เมืองไทย 360 องศา
ท้องถิ่นในที่นี้ หมายถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ก่อนหน้านี้ นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เปิดเผยว่า มีองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่ง ใช้งบประมาณขนมวลชนมาให้กำลังใจ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กำลังถูกดำเนินคดีในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฐานปล่อยปละละเลยทำให้เกิดความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว
แม้ว่าผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน จะไม่ได้ระบุว่าเป็นพื้นที่ใดบ้าง แต่ใช้คำว่า “หลายแห่ง” ที่ใช้งบผิดประเภทดังกล่าว และได้แจ้งเตือนไปแล้วและเตรียมที่จะเรียกเงินคืน รวมทั้งดำเนินคดีอาญาต่อไปด้วย
ขณะเดียวกัน ทาง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ย้ำว่า ได้ออกคำสั่งให้มีการสอบสวนหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้ว
หากพิจารณากันแบบผิวเผินเหมือนกับว่าไม่ค่อยมีอะไร อีกไม่นานเรื่องก็เงียบไป แต่ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งก็ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก และยังเป็นการสะท้อนความจริงที่รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะปล่อยให้ผ่านไปไม่ได้เป็นอันขาด เพราะหากมีการพิสูจน์ออกมาเรื่องดังกล่าวเป็นความจริง นั่นก็เท่ากับว่า กว่า 3 ปี ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความล้มเหลว ไม่อาจสร้างความปรองดอง และลดความข้ดแย้งในบ้านเมืองตามที่พวกเขาอ้างเหตุมาตั้งแต่แรกแล้วว่า “เข้ามาเพื่อป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งในบ้านเมืองขยายวงออกไป” ความหมายคือ บ้านเมืองมีความขัดแย้ง แตกแยก ทำให้ คสช. ต้องเข้ามาห้าม”
โดยพยายามทำให้เห็นว่า คสช. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับใคร แบบว่า “เป็นกลาง (ลอยตัว)” พวกเขาเป็นผู้เข้ามาเป็น “กรรมการห้ามมวย” เท่านั้น อีกทั้งเวลานี้กระทรวงกลาโหม กำลังเตรียมที่คลอดแบบฟอร์มสำหรับการปรองดองของคนในชาติ อย่างเอาจริงเอาจัง
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณากันแบบแยกส่วน ก็จะเห็นว่า “ความขัดแย้ง” ในความหมายของพวกเขา ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ยังไม่ได้ลดลงเลย อย่างน้อยในเรื่องการทำความเข้าใจกับอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ฝ่ายของทักษิณ ชินวัตร ที่มีเครือข่าย กลไกสำคัญ คือ พรรคเพื่อไทย มวลชนคนเสื้อแดงที่สนับสนุนคนในครอบครัวชินวัตร จะเห็นได้จากไม่ว่าคนในครอบครัวนี้จะถูกดำเนินคดีไปถึงชั้นศาลแล้วมวลชนคนพวกนี้ก็ยังรับรู้ว่า คนในครอบครัวของ ทักษิณ ชินวัตร ถูกกลั่นแกล้ง ถูกดำเนินคดีแบบไม่เป็นธรรม ถึงขนาดบางครั้งก็มีการ “ตำหนิศาล” ให้เห็นก็มี
แต่สิ่งที่น่าสนใจ ก็คือ ข้อมูลของ ผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ที่ระบุว่า มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่งได้ใช้ "งบหลวง" ขนมวลชนไปเชลียร์ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ศาลฎีกาฯ ในคดีรับจำนำข้าว ซึ่งแม้ไม่ได้ระบุวันเวลา แต่เชื่อว่า น่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 1 สิงหาคม ที่ผ่านมา ที่ ยิ่งลักษณ์ ไปแถลงด้วยวาจา ในคดีดังกล่าว และคำพูดของ ผู้ว่าสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ก็อาจเป็นการปรามไปถึงวันสำคัญ คือวันที่ 25 สิงหาคม ที่ศาลฎีกาฯ มีกำหนดวันตัดสินคดีรับจำนำข้าวของเธอ ซึ่งก่อนหน้ามีการเคลื่อนไหวกันทุกทาง เพื่อขนมวลชนมาให้กำลังใจ ซึ่งอีกนัยหนึ่งมีความหมายทางแฝง เพื่อกดดันศาลนั่นเอง ซึ่งที่ผ่านมา เมื่อปี 2544 พี่ชายของเธอ คือ ทักษิณ ชินวัตร เคยทำมาแล้วเมื่อเจอคดีซุกหุ้น ในศาลรัฐธรรมนูญ
สำหรับข้อมูลเรื่องการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) “หลายแห่ง” ใช้งบหลวงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการขนมวลชน มาให้กำลังใจ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นการแสดงให้เห็นว่า ยังมีผู้บริหารในองค์กรส่วนท้องถิ่นจำนวนมาก ที่ยัง “ภักดี” ยังแสดงตัวเป็นพวกของครอบครัวชินวัตร ไม่เปลี่ยนแปลง แน่นอนว่า หากใช้เงินส่วนตัวควักมาใช้ ใช้รถส่วนตัวขนคนมาให้กำลังใจ ก็อาจเป็นไปได้ตามความชอบส่วนตัว หรือ เคยได้รับประโยชน์จากครอบครัวนี้ทางตรง หรือทางอ้อมมาก่อน แต่การที่ใช้ "งบหลวง" มาช่วยเหลือคนในครอบครัวนี้ที่ทำผิด มีคดีเกี่ยวกับการทุจริตเป็นหางว่าว อีกมุมมันสะท้อนความจริงให้เห็นถึงความล้มเหลวของ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ชูในเรื่องการปรองดอง มาตลอด
ที่ผ่านมา เคยใช้อำนาจพิเศษตาม มาตรา 44 ออกคำสั่งให้คนนั้น คนนี้ ไปปรับทัศนคติ ก็มีมาหลายครั้ง แต่การที่ยังมีผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่ง ยังเชิดชูคนในครอบครัวชินวัตร ไม่เปลี่ยนแปลง อีกด้านหนึ่งก็แสดงให้เห็นว่า คนพวกนี้ก็ยัง “แอบ” ช่วยเหลือตลอดเวลา มิหนำซ้ำ ยังใช้งบหลวงไปช่วยอีกด้วย ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่าแทบทุกองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น ยังบริหารต่อไปได้ก็ด้วยคำสั่งของ คสช. เนื่องจากแทบทุกพื้นที่ได้หมดวาระ ต้องเลือกตั้งใหม่กันไปนานแล้ว ก็เหมือนกับว่า คสช. ยืดอายุให้ แต่พวกนี้ก็ยังภักดีต่อครอบครัวของทักษิณ อยู่นั่นเอง
ความหมายก็คือ การสร้างความปรองดองแบบสร้างความเข้าใจใช้ไม่ได้ผล อาจจะกดหัวด้วยอำนาจพิเศษ แต่ในทางลับ ในทางใต้ดิน ยังแอบช่วยเหลือหรือเอาใจช่วยมาตลอด และเชื่อว่า ยังต่อเนื่องไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่คนพวกนี้รอคอย
ทีนี้มาถึงคำถามที่ว่า แล้วอีกฝ่ายที่เป็นคู่ขัดแย้งของคนพวกนี้ คือใคร หายไปไหนกันหมด เพราะในความเป็นจริง ที่เห็นก็คือมีแต่พวกของ ทักษิณ ชินวัตร ในหลากหลายรูปแบบที่ออกมาป่วน ท้าทายกฎหมาย ทำให้ต้องมาพิจารณากันใหม่หรือไม่ว่าเป็นเพราะการกำหนดสถานะของรัฐบาลและผู้นำ คสช.ผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นที่ต้องการให้ตัวเอง “เป็นกลาง” ต้องการให้สังคมเห็นว่าบ้านเมืองมีความขัดแย้งระหว่างสองฝ่าย แล้วพวกเขาก็เข้ามาห้ามทัพไม่ให้ฆ่ากัน จนวันนี้ได้พิสูจน์คำตอบอีกครั้งว่าความขัดแย้งมันไม่มีจริง มีแต่คนที่ทำผิดกฎหมาย ใช้อำนาจรัฐข่มเหงอีกฝ่าย มาจนถึงวันนี้ก็ยังมีแต่คนพวกนี้ที่ยังป่วนไม่เลิก ถึงขนาดใช้งบหลวงขนชาวบ้านมาเชียร์
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากความจริงมันก็น่าตลกที่ คสช.ตั้งโจทย์แบบนี้มาตั้งแต่ต้น เพื่อให้ตัวเอง “ลอยตัว” อยู่ตรงกลางความขัดแย้งที่ตัวเองสร้างขึ้นมา และตอกย้ำให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ในบ้านเมืองนี้ มันมีเพียงกลุ่มคนบางครอบครัวที่ทุจริต ทำผิดกฎหมาย มีอำนาจแล้วใช้นโยบายประชานิยม ใช้งบประมาณของรัฐไปซื้อความนิยม จนชาวบ้านบางกลุ่มเสพติด ให้ประโยชน์กับหัวโจกบางคน เพื่อแลกกับการปลุกระดมชาวบ้าน แต่ที่ผ่านมาทั้งรัฐบาล และ คสช. ไม่เคยเน้นอธิบายกับสังคมอย่างต่อเนื่อง เน้นแต่ว่า บ้านเมืองมีความขัดแย้ง ตัวเองต้องเสียเวลาแก้ไข และต้องปรองดอง คำถามคือใครขัดแย้งกับใคร และต้องปรองดองกับใคร !!