ที่ประชุม สนช.มีมติเอกฉันท์ 194 เสียง เห็นว่า 6 ประเด็นในร่าง พ.ร.ป.กรรมการการเลือกตั้ง ตามข้อโต้แย้งของ กกต.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เดินหน้าประกาศใช้เป็นกฎหมาย ส่งผลต้องเซตซีโร่ กกต.ชุดเดิมทั้ง 5 คน ด้านประธาน กกต.อัดลิดรอนสิทธิ จำต้องสู้เพื่อศักดิ์ศรีแม้จะรู้ว่าแพ้ ด้าน กรธ.ยันไม่ได้เลือกปฏิบัติต่อใคร
วันนี้ (13 ก.ค.) ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หลังจากที่คณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่ายได้พิจารณาทบทวนข้อโต้แย้ง 6 ประเด็นของ กกต.เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. ในฐานะประธานกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย ได้รายงานผลการพิจารณากรณีที่ กกต.โต้แย้งร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว 6 ประเด็นไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ได้แก่ 1. มาตรา 11 วรรค 3 การกำหนดคุณสมบัติของกรรมการสรรหาเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ 2. มาตรา 12 วรรค 1 การกำหนดคุณสมบัติของคณะกรรมการการเลือกตั้งเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ 3. มาตรา 26 หน้าที่และอำนาจของ กกต.แต่ละคน 4. มาตรา 27 อำนาจการจัดการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น 5. มาตรา 42 การบัญญัติให้ กกต.มอบอำนาจการสอบสวนได้ 6. มาตรา 70 วรรค 1 การให้ประธาน กกต.และ กกต.ที่ดำรงตำแหน่งในวันก่อนที่ พ.ร.บ.คณะกรรมการเลือกตั้งใช้บังคับ พ้นจากตำแหน่งนับจากวันที่ พ.ร.บ.ฉบับนี้ใช้บังคับ ซึ่ง กมธ.ร่วม 3 ฝ่ายประกอบด้วย สนช.5 คน กรธ.5 คน และประธาน กกต. พิจารณาแล้วมีมติเสียงข้างมากในแต่ละประเด็นว่าไม่ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และตรงตามเจตนารมณ์ทุกประการ จึงไม่มีการแก้ไขร่างที่ สนช.ให้ความเห็นชอบแล้วแต่อย่างใด
จากนั้น นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต.ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อยในคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย ได้อภิปรายประเด็นที่สงวนความเห็นทั้ง 6 ประเด็นต่อที่ประชุม โดยยืนยันว่าแต่ละประเด็นมีความขัดแย้งต่อเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะมาตรา 70 วรรค 1 ที่ระบุให้ กกต.ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะนับจากวันที่ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ ถือว่าไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ มาตรา 267 วรรค 2 และไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม หลักธรรมาภิบาล ประเพณีรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเป็นการออกกฎหมายแบบเลือกปฏิบัติเพราะองค์กรอิสระอื่น อาทิ ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช.ยังสามารถอยู่ในตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้
“กมธ.ได้แก้ไขเนื้อหาที่เป็นหลักการสาระสำคัญของ กรธ.โดยมิได้รับฟังเหตุผลให้รอบด้านจากผู้เกี่ยวข้อง และไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมา การให้ กกต.พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะเป็นการจำกัดและลิดรอนสิทธิบุคคลมากเกินไป เราไม่ได้ต่อสู้เพื่อการคงอยู่ของ กกต.อันเป็นผลประโยชน์ส่วนตน แต่ในฐานะนักกฎหมาย เมื่อเห็นว่าร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญจึงต้องโต้แย้ง กกต.ต้องรักษาศักดิ์ศรี แม้จะรู้ล่วงหน้าว่าผลจะออกมาอย่างไร สนช.เป็นผู้ออกกฎหมายภายใต้หลักนิติธรรม จึงขอให้พิจารณาทบทวนร่าง พ.ร.บ.กกต.อีกสักครั้ง” นายศุภชัยกล่าว
ด้านนายปกรณ์ นิลประพันธ์ กรรมการ กรธ.ในฐานะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่ายเสียงข้างมาก ชี้แจงต่อที่ประชุม สนช.ว่า สิ่งที่ กมธ.ร่วมลงมติไปไม่ได้ยึดตัวบุคคล แต่ยึดเจตนารมณ์และหลักการเป็นตัวตั้ง การลงมติเป็นไปด้วยจิตใจสะอาด สว่าง สงบ ปราศจากอคติในการใช้ดุลพินิจ เป็นไปตามหลักการและเหตุผล บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุให้องค์กรอิสระต้องคงอยู่ต่อไป แต่ให้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างและองค์ประกอบขององค์กรอิสระแต่ละแห่งว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด ไม่อยากให้มองว่าการดำรงอยู่ในตำแหน่งเป็นเรื่องสิทธิ ถ้ามองเป็นเรื่องสิทธิก็จะคงอยู่ตลอดไป แต่ขอให้มองเป็นเรื่องการอาสามาปฏิบัติหน้าที่ และการให้พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 70 วรรค 1 ไม่ใช่การลงโทษ เพราะมีการระบุชัดเจนให้ผู้พ้นตำแหน่งได้รับบำเหน็จจากการพ้นการปฏิบัติหน้าที่ หากเป็นการลงโทษคงไม่ระบุเรื่องนี้ไว้ และไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม แต่เป็นความจำเป็นเมื่อมีการปรับโครงสร้างองค์กร ไม่ใช่การออกกฎหมายย้อนหลังโดยเป็นโทษ
ทั้งนี้ ที่ประชุม สนช.ได้ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.ป.คณะกรรมการการเลือกตั้งด้วยคะแนน 194 ต่อ 0 งดออกเสียง 7 จากนั้นส่งให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ถือเป็นร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ สนช.ให้ความเห็นชอบและเสร็จสิ้นกระบวนการตามรัฐธรรมนูญปี 2560 กำหนด