคมแล้ว ที่เน้นในเรื่องหลักประกันสุขภาพ เจ็บป่วย ประสบอุบัติเหตุเป็นต้น แต่ยังคงมีข้อจำกัด ในการดูแลพี่น้องแรงงานในระบบหลังเกษียณ ให้มีความมั่นคงทางการเงิน

ดังนั้น รัฐบาลนี้ จึงพยายามจะผลักดันให้เกิดกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) ที่จะมาเติมเต็ม เพื่อส่งเสริมให้แรงงานในระบบ มีการ ออมเงินผ่านกองทุนฯ ในลักษณะบังคับออมเพื่ออนาคต ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการของกฎหมาย และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ในปีหน้า

โดยจะเริ่มบังคับใช้กับบริษัทขนาดใหญ่ก่อน แล้วขยายไปใช้กับบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กต่อไป ซึ่งคาดว่า ภายใน 7 ปีข้างหน้า จะมีผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบกองทุน กบช.ได้ครบทั้งหมด โดยครอบคลุมแรงงานในระบบ กว่า 14 ล้านคน

ทั้งนี้ ถ้าเป็นไปตามหลักการที่ตั้งไว้ หากท่านเป็นแรงงานในระบบ ที่ส่งเงินเข้า กบช. ตั้งแต่อายุ 15-60 ปี อย่างต่อเนื่อง ท่านก็จะมีรายได้หลังเกษียณสูงถึง 40,000 กว่าบาทต่อเดือน นอกจากนี้ หากท่านส่งเงินสมทบ เข้ากองทุนประกันสังคม ตั้งแต่อายุ 20-55 ปี ท่านก็จะเงินหลังเกษียณประมาณ 7,500 บาทต่อเดือน และเมื่อรวมเงินทั้ง 2 ส่วนนี้แล้ว ท่านก็จะมีเงินไว้ใช้ยามชราภาพ ไม่ต่ำกว่า 50,000 บาทต่อเดือน ซึ่งน่าจะเพียงพอต่อการดำรงชีพ หลังวัยเกษียณ นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่เสี่ยง ไม่ประมาทไม่เป็นภาระลูกหลาน และไม่ต้องพึ่งพาแต่การช่วยเหลือจากรัฐบาล สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของการผลักภาระแต่อย่างใด

แต่เป็นมาตรการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชน อันเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของประเทศ ที่เป็นหลักการสากลและ เป็นการใช้งบประมาณแผ่นดินของรัฐที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการส่งเสริมการออมของประชาชน ประกอบกับการลงทุนเพื่ออนาคตของรัฐ

สุดท้ายนี้ ผมอยากให้คนไทยได้ร่วมอนุรักษ์และภาคภูมิใจว่าประเทศไทย เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพของพันธุ์พืช และสัตว์ ในอันดับต้นๆ ของโลก โดยเรามีพืชสมุนไพร มากกว่า 10,000 ชนิด

ซึ่งรัฐบาลนี้ ได้ผลักดันโครงการพัฒนาสมุนไพรเชิงเศรษฐกิจ โดยเน้น 4 สมุนไพรหลักในเบื้องต้น คือกระชายดำ ขมิ้นชัน ไพล และบัวบกโดยดำเนินการอย่างครบวงจร ตั้งแต่การจัดทำฐานข้อมูลสมุนไพร,การเพิ่มพื้นที่การเพาะปลูกสมุนไพร การพัฒนาตลาดกลางวัตถุดิบสมุนไพร การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา และโครงสร้างพื้นฐานห้องปฏิบัติการ การพัฒนาธุรกิจ SMEs ด้านสมุนไพร การรับรองคุณภาพและออกใบอนุญาตในการผลิต จำหน่าย และส่งออก การเพิ่มศักยภาพทางการตลาด และตลาด e-Commerce รวมไปถึงการพัฒนาเมืองสมุนไพร เป็นต้น

ทั้งนี้ การพัฒนาสมุนไพรไทยเชิงเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้จะเป็นอีกยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนประเทศในอนาคต ที่ตอบสนองความต้องการคนทั่วโลก ที่หันมาสนใจการดูแลสุขภาพแนวธรรมชาติมากขึ้นทุกวัน

ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้เรียนรู้ ในสรรพคุณสมุนไพรไทย และการใช้ประโยชน์เพื่อการดูแลสุขภาพของตนเอง ผมจึงอยากเชิญชวนพี่น้องประชาชนไปร่วมในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 14 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ช่วงวันที่ 30 สิงหาคม - 3 กันยายน 2560 นี้

ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น