กกต.สัมมนายกร่างระเบียบและร่างประกาศตามกฎหมายลูกพรรคการเมือง ประธาน กกต.บอกไม่ต้องวิตก ขอให้ตั้งใจทำงาน รับบางคนอึดอัดเจอของใหม่แต่ถ้าเตรียมการน่าจะทัน ด้าน “ธีรวัฒน์” ขอให้ช่วยกันคิด ถ้าส่งเสริมให้พรรคร่วมมือกันจะลดแรงเสียดทานการต่อสู้กัน เชื่อ กม.ลูกจะพัฒนาการเมืองดีขึ้น
วันนี้ (5 ก.ค.) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้จัดสัมมนายกร่างระเบียบและร่างประกาศตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง โดยนายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า ขอแสดงความชื่นชมต่อการเตรียมความพร้อมในการยกร่างระเบียบและร่างประกาศที่เกี่ยวกับ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ให้ความเห็นชอบในวาระที่ 3 แล้ว การที่ กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติจัดสัมมนาครั้งนี้ถือมีความสำคัญ เนื่องจากบทบาทและอำนาจหน้าที่ของ กกต.และสำนักงาน กกต.มีความสำคัญต่อการปฏิรูปประเทศ และพัฒนาพรรคการเมืองให้สถาบันทางการเมืองมีความเข้มแข็ง และพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้ามั่นคง การกำกับดูแลส่งเสริม สนับสนุน ตรวจสอบ และพัฒนาพรรคการเมืองให้เป็นไปตามเจตนารมณ์และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ดังนั้น กฎหมายพรรคการเมืองจึงเป็นความท้าทายอย่างมาก การสัมมนาครั้งนี้ถือเป็นการเตรียมความพร้อมโดยการระดมความคิดเห็นจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และมีประสบการณ์ในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง เพื่อใช้ในการปรับปรุงร่างระเบียบและร่างประกาศดังกล่าวให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติกับพรรคการเมือง และพนักงานขอ ง กกต.ไปใช้ในอนาคตได้
นายศุภชัยกล่าวว่า ทาง กกต.ได้พิจารณาร่างดังกล่าวแล้วเห็นว่ามีเรื่องใหม่หลายเรื่อง เช่น ไพรมารีโหวต ซึ่งเป็นเรื่องที่พรรคการเมืองได้พูดคุยกันว่าจะทำได้หรือไม่ได้ กกต.ได้หารือกันแล้วว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ไม่มีมาตราใดขัดต่อรัฐธรรมนูญ เมื่อวานตนได้เข้าประชุมคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.ป.กกต. โดยมีประเด็นคัดค้านทั้งหมด 6 ประเด็น ได้ชี้แจงไปว่าทั้ง 6 ประเด็นนี้ไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 267 วรรค 5 ทาง กมธ.ร่วมเห็นว่า 6 ประเด็นดังกล่าวไม่มีการขัดต่อเจตนารมณ์ตามรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
นายศุภชัยกล่าวว่า ไม่ต้องวิตกอะไร เพราะพนักงาน กกต.ทำงานมา 19 ปี ถึงแม้จะไม่มี กกต.ชุดปัจจุบัน ชุดใหม่มาก็ขอให้พนักงาน กกต.ตั้งใจทำงานต่อไป เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไป ไม่ได้ทำเพื่อตนเอง ทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อให้การเมืองการเลือกตั้ง เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม บางท่านอาจจะอึดอัด เพราะว่าเป็นของใหม่ แต่ถ้าเราเตรียมการไว้แต่ต้น ก็น่าจะทัน แต่บางครั้งผู้ออกกฎหมายก็ไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติก็ไม่ได้เป็นผู้ออกกฎหมาย แต่เราได้ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง โดยเอาของเดิมเป็นหลัก นำข้อบกพร่องต่างๆ ที่ผ่านมา ที่เห็นว่ามีปัญหาและเสนอช่องทางต่างๆ เพื่อแก้ไขและไม่ให้เกิดซ้ำเหมือนเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2557 ซึ่งเขาก็ไม่เอาตามที่เราร่าง ก็ไม่เป็นไร เพราะเราไม่ได้เป็นคนร่างกฎหมาย เราเป็นผู้ปฏิบัติตามกฎหมาย
“ถึงแม้ กกต.ชุดปัจจุบันจะถูกเซ็ตซีโร่ก็ไม่ต้องวิตกอะไร ทำหน้าที่ต่อไป ไม่ใช่ว่าเขาปลดเราแล้วเราจะไม่ทำงาน หากเราไม่ทำงานประเทศชาติก็จะเสียหาย ขอให้เราทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่ หากเราไม่ไปวันนี้ วันอื่นเราก็ต้องไปอยู่ดี ทั้งนี้ขอให้พวกเราร่วมมือร่วมใจกันรักสามัคคี หากปราศจากความรักสามัคคีก็จะกลายเป็นความแตกแยกขึ้นมา เราจะต้องอดทน หากผมไม่ได้เป็น กกต.แล้ว แต่มีอะไรให้ช่วย ผมก็พร้อมที่จะช่วยเหลือ” นายศุภชัยกล่าว
ด้านนายธีรวัฒน์ ธีรโรจน์วิทย์ กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวมอบนโยบายตอนหนึ่งว่า ขอบคุณและขอให้กำลังใจผู้มาสัมมนาทราบว่าทุกคนได้ทุ่มเทกันอย่างจริงจัง เหมือนเป็นแรงระเบิดจากภายใน นำเสนอจัดการเรื่องร่างระเบียบฯ ต่างๆ ที่เราจะมีต่อไป ตนตั้งข้อสังเกตว่า พ.ร.ป.ว่าพรรคการเมือง เป็นเหมือนตัวแม่บท แต่แม่บทจะมีพลังแค่ไหน เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างไร เขาให้เราช่วยกันคิดในเรื่องระเบียบ เหมือนหัวเชื้อที่ทำให้ลื่นไหล ตรงไหนฝืดก็ต้องเติมหัวเชื้อลงไปเพื่อให้ไหลลื่นกว่าเดิม ซึ่งหัวเชื้อสำคัญที่จะทำให้กฎหมายมีประสิทธิภาพ ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าทุกคนไม่ทุ่มเท ต้องให้ประสบการณ์ช่วยกันขัดเกลา ตนมีความหวังว่าจะเห็นพรรคการเมืองในอนาคตจะต้องเป็นสถาบันหลักทางการเมือง ทำให้การเมืองระบอบประชาธิปไตยพัฒนา และเดินหน้าต่อไปได้
นายธีรวัฒน์กล่าวต่อว่า เมื่อครั้งที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาพรรคการเมืองเพื่อการปฏิรูปประเทศ ตามรัฐธรรมนูญ โดยมีนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นประธาน เราพูดคุยในความคิดการออกแบบเรื่องการพัฒนาพรรคการเมือง สิ่งหนึ่งที่เราจะขาดไม่ได้เด็ดขาด คือ การร่วมมือแลกเปลี่ยนระหว่างพรรค ซึ่งโดยธรรมชาติพรรคการเมืองก็ร่วมมือกันอยู่แล้วทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล โดยนัยก็มีการร่วมมือและทำงานร่วมกัน แต่บางทีเรามองว่าพรรค เป็นระบบตัวใครตัวมัน ถ้าเรามีการส่งเสริมให้พรรคร่วมมือกันมากขึ้น มันจะลดแรงเสียดทานในการต่อสู้กันมากขึ้น ถ้ามีช่องทางใดก็อยากฝากไว้
“การเมืองเป้าหมายสุดท้ายคือความสงบสุข การพัฒนาโดยเฉพาะการพัฒนาทางประชาธิปไตย จะมั่นคง และความร้าวฉานทางการเมืองจะไม่รุนแรง เพราะมีความร่วมมือกันในระดับต่างๆ ที่ทำให้เข้าใจเห็นใจกันก้าวต่อไปของเมืองไทย ประชาธิปไตยไทย การเลือกตั้งต้องมีการตอบโจทย์ว่าจะต้องมีความก้าวหน้า ไม่ใช้ความขัดแย้งและความรุนแรง เชื่อว่าหัวเชื้อ พ.ร.ป.พรรคการเมืองจะพัฒนาดีขึ้น” นายธีรวัฒน์กล่าว