ช่วงหลังๆ นี้...สิ่งที่อาจารย์ “ชัยสิริ สมุทวณิช” ท่านใช้คำเรียกว่า “การเมืองในเชิงความรู้สึก” ในข้อเขียนคอลัมน์ “พระบาท นามเมือง” หลายต่อหลายครั้ง ดูจะเป็นอะไรที่มาแรงแซงโค้งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีการสื่อสารอันสุดแสนก้าวหน้า ทันสมัย มันสามารถเปล่งศักยภาพในการสร้าง “ความรู้สึก” ให้กับใครต่อใครได้แบบฉับพลัน-ทันที แถมยังซึมลึกแผ่กระจายออกไปในวงกว้างได้อีกต่างหาก...
ด้วยเหตุนี้... “รัฐบาล 4.0” ของท่านนายกฯ “บิ๊กตู่” เลยหนีไม่พ้นต้องเจอกับ “นวัตกรรมใหม่ๆ” ที่ร่อนใส่หน้า ใส่หลัง หรือกระแทกลงตรงกลางหัวกบาลอย่างชนิดมิได้ขาด ไม่เพียงแทบไม่มีโอกาสออกอาวุธโต้แบบดอกต่อดอก แค่จะปัดๆ ป้องๆไม่ให้ถูกหมัด-เท้า-เข่า-ศอก สากกะเบือบินที่สาดใส่เข้ามาแทบทุกทิศทุกทาง แค่นี้ก็...ลำบากแล้ว!!! ลักษณะอาการของ “รัฐบาล 4.0” ช่วงหลังๆ เลยหนีไม่พ้นต้องหันไปงัดเอานวัตกรรม “ท่าสะพานโค้ง” ของคุณน้อง “ลำไย ไหทองคำ” ออกมาอวดโชว์ แก้หน้าไปวันๆ นั่นแล คือได้แต่แอ่นระแน้ตีนอยู่ข้าง หัวอยู่ข้าง เหลือแต่ส่วนที่เด้งดึ๋งโผล่ออกมาให้เห็น ก็ตรงอวัยวะที่พ่อ-แม่มอบติดตัวให้มา ว่ายังพอใช้การได้ หรือไม่ ประการใดเท่านั้นเอง...
แต่ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า...สิ่งที่เรียกๆ ว่า “การเมืองในเชิงความรู้สึก” ที่ว่า ไม่เพียงสามารถเปล่งศักยภาพ ออกฤทธิ์ ออกเดช เฉพาะปัญหาประเภท “ปัจจัยภายใน” เท่านั้น แต่ยังสามารถขยายผล ขยายความไปถึงประเภท “ปัจจัยภายนอก” ได้อีกด้วยเท่าที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัด ก็เช่นกรณีปัญหา “รถไฟฟ้าความเร็วสูงไทย-จีน”นั่นเอง ที่ไปๆ-มาๆ กำลังก่อให้เกิดความรู้สึกว่า ไทยกำลัง “ถูกจีนงาบ” หรือถูกกลืนกินลงไปในท้องพญามังกือไปแล้วก็ไม่รู้!!! ส่งผลให้คนไทยที่เพิ่งไปเยือนเมืองจีนเมื่อเร็วๆ นี้ อย่างอาจารย์ “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” อดไม่ได้ที่ต้องหยิบเอาความวิตกกังวล “เจ้าหน้าที่ระดับสูง” ของจีน ต่อ “การเมืองในเชิงความรู้สึก” ของคนไทย ซึ่งมีต่อรถไฟความเร็วสูงของจีน มาบรรยายไว้ซะยืดยาว ในบทความเรื่อง “ปักกิ่งนครแห่งอนาคต” ที่เผยแพร่อยู่ในเว็บไซต์ผู้จัดการและอีกบางเว็บไซต์...
คือแม้ว่าคนไทยจะ “เกลียดไอ้กัน” ผู้ตกอยู่ในสภาพ “แม้พัดลมยังส่ายหน้าเลย”ไม่น้อยไปกว่าพลโลก หรือชาวโลกทั้งหลายมานานแล้ว แต่ภายใต้ความรู้สึก “กลัวจีน” ที่เริ่มก่อรูป ก่อร่างขึ้นมาใหม่ตามลำดับ จะส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาต่อความพยายามทำตัวให้ “กลางๆ” เข้าไว้ ในแบบไหน อย่างไร ก็ยังมิอาจคาดคะเนได้ เช่น อาจต้องซื้อเรือดำน้ำจีน รถถังจีน ไปพร้อมๆ กับการสั่งซื้อเฮลิคอปเตอร์ไอ้กันติดปลายนวมเอาไว้บ้างเล็กน้อย ต้องดึงจีนมาสร้างรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-โคราช โคราช-หนองคาย ไปพร้อมๆ กับดึงญี่ปุ่นมาสร้างรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กาญจนบุรี-แหลมฉบัง โดยยังมิอาจสรุปได้ว่าตกลงแล้วจะกู้เงิน “AIIB” (Asian Infrastructure Investment Bank) หรือกู้ผ่าน “JICA” (Japan International Cooperation Agency) กันแน่!!!
พูดง่ายๆ ว่า...ความพยายาม “เป็นกลาง” โดยอาศัยความรู้สึกเกลียดๆ กลัวๆ เป็นที่ตั้ง ไปๆ-มาๆ...มันอาจส่งผลให้อะไรต่อมิอะไรออกไปทาง “กลางกลวง” ยิ่งขึ้นทุกที คล้ายๆ กลางแบบยุค “จอมพลป. พิบูลสงคราม” หรือยุคก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นแหละ ด้วยความกลัวเลยต้องยอมปล่อยให้ญี่ปุ่นใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน โดยถึงแม้จะเกลียดนักล่าอาณานิคมอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เพียงใดก็ตาม แต่ก็อดไม่ได้ที่ต้องแอบไปจับมือถือแขน จนสุดท้าย...ยังไงๆ ก็มิอาจรักษาความเป็นกลางใดๆ ได้เลย ต้องเล่นบท “พล็อบๆ-แพล็บๆ” ชนิดถึงจะรอดจากการเป็นประเทศอาชญากรสงครามได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด แต่ก็ไม่ถึงกับดูเก๋ ดูเท่ มากมายซักเท่าไหร่นัก...
การลด-ละ ความเกลียด ความกลัว เพื่อไม่ให้ความเป็นกลางมันต้องออกไปทาง “กลางกลวง” เป็นหลัก โดยสรุปแล้ว...จึงหนีไม่พ้นต้องอาศัยข้อมูล ข้อเท็จจริง อาศัยการใคร่ครวญด้วยสติและปัญญานั่นแหละเป็นที่ตั้ง หรือต้องหาทางระงับยับยั้งขจัด“การเมืองในเชิงความรู้สึก” ให้มันลดระดับลงไปให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ว่าในแง่ “ภายใน” หรือ “ภายนอก” ก็ตาม แต่ก็นั่นแหละ...สิ่งที่ว่านี้คงไม่ได้ถือเป็นภาระ หน้าที่ของ “รัฐบาล” ล้วนๆ เพราะมันขึ้นอยู่กับ “วุฒิภาวะ” ของสังคมทั้งสังคมเป็นหลัก คือถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่าง...ยังคงไหลไปตาม “ความรู้สึก” ยังคงเด้งไป-เด้งมา สวิงไป-สวิงมา ต่อไปเรื่อยๆ...ไม่ใช่แค่เฉพาะรัฐบาล 4.0 หรือรัฐบาลไหนๆ เท่านั้น มีแต่จะ “อยู่ยากซ์ซ์ซ์” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งประเทศไทยทั้งประเทศ โอกาสหาพื้นที่กลางๆ เพื่อใช้เป็นที่หยัด ที่ยืน ยิ่งแทบไม่มีโอกาสเป็นไปได้เอาเลยแม้แต่น้อย ในโลกที่นับวัน...มีแต่จะบีบบังคับให้ใครต่อใครต้องเลือกข้าง-เลือกฝ่ายอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลย...