xs
xsm
sm
md
lg

สนช.ผ่าน พรป.พรรคฯ กมธ.ร่วมหนุนเพิ่มโทษโกงไพรมารีโหวต หัวหน้าลงเขตได้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (แฟ้มภาพ)
ประชุม สนช.มีมติเสียงเอกฉันท์ผ่าน พ.ร.ป.พรรคการเมืองฉลุย “สุรชัย” แจง กมธ.ร่วมเห็นด้วย 2 ข้อโต้แย้ง กรธ. เพิ่มบทลงโทษโกงไพรมารีโหวต ให้สิทธิหัวหน้าพรรคลงเขตได้ ย้ำไม่มียุบพรรค

วันนี้ (3 ส.ค.) ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญได้พิจารณาแล้วเสร็จ โดยนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.คนที่ 1 ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ กล่าวรายงานว่า ภายหลัง สนช.ให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าวในวาระ 3 แล้ว คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้ส่งความเห็นแย้งมา 4 ประเด็นที่ไม่ตรงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งจากการพิจารณา กมธ.เห็นด้วยกับ กรธ.2 ประเด็น และมีการแก้ไข คือ ประเด็นที่ 1 กระบวนการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 50 และมาตรา 51 ยังไม่มีมาตรการจัดการทุจริต ในชั้นการประชุมสาขาพรรคการเมือง หรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด เพื่อลงคะแนนเลือกผู้รับสมัครรับเลือกตั้งทำให้กระบวนการดังกล่าวอาจมีกรณีที่เป็นไปโดยไม่สุจริต หรือไม่เที่ยงธรรมได้ ดังนั้น กมธ.จึงได้แก้ไขกำหนดบทลงโทษ โดยเพิ่มมาตรา 51/1, 51/2, 51/3 มาตรา 112/1 112/2, 112/3 และมาตรา 51/4 แก้ไขมาตรา 52

นายสุรชัยกล่าวต่อว่า ประเด็นที่ 2 มาตรา 51 (4) ที่กำหนดให้หัวหน้าพรรคการเมืองต้องอยู่ในบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งในลำดับที่ 1 ในบัญชีรายชื่อเท่านั้น เป็นการเลือกปฏิบัติต่อหัวหน้าพรรคโดยไม่เป็นธรรมนั้น ดังนั้น กมธ.จึงได้แก้ไขให้หัวหน้าพรรคสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ทั้งแบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อโดยจัดให้อยู่ในลำดับที่ 1 อย่างไรก็ตาม ข้อโต้แย้งในประเด็นที่ 3 ว่าด้วยการกำหนดให้หาจำนวนสมาชิกพรรคให้ครบทุกเขตเลือกตั้งจึงสามารถส่งตัวผู้สมัครได้นั้น เป็นการตัดสิทธิพรรคการเมือง และประเด็นที่ 4 พรรคการเมืองขนาดใหญ่ได้เปรียบพรรคการเมืองขนาดกลางและขนาดเล็ก อีกทั้งเป็นการเลือกปฏิบัตินั้น กมธ.เสียงข้างมากไม่เห็นด้วยและให้คงไว้ตามร่างเดิมที่ สนช.ได้ให้ความเห็นชอบในวาระสาม

“ในชั้น กมธ.มีการแก้ไขใหม่มาตรา 51 (4) มาตรา 52 และเพิ่มบทบัญญัติใหม่มาตรา 51/1, 51/2, 51/3, 51/4 อีกทั้งเพิ่มบทกำหนดโทษ 112/1, 112/2, 112/3 ซึ่งเป็นบทลงโทษเกี่ยวกับการทุจริตในขั้นตอนคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือขั้นตอนไพรมารีโหวต โดยมาตรการที่เพิ่มขึ้นใหม่ไม่มีบทบัญญัติว่าด้วยการยุบพรรคการเมืองแต่อย่างใด อัตราโทษที่กำหนดไว้หนักเบาตามการกระทำความผิด โดยเริ่มที่จำคุก 6 เดือนถึง 1 ปี หรือ 1 ปี ถึง 10 ปีเท่านั้น ไม่มีมาตรการยุบพรรคการเมือง” นายสุรชัยกล่าว

ทั้งนี้ มาตราต่างๆ ที่มีการแก้ไข คือ มาตรา 51/1 ให้เป็นหน้าที่หัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่จะต้องดำเนินการสรรหาเป็นไปตามมาตรา 50 และมาตรา 51 หรือการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. และหากหัวหน้าพรรคการเมือง กรรมการบริหารพรรคการเมือง หัวหน้าสาขาพรรคการเมือง หรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน และปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี ทั้งนี้ให้ถือว่าสมาชิกของพรรคการเมืองทุกคนเป็นผู้เสียหาย

มาตรา 51/2 ห้ามจูงใจให้สมาชิกพรรคการเมืองลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น หรือให้งดเว้นการลงคะแนนด้วยวิธีการทุจริต หากกระทำผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาท ถึง 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิรับเลือกตั้งของผู้นั้นตามมาตรา 112/2

มาตรา 51/3 ห้ามพรรคการเมืองหรือผู้ใดเรียก รับ หรือยอมจะรับ หรือให้ หรือสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อให้สมาชิกผู้ใดลงสมัครหรือไม่ลงสมัครรับเลือก หรือเพื่อให้เสนอชื่อสมาชิกผู้ใดเข้ารับการเลือกในการสรรหาตามมาตรา 50 หรือมาตรา 51 และกำหนดโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนมาตรา 112/3 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาท ถึง 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้นด้วย อย่างไรก็ตาม ในกรณีพรรคการเมืองกระทำการฝ่าฝืน ให้หัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองของพรรคการเมือง บรรดาที่รู้เห็นกับการกระทำนั้นต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่ง

มาตรา 51/4 กำหนดห้ามตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด หัวหน้าสาขาพรรคการเมือง หรือกรรมการบริหารพรรคการเมือง ยินยอมให้บุคคลใดที่มิได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองเข้าแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม หรือออกเสียงคะแนน และกำหนดโทษให้หัวหน้าพรรคการเมือง กรรมการบริหารพรรคการเมือง หัวหน้าสาขาพรรคการเมือง หรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรา 51/1 หรือมาตรา 51/4 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน และปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี อีกทั้งให้ถือว่าสมาชิกของพรรคการเมืองทุกคนเป็นผู้เสียหาย

สำหรับมาตรา 52 ให้การดำเนินการสรรหาผู้สมัครที่พรรคมิได้ดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด ไม่กระทบต่อการรับสมัครเลือกตั้งที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ดำเนินการไปแล้ว แต่ถ้าคณะกรรมการการเลือกตั้งรู้ถึงความไม่ถูกต้องนั้น คณะกรรมการการเลือกตั้งมีหน้าที่ต้องดำเนินการกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนต่อไป นอกจากนี้ยังมีแก้ไขมาตรา 51 (4) ให้หัวหน้าพรรคการเมืองสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งแบบบัญชีรายชื่อ และแบบแบ่งเขต

โดยที่ประชุมลงมติเห็นชอบร่างดังกล่าวด้วยคะแนน 205 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 2 และไม่ลงมติ 1 เสียง จากนั้นจะส่งไปยังนายกรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น