“ประยุทธ์” ร่ายยาวแจงข้อดี “รถไฟความเร็วสูง” ย้ำไทยเป็นผู้พัฒนา 2 ข้างทางเอง มั่นใจไม่ขาดทุน วอนคนต้านนึกถึงประโยชน์ชาติ หวั่นถ้าช้าเกินเสียโอกาสเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน
วันนี้ (24 มิ.ย.) เมื่อเวลา 20.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า พี่น้องประชาชนที่รัก ตนเคยยกเอา 4 คำถามกับ 50 ประเด็น มากล่าวในรายการนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มั่นใจในการทำงานของรัฐบาล และ คสช. ในห้วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่ในทางกลับกันผมมั่นใจว่า เราทำได้ทุกเรื่องในประเด็นต่างๆ บางประเด็นสำเร็จแล้ว บางอย่างก็ต้องเริ่มต้นทำต่อ บางอย่างต้องอาศัยทั้งเวลา อาศัยความร่วมมือเป็นสำคัญ ติดข้อกฎหมายก็ต้องไปแก้ไขปัญหากัน อยากให้ไปช่วยกันคิดว่า เราจะร่วมมือกันได้อย่างไร ตามบทบาท ตามหน้าที่ ตามศักยภาพของแต่ละคนแต่ละฝ่าย อย่าคิดอะไรที่มันขัดแย้งกันจนเกินไป บ้านเมืองเราจะไปข้างหน้าไม่ได้ ลูกหลานในวันข้างหน้าในอนาคตก็ไม่มีความสุข รัฐบาลนี้ไม่อยากให้ใครไปบิดเบือน ว่า รัฐบาลกลัวว่าจะไม่มีผลงาน ไม่กลัวหรอกครับ เพราะผมรู้ดีว่าเราทำอะไรไปแล้วบ้าง หลายอย่างอาจจะไม่มีผลมาสู่เป็นรายบุคคล แต่มีผลในส่วนของการทำงานระยะยาวของผู้ร่วมรัฐบาล อย่ามาพูดในเรื่องของสืบทอดอำนาจ หรือต้องการจะเลื่อนการเลือกตั้ง ไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย ผมพร้อมน้อมรับฟังความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ตลอดมา
สำหรับกรณีรถไฟไทย - จีน นั้น ขอให้ทำความเข้าใจอีกที พูดกันหลายครั้ง อย่าสับสนกับข้อมูล เป็นความร่วมมือระหว่างไทย - จีน แบบรัฐบาลต่อรัฐบาล มีการร่วมมือกันมาหลายรัฐบาลแล้ว มีข้อตกลงร่วมกัน เพราะฉะนั้นรัฐบาลนี้ก็เอามาสานต่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เพื่อจะเป็นการลงทุนในอนาคต พอดีก็มันมีการพัฒนาโครงการนู้นโครงการนี้ของหลายประเทศมหาอำนาจด้วยก็เชื่อมโยงกันได้พอดี เราจำเป็นต้องเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน กระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค เชื่อมโยงกับประชาคมโลกอื่นๆ อีกด้วย เพราะฉะนั้นมีประเด็นหลายประเด็นที่ต้องพิจารณา
เรื่องที่ 1 คือ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบราง และระบบควบคุมการเดินรถ - อาณัติสัญญาณ คือพูดถึงทั้งระบบทั้งเส้นต้องทำทั้ง 3 อย่าง เพราะฉะนั้นฝ่ายไทยนั้นได้ตัดสินใจจะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีกรอบการเจรจาวงเงินประมาณ 1.7 แสนล้านบาท มีการต่อรองมาตลอดมีการเทียบราคาซึ่งกันและกันทั้งต่างประเทศ ทั้งในประเทศ ได้มีการต่อรองราคาอยู่ประมาณนั้น เราจะเป็นการจัดการประมูลในส่วนของการก่อสร้าง ให้บริษัทไทย หรืออาจจะมีการร่วมทุนกับบริษัทสัญชาติไทย ดังนั้นฝ่ายไทยจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ในการบริหารจัดการอื่นๆ ในกรอบดังกล่าว ซึ่งเราเปรียบเทียบมาตลอดในการเจรจาทั้งหมด 18 ครั้ง
เรื่องที่ 2 การร่วมลงทุนของจีนในลักษณะนี้ อาจจะเรียกได้ว่า จีนยังไม่เคยทำกับประเทศใด นอกจากจะใช้ระบบสัมปทานแบ่งปันผลประโยชน์ ทำนองนั้น อันนี้มันเป็นการรับจ้างก่อสร้าง ซึ่งเราพิจารณาแล้วมีความเหมาะสมมากกว่า เพราะฉะนั้นมาตรฐานของจีนนั้นก็ได้รับการยอมรับเนื่องจากได้มีการนำเทคโนโลยีของจีนไปใช้ก่อสร้างในหลายประเทศแล้ว รวมทั้งหลายประเทศในอาเซียนด้วย หลายหมื่นกิโลเมตร ฝ่ายไทยมีโอกาสพิจารณาทั้งการให้สัมปทานและการลงทุนเอง เราได้เลือกที่จะลงทุนเอง ไม่ได้เป็นการกำหนดจากฝ่ายจีนเลย เนื่องจากหากเป็นระบบสัมปทาน ฝ่ายจีนจะเป็นผู้รับผลประโยชน์ทั้งหมด อย่างเช่นที่ทำอยู่ในหลายประเทศ ในปัจจุบันทั้งบนราง สองข้างทางต่างๆ ทั้งหมด เพราะว่าไปชดเชยกับค่าก่อสร้าง วันนี้เราจำเป็นต้องเอาตรงนั้นมาอีกส่วนหนึ่ง เพื่อพิจารณาให้เกิดประโยชน์ทดแทนรายได้ที่จะลดลงในระยะแรก เราอาจจะได้รายได้ในการสัญจรไปมาอาจจะไม่เพียงพอ ก็เหมือนกับทุกประเทศที่เขาทำอยู่
อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ 3.หากฝ่ายไทยเป็นเจ้าของ เราก็จะมีกิจการเป็นผู้พัฒนา 2 ข้างทางเอง เพื่อจะดูในการสร้างเมืองใหม่ พัฒนาเป็นพื้นที่ประกอบการทางธุรกิจน้อยใหญ่ ที่พักอาศัยของชุมชน หรืออื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องของอนาคต วันนี้ผมได้สั่งการไปยังกระทรวงคมนาคม สนข.ไปคิดแผนเหล่านี้ออกมาควบคู่ด้วยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่ผ่านมาให้แนวทางแล้ว ที่สำคัญ มันก็จะเกิดผลตอบแทนเชิงธุรกิจสูงมากดีกว่าที่จะให้เลือกระบบสัมปทานไปประเทศชาติและลูกหลานของเราในอนาคตจะสูญเสียโอกาส และไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าในอนาคต
เรื่องที่ 4 การแก้กฎหมายนั้น เราจำเป็นต้องไปดูตรงนี้อีก การใช้พื้นที่ของรถไฟไทยให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ในเชิงพาณิชย์ เพราะกฎหมายทำไม่ได้ เราต้องทำให้ได้ในลักษณะพีพีพี หรือแบบอื่นด้วยตัวเราเอง จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมานั้น บริเวณเส้นทางรถไฟมันทำอะไรไม่ได้เลย ทางด่วน รถไฟฟ้า มันเป็นเรื่องของกระทรวงคมนาคมทั้งหมด มันก็ไปทำอย่างอื่นไม่ได้ วันนี้ต้องมาดูตรงนี้ เราจะได้ไม่เสียประโยชน์ธุรกิจต่อเนื่องอื่นๆ ไปอีกด้วย ขอร่วมมือด้วยในอนาคตเรื่องกฎหมาย
5. เราจำเป็นต้องมีเส้นทางรถไฟความเร็วสูงหรือไม่ อันนี้มันจำเป็น เพราะอะไร เพราะว่ามันต้องมีการเชื่อมต่อเขาด้วย ไม่ว่าจะเป็นไทย ลาว จีน ปากีสถาน ยุโรปตะวันออก เขามีการเชื่อมโยงกันแล้วในขณะนี้ เราจำเป็นต้องมีการเชื่อมโยงไปด้วยคู่ขนานไปกับทางรถยนต์ที่เป็นข้ามทวีป ข้ามประเทศต่างๆ เราต้องทำไปด้วย ทางหลวงต่างๆ เหล่านั้น เราเคยทำมาแล้วทางหลวง วันนี้เราก็เพียงแต่มาทำทางรถไฟ บางคนบอกว่า เอ๊ะทำไมไม่มาทำทางรถไฟไทย ทางคู่อย่างเดียวทั้งหมดก็ต้องคู่ขนานกัน ทางคู่ก็ต้องทำไป ทุกอย่างทั้งหมดปัญหาอยู่ทำได้หรือทำไม่ได้ มันติดคนบุกรุกหรือเปล่า มันติดพื้นที่ป่าหรือไม่ มันติดในเรื่องของการทำประชาพิจารณ์อะไรหรือเปล่า ทั้งหมดคือปัญหาของเรา ถ้าเราปรับได้บ้าง เราเข้าใจกันบ้าง มันจะเกิดได้ มันก็จะได้ไม่เสียเวลา และเราจะได้ตามทันคนอื่นเขาด้วยในกรอบ วันเบลท์วันโรด วันนี้ลาวอยู่ระหว่างการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมไปยังทางเดียวกับเรา เราต้องเริ่มดำเนินการตั้งแต่บัดนี้
เรื่องที่ 6 เราจำเป็นต้องปรับจัดทำกฎหมายหลายฉบับ เพื่อจะต้องพิจารณาตามความเหมาะสม และคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่เฉพาะ ไทย - จีน นะครับ รวมทั้งอีก 64 ประเทศในกรอบวันเบลท์วันโรดควบคู่ไปด้วย
เรื่องที่ 7 การจัดการประมูลในส่วนที่ฝ่ายไทยลงทุนเอง เราจะต้องดำเนินการเองทั้งหมด การจัดการประมูล การใช้บริษัทก่อสร้างไทย แรงงานไทย วัสดุในท้องถิ่นของไทยให้มากที่สุดก็ใช้แต่วิศวกรจากจีนมาเป็นผู้ออกแบบ ควบคุม แล้วดำเนินการก่อสร้างภายใต้การทำงานของบริษัทก่อสร้างของเรา ซึ่งก็ต้องมีประสิทธิภาพมีมาตรฐานด้วย
เรื่องที่ 8 เรื่องการพิจารณาความคุ้มทุน ทุกคนก็ไม่มองเฉพาะจำนวนผู้โดยสารที่จะใช้บริการเท่านั้น ทุกประเทศที่ผมไปเยี่ยมเยียนมาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น แรกๆ ขาดทุนทั้งหมด แต่วันนี้มหาศาล เพราะมันเกิด ผลประโยชน์สองข้างทางตามมาโดยทันที เพราะฉะนั้นอยู่ที่เราจะวางแผนอย่างไร เราจะมองผลประโยชน์ตรงนี้อย่างไร ถ้าเราคัดค้านทั้งหมด ธุรกิจเหล่านี้จะเกิดไม่ได้เลย และมันเป็นอย่างที่ทุกคนเป็นห่วงนั่นแหละ เพราะฉะนั้นผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นผลประโยชน์เหล่านี้มันจะต้องกระจายลงไปยังแต่ละพื้นที่ที่เส้นทางพาดผ่าน ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างที่อยู่อาศัย พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ชุมชนในพื้นที่อีกด้วย
9. ในเรื่องของการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการก่อสร้าง เราจะต้องมีวิศวกรของไทยอยู่ร่วมในการวางแผนก่อสร้าง ควบคุมงาน และอื่นๆ ด้วย อันนี้มันอยู่ในสัญญาที่จะต้องไปพูดคุย ไปเจรจากันต่อไป ซึ่งมีการพูดคุยมาต่อเนื่อง
เรื่องที่ 10 ในส่วนประสบการณ์นั้น แม้เราไม่เคยทำมาก่อน แต่ผมเชื่อมั่นในความศักยภาพของวิศวกรไทยว่า สามารถเปิดรับเทคนิคและประสบการณ์ใหม่ๆ จากเส้นทางนี้ ได้มาก เพราะเรามีความสามารถอยู่แล้ว เพียงแต่เรื่องอะไรใหม่ๆ เราอาจจะต้องดูในระยะแรกไปก่อน ติดตามศึกษาเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อให้การดำเนินงานในเส้นทางอื่นๆ ซึ่งอาจจะต้องทำเองให้มีประสิทธิภาพต่อไป ในเทคโนโลยีนั้นเป็นเรื่องสำคัญ
เรื่องที่ 11 เส้นทางอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต มีเส้นทางเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอีกครั้ง เราต้องเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันจากหลายๆ ประเทศ ที่มีศักยภาพ สนใจอยากมีส่วนร่วม ไม่ใช่ว่า พอทำเส้นนี้แล้วเส้นอื่นจะต้องเป็นแบบนี้ มันใช่หรอกนะครับ มันมีหลายวิธีการ เราต้องทำให้มันเกิดขึ้นก่อนสักเส้นหนึ่งมั้ย แล้วเรามีการพัฒนา มีการประมูล มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี มันจะสามารถที่จะร่วมทุน หรือ ทีพีพี ร่วมกันในโอกาสต่อไปกับทุกประเทศ อย่าเอาอันนี้ไปพันกับอันอื่นเดี๋ยวมันจะมีปัญหาในการทำงานต่อไปอีกด้วย
12. เทคนิคในการก่อสร้าง ต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากล อย่าไปห่วงกังวลเลย เพราะเรามีคนรับผิดชอบอยู่แล้ว ที่เรายอมรับได้อยู่แล้ว ระบบอาณัติสัญญาณนั้น เราก็ต้องผูกพันไว้ให้ได้ว่า ต้องสามารถเชื่อมโยงกันได้กับโครงการต่อๆ ไปไม่ว่าจะมาจากประเทศไหนก็ตาม ต้องเชื่อมต่อกันให้ได้นะครับ อย่ากังวลในเรื่องนั้นนะครับ เพื่อให้การเดินรถมีความปลอดภัย ต่อเนื่อง ราบรื่น และมีประสิทธิภาพ
13. การกำหนดราคา ก็ได้มีการผ่านการเจรจา ต่อรอง เอารายละเอียดมาดูกัน ราคาค่าก่อสร้าง ราคาวัสดุ อุปกรณ์ มาเทียบกันหมดแล้ว วันนี้ก็ตกลงข้อสรุปกันได้ประมาณ 170,000 ล้านบาท นะครับ ก็ลดจากฝ่ายจีนที่เสนอมา จำนวนมากพอสมควรนะครับ เราได้ศึกษามาอย่างรอบคอบ ข้อมูลการเปรียบเทียบการก่อสร้าง ในลักษณะเดียวกันในประเทศอื่นด้วยในกรอบวงเงินงบประมาณ เพราะฉะนั้น ในการดำเนินการทุกเรื่อง เราจะต้องยึดผลประโยชน์ของชาติมาก่อนเสมอ คำนึงถึงหนี้สาธารณะต่างๆ ในอนาคตด้วยที่จะต้อง อยู่ในกรอบการเงินการคลังของเราที่มีอยู่
14. การทำพันธสัญญา ความร่วมมือในลักษณะ G2G นั้น ฝ่ายไทยดำเนินการโดยหน่วยงานราชการ กระทรวงคมนาคม การรถไฟไทย ฝ่ายจีนก็เป็นไปตามหลักการทำธุรกิจของจีน คือ ให้หน่วยงานของรัฐรับผิดชอบ ได้แก่ สภาเศรษฐกิจ ในการรับรองบริษัทที่จะมาทำการก่อสร้างกับไทยเท่านั้น ไม่ใช่ว่าบริษัทอะไรก็ได้ ไม่ใช่ เขาต้องรับผิดชอบ รับรองด้วย
15. ผมก็อยากจะขอร้องให้ทุกภาคส่วน ได้มองในภาพกว้าง ไม่ว่าจะประชาชน ประชาสังคม นักวิชาการ วิศวกร ต่างๆ ช่วยกัน กรุณานึกถึงผลประโยชน์ในอนาคตด้วย ความห่วงใยของท่าน ผมเคารพในความคิดเห็นของท่านเสมอ เราจะต้องสรรหารูปแบบต่างๆ ในการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ การถ่ายทอดเทคโนโลยี ตลอดจนให้เกิดการลงทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศ จากการสร้างงาน สร้างรายได้ มีการพัฒนาฝีมือแรงงาน มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาการศึกษาของเรา ให้สอดคล้องกับสิ่งที่เขาต้องการ อย่างเช่นวันนี้ เราต้องการมาก
16. ผมได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการป้องกันการทุจริต ทุกอย่างจะต้องโปร่งใส ทั้งในส่วนราชการ ข้าราชการ บริษัทก่อสร้าง นักธุรกิจไทยก็ต้องทำงานอย่างโปร่งใสมีประสิทธิภาพ ได้มาตรฐาน
17. เรื่องรถไฟความเร็วสูง เป็นเพียงหนึ่งในความร่วมมือระหว่างไทย - จีน ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีมาอย่างยาวนาน มีตั้งหลายโครงการตั้งหลายอย่างที่ร่วมมือกันมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน กับหลายๆ ประเทศก็เช่นกัน ฉะนั้นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน การลงทุนร่วมกัน หรือการหาวิธีการแสวงหาความร่วมมือ มันจะช่วยพัฒนาความเชื่อมโยง สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ยั่งยืนในระยะยาวได้อีกด้วย และสนับสนุนความร่วมมือรูปแบบต่างๆ ที่จะเพิ่มพูนยิ่งขึ้นในอนาคต ขอให้ทุกคนช่วยกันในการบูรณาการในทุกระดับทั้งรัฐบาล คสช. กระทรวงคมนาคม หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนอีกมากมาย ที่มีส่วนร่วมในการเจรจา จนมีความก้าวหน้า ซึ่งรัฐบาล จำเป็นต้องใช้มาตรา 44 บ้างเพื่อให้ดำเนินการได้ จากผลการเจรจา ทั้งเกือบ 20 ครั้ง ที่ผ่านมาทั้งหมดมันมีความคืบหน้ามาตามลำดับ แต่มันติดอยู่ 3 - 4 อันตรงนี้ ก็ไปแก้ไขตรงนี้ ย้อนกลับไปดูซิว่าการเจรจาครั้งสุดท้ายที่เรายอมรับได้มันคืออะไร แล้วก็ทำให้มันได้ตามนั้น ถ้าช้าเกินไปเราก็เสียโอกาส การเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน เราก็จะสูญเสียไป ก็ขอให้ทุกคนพยายามศึกษาทำความเข้าใจ แล้วก็เห็นถึงเหตุผลและความจำเป็น รัฐบาลก็ยืนยันทุกอย่าง มีข้อตกลงสัญญาคุณธรรม เพื่อให้เกิดความโปร่งใส มีการตรวจสอบได้ ใครทุจริต ก็จะต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย โดยทันที ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาคประชาชนก็ตาม
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่เป็นกังวลก็คือ เราจะทำสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติ และประชาชน ได้ในอนาคต ต้องแก้ไขของเดิมไปด้วย เรื่องสำคัญตอนนี้ก็คือ การใช้ที่ดิน ส.ป.ก. ในกิจการพลังงาน เราก็ต้องไปดูว่า มันจะแก้ปัญหาอย่างไร มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ในประเด็นเหล่านี้ กิจการที่ว่ามีปัญหา ดำเนินการมาก่อนแล้วทั้งสิ้นก่อนที่รัฐบาลนี้จะเข้ามา และการจะใช้ประโยชน์เพิ่มเติม จากที่ระบุไว้เดิม ตามกฎหมาย ส.ป.ก. ที่ใช้เพื่อการเกษตร มันต้องไปดูกันอีกทีเรื่องหนึ่งเรื่องของการแก้ไขกฎกระทรวงอันนี้ก็ให้ คณะกรรมการ ส.ป.ก. ไปพิจารณามา แต่วันนี้เราต้องแก้ของเดิมที่มีปัญหามาให้ได้ก่อน ถ้าจะทำใหม่ก็ต้องไปดูกฎหมาย กฎกระทรวง อีกมากมาย ไปทำตามขั้นตอนให้ครบ
ทุกอย่างต้องเข้ากรอบนโยบายยุทธศาสตร์ หากไม่เกิดประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่ มันก็ต้องกลับมาใช้ตามวัตถุประสงค์เดิม คือ การจัดสรรที่ดินเพื่อทำกินและอยู่อาศัย สำหรับเกษตรกร เราจะต้องหาทางแก้ปัญหาและป้องกันความเสียหาย ที่อาจจะเกิดขึ้น ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตให้ได้ เพราะมีผลความเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ของชาติ ของประชาชน ตามกฎหมายที่บางพื้นที่ได้รับไปอยู่แล้ว ถ้าเราหยุดชะงักมันก็มีปัญหา ประชาชนเดือดร้อน เราก็เอาสิ่งนี้กลับมาทำให้ถูกต้อง แล้วอันใหม่ก็ไปทำตามขั้นตอนให้ถูกต้อง มันก็ไม่เกิดผลกระทบ ในอนาคตอีก แต่ยืนยันว่าที่ดิน ส.ป.ก.ก็ยังมุ่งเน้นไปสู่ประชาชน ต้องให้เกิดผลประโยชน์มากที่สุดแก่ประชาชน ชุมชน ในส่วนของประเทศชาติก็ไปว่ากันมา ถ้ามันมีความเป็นไปได้ตามยุทธศาสตร์ ประชาชนมีความพึงพอใจก็ว่ากันอีกที
นายกฯ ยังกล่าวด้วยว่า ทั้งหมดนั้นเกิดมานานแล้ว เราปล่อยไม่ได้ ต้องสะสาง แต่แน่นอน ความเข้าใจมันไม่เท่าเทียมกัน บางอย่างก็มีปัญหา ก็ต้องช่วยกัน ต้องใช้สติปัญญา ใช้ความจริงใจ ช่วยกันทำต่อไป อะไรที่ลงทุนแล้ว อะไรที่จะต้องไปดูเรื่องสัมปทาน การเปิดประมูล การสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม การสร้างระบบสาธารณูปโภค ทุกวัน มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่ตรงกันมากนัก ที่ผ่านมาไม่ค่อยทราบ วันนี้รัฐบาลยังไม่ทราบทุกเรื่อง ก็เลยเกิดปัญหาทุกเรื่องเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร เราต้องมองปัญหารวม และแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของตนๆด้วย ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา และยึดแนวทาง ศาสตร์พระราชา ใช้ทั้งนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ควบคู่กันไปด้วย
คำต่อคำ : รายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน (23 มิ.ย.60)
สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้อง ชาวไทยที่รักทุกท่านนับเป็นพระมาหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรที่ทรงมีความห่วงใยต่อพสกนิกรในการเตรียมพร้อมรับมือกับปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ได้ลงพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานราชการ ประชาชน และจิตอาสาต่างๆ นะ ครับในการเข้าสำรวจขุดลอกคูคลองและท่อระบายน้ำที่อุดตัน รวมถึงการกำจัดขยะ ผักตบชวา และวัชพืชที่มีอยู่ตามบริเวณคูคลองดังกล่าวนะครับ ในหลายเขตของกรุงเทพมหานคร ได้แก่ คลองเสือน้อย คลองบางซื่อ คลองทุ่ง คลองกระเฉด คลองลานโตนด คลองนาวงประชาพัฒนา คลองหมอนทอง และคลองตาสุ่ม เพื่อให้สามารถเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วในกรณีฝนตกหนัก และป้องกันปัญหาน้ำท่วมขัง อีกทั้งยังส่งผลให้สภาพแวดล้อมสะอาดขึ้น ไม่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง หรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ ของประชาชนในชุมชนใกล้เคียงอีกด้วย ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น และในการนี้รัฐบาล และ คสช. ขอรับใส่เกล้าใส่กระหม่อมในการสืบสานพระราชดำริ โดยได้ขอให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ในการขยายผลตามแผนการรับมือและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังออกไปยังพื้นที่ปริมณฑลและจังหวัดต่างๆ ทั้งนี้ ขอความร่วมมือจากพี่น้อง ประชาชน และชุมชนให้ดูแลคูคลองสาขาและทางระบายน้ำย่อยๆ ในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบด้วย เพื่อจะทำควบคู่ไปกับการปฏิบัติของหน่วยงานราชการในการจะเร่งระบายน้ำและหาวิธีการอื่นๆ ที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาอุทกภัยให้ได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นอีกด้วยนะครับ
พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ ประเทศชาติของเราจำเป็นต้องปฏิรูปในหลายมิติเพื่อขับเคลื่อนประเทศ 1. ประเด็นเรื่องความมั่นคง เราต้องเพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการเฝ้าระวังช่วยสังเกตสิ่งผิดปกติ ช่วยเจ้าหน้าที่ในการป้องกันเหตุร้ายในทุกกรณีในพื้นที่ของตน ซึ่งเป็นเรื่องของการรักษาความมั่นคงภายในให้ประชาชนปลอดภัยทั้งในชีวิตและทรัพย์สินให้เป็นสังคมแห่งความสงบสันติ ขณะเดียวกันเราก็ต้องมีศักยภาพในเรื่องของการป้องกันประเทศ อธิปไตยตามแนวชายแดนตลอดการรักษาผลประโยชน์และทรัพยากรของประเทศทั้งทางบกทางน้ำ ทั้งทางอากาศ ในดินแดนที่เป็นอธิปไตยของเราไปพร้อมๆ กันด้วย ทั้งนี้หากประเทศชาติมั่นคงมีเสถียรภาพเศรษฐกิจก็จะดีขึ้นโดยปริยายนะครับ
เรื่องที่ 2 ประเด็นเศรษฐกิจเราต้องกลับไปดูว่าการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยและต่างประเทศในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ว่าเราและเขานั้นมีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจที่มีความเหมือนความแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร ที่มีการกระจายรายได้จากบนลงกลางลงสู่ฐานรากเพียงพอหรือยังนะครับมีกลไกเชื่อมโยงได้ถึงกันหรือไม่ เราจะพึ่งพาเพียงระบบราชการอย่างเดียวมันคงไม่เพียงพอหรอกนะครับ สิ่งเหล่านี้ต้องนำมาพิจารณาจากปัญหาพื้นฐานของคนไทยเราก่อนด้วย แล้วจึงมาดูว่าเราจะแก้ปัญหาทุกระดับให้เข้มแข็งได้อย่างไร โดยการเพิ่มพูนความรู้เทคโนโลยีเสริมสร้างขีดความสามารถให้เขาได้อย่างไร ซึ่งมันก็จะเกี่ยวพันไปถึงการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐทั้งในงบประมาณงานฟังก์ชั่น เพื่อที่จะลดความเหลื่อมล้ำและก็งบบูรณาการเพื่อที่จะสร้างความเชื่อมโยงความเข้มแข็งให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นพื้นที่เป็นกลุ่มรายได้ บางกลุ่มมีรายได้ที่ต่ำเกินไปไม่ถึง 100 บาท ต่อวัน จากการลงทะเบียนของผู้ที่มีรายได้น้อยที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะมีอาชีพรับจ้าง เกษตรกร อาชีพอิสระ และยังมีหนี้ติดตัวอีกด้วย บางอย่างเราต้องแก้ด้วยกฎหมาย ด้วยความร่วมมือประชารัฐ หรือความเข้าใจซึ่งกันและกัน ที่เราอยากจะมีอยากจะดีขึ้นเราจะต้องเผื่อแผ่แบ่งปันกันได้อย่างไร ทำอย่างไรเราจะแก้ปัญหาวาทกรรมที่พูดกันมาเสมอในเรื่องของการเอื้อประโยชน์นายทุน หรือการปล่อยให้มีการผูกขาดให้หมดกันไปได้บ้าง เรื่องนี้คงไม่น่าจะใช่เรื่องของการแบ่งชนชั้นก็ขออย่าสร้างความเข้าใจผิดๆ ให้กับสังคมเราต้องให้เห็นความจริงว่า เป็นเพียงการลงทุนการประกอบการที่ย่อมมีความแตกต่างกันได้รับผลประโยชน์ไม่เท่าเทียมกัน ทุนมาก ทำมาก เสี่ยงมาก ก้อาจจะได้มากในสัดส่วนแบ่งก็พอเพียงในการที่จะดูแลผู้ใช้แรงงานต่างๆ หรือผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในการประกอบกิจการของท่านก็ขอฝากภาคธุรกิจดูแลด้วย อันนี้ก็เป็นธรรมดาของการค้าการลงทุนในโลกเสรี สัดส่วนของผลประโยชน์ที่นักลงทุนได้รับ มันก็ต้องกระจายไปสู่ผู้ที่มีส่วนร่วมอื่นๆ ให้ได้มากที่สุดให้เขาพอเพียง เช่น แรงงานได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ ดูแลสวัสดิการต่างๆ เพียงพอหรือไม่ สิทธิมนุษยชนต่างๆ เป็นอย่างไร มันจะเกิดประโยชน์และการสร้างสรรที่ดีในสัมคมและอนาคต ประเด็นที่
3. ประเด็นด้านสังคม เรามีความจำเป็นหรือไม่ ที่เราจะต้องทำให้สังคมเรานั้น เป็นสังคมที่มีคุณภาพ มีคนที่มีคุณภาพ มีการศึกษาที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตในสังคมยุคปัจจุบัน ตลอดจนถึงการประกอบอาชีพ ที่ต้องมีการเรียนรู้ การคิดวิเคราะห์ที่เป็นเหตุเป็นผล มีหลักคิดที่ถูกต้อง เหมาะสมกับความมีอัตลักษณ์ มีวัฒธรรมอันดีงามของไทย การพัฒนาแบบตะวันตก ตะวันออกต้องผสมกันไปด้วย เมื่อจบการศึกษามาแล้วก็ต้องมีงานทำ ทำงานเป็น และตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการรับราชการ หรือเป็นแรงงานในภาคการผลิตต่างๆ ทั้งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม หรือภาคท่องเที่ยวและบริการ เราจำเป็นต้องมีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ เช่น สาขาอาชีพที่ขาดแคลน ด้าน STEM นักวิจัยและพัฒนาและอื่นๆ อีกจำนวนมาก เพื่อจะรองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่เน้นการสร้างนวัตกรรม และการให้ความสำคัญกับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญเราต้องผลิตคนให้เป็นคนดี มีศีลธรรม จริยธรรม ทั้งนี้ เมื่อคนในสังคมมีจิตสำนึกที่ดีองค์กรก็จะมีธรรมาภิบาล แล้วประเทศชาติจะแข็งแรงได้ในแบบไทยๆ ในที่สุด เราต้องฝึกคนไทยยุคใหม่ให้มีวิสัยทัศน์ คิดล่วงหน้า คิดมีแบบแผน และปฏิบัติงานได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยไม่นิยมความขัดแย้ง ความรุนแรงแต่ยอมรับความเห็นต่าง เพื่อจะแสวงหาจุดร่วมที่ลงตัว ร่วมกัน การแก้ไข หรือการดำเนินการใด จะบรรลุวัตถุประสงค์ได้ ในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเด็กแว้น ยกพวกตีกัน โสเภณี ค้ามนุษย์ ผิดกฎหมายอาชญากรรม ต่างๆ เราจะต้องช่วยแก้ไขกันทำให้ได้นะครับ เพื่อทำให้สังคมนั้นเป็นสังคมที่สันติสุข ปัญหาสังคมที่สำคัญที่ทุกคนคงมองเห็นนะครับ ส่วนหนึ่งคือความขัดแย้งจากตัวบทกฎหมาย ความไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม การปฏิบัติและการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่อาจจะไม่มีประสิทธิภาพบ้าง ปัญหาการเมืองระดับชาติ ระดับท้องถิ่น ที่ไม่ดี ที่ดีๆ ก็เยอะแยะไป ทุกอย่างมันต้องมีที่ดี และไม่ดี เราคงจะต้องเลือกทำในสิ่งที่ดี และก็ทำให้ดีมากขึ้น สิ่งที่ไม่ดีก็ต้องพยายามแก้ไขให้หมดไป หรือทำให้ถูกต้อง บางอย่างทำได้เร็ว ทำได้ช้า ค่อยเป็นค่อยไป ก็ต้องไปแยกแยะให้ชัดเจนว่าจะช่วยคิดช่วยกันทำได้อย่างไร ถ้าให้รัฐบาลทำเองทั้งหมดเป็นไปไม่ได้เลย เราแก้ไขไม่ได้อย่างสมบูรณ์ ความขัดแย้งก็จะเกิดขึ้นมาใหม่อีก ทุกครั้งทั้งปัญหาเดิม และปัญหาใหม่ เราจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายนะครับปัญหาสังคมนับเป็นปัญหาสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคโลกาภิวัฒน์เป็นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ มีส่วนที่ทำให้เป็นสาเหตุให้คนในสังคมคิดน้อยและก็ทำเร็ว บางอย่างอาจจะไม่รอบคอบ มันก็มีทั้งคุณทั้งโทษ ผิดพลาดได้ง่ายก็มีบางครั้งนำเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้องในทางทุจริต ทำผิดกฎหมาย ซึ่งเราจำเป็นต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนประเทศชาติ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จะต้องส่งเสริมการศึกษาการเรียนรู้ตลอดชีวิตรวมทั้งสร้างความรับรู้ เพื่อความเข้าใจและร่วมมือ เมื่อทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด จะไม่เกิดการละเมิดสิทธิผู้อื่นและกฎหมาย สังคมก็จะดีขึ้นเองในเรื่องของการที่เราจะทำให้สังคมสงบสุขนั้นที่สำคัญที่สุดก็คือ ในเรื่องของการปฏิรูปตนเองทั้งหมดนะครับ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นเก่า ไม่ว่าจะอยู่ใน 1.0 2.0 3.0 หรือ 4.0 คนของอนาคตก็ต้องทำไปด้วยกันแต่เวลานี้ อย่าไปรอผลิตคนใหม่ และคนเก่าไม่เปลี่ยนแปลงไม่ได้นะครับ ต้องเปลี่ยนแปลงพร้อมกันในเวลานี้นะครับ พร้อมกับสร้างคนรุ่นใหม่ไปด้วย
4. ประเด็นด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ไม่ยากเกินความพยายามครับ ถ้าทำคนให้ความสนใจ ใส่ใจ ศึกษา เรียนรู้ ทำความเข้าใจ ติดตามกฎหมายที่ปรับปรุงใหม่ให้ทันสมัย ดูสิว่าเดิมมันมีปัญหาอะไรอยู่บ้าง กับกฎหมายเดิม บางครั้งก็อาจเป็นการรักษาสิทธิ์ส่วนบุคคลของพวกเรากันเองด้วย ถ้าไม่รู้กฎหมายก็จะไม่รู้ว่าตัวเองได้รับการคุ้มครองอย่างไร ซึ่งโดยหลักการแล้วกฎหมายทุกกฎหมายย่อมรักษาสิทธิของคนส่วนใหญ่ และต้องไม่ลืมที่จะดูแล คนส่วนน้อยอีกด้วย ในเวลาเดียวกันนั้นหากทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด ไม่ว่าจะกฎหมายใหญ่ กฎหมายเล็กน้อยอะไรก็แล้วแต่ การบังคับใช้กฎหมายก็มีประสิทธิภาพมากขึ้นกระบวนการยุติธรรมก็จะเป็นที่เชื่อมั่นเป็นที่ไว้ใจของประชาชน สังคมก็จะสงบสุข ไม่มีเจ้าหน้าที่ที่ไม่ดีเรียกรับผลประโยชน์ หากประชาชนไม่ให้ความร่วมมือหรือตกเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการทุจริตเสียเอง เช่น การเสนอผลตอบแทนทุกฝ่ายก็ช่วยกันเป็นหูเป็นตา แจ้งความดำเนินคดี หรือชี้เบาะแสการกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งเราจะคุ้มครองปกป้องให้ด้วย คนทุกระดับต้องเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเท่าเทียมไม่มีการกล่าวหาว่า เอาแพะเข้ามาไม่มีการตัดสินคดีโดยปราศจากหลักฐานที่รัดกุม และครบถ้วนไม่มีวาทกรรมคนจนถูกรังแก คนรวยไม่เคยได้รับโทษ หรือคุกที่มีไว้ขังคนจนมันไม่จริงนะครับ มันอยู่ที่ความชัดเจนของกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมายตลอดการเชื่อฟังเคารพกฎหมายของทุกคนด้วย สิ่งเหล่านี้เราต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้ รัฐบาลนี้ได้ผลักดันกองทุนยุติธรรมให้เกิดขึ้นแล้ว แม้จะเป็นการเริ่มต้นที่ดีแต่อาจจะยังไม่พอ เราทุกคนนั้นต้องใส่ใจ ช่วยกันเอากฎหมายมาดูโดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายประชาชนมาดูมาอ่านมาพูดคุยกันว่าจะทำอย่างไร เขาเขียนว่าอย่างไร เจตนารมณ์ของกฎหมายคืออะไร ไม่ใช่เอามาตีความเพื่อต่อต้านกันทั้งหมดอะไรผิดอะไรถูกตามที่กฎหมายกำหนด มันไม่ใช่สิ่งที่ยากเลยถ้าเราจะทำตามกฎหมายที่ยากๆ เหล่านั้น มันต้องเป็นไปตามหลักสากลอยู่แล้วทุกคนจะได้ปรับตัวอย่างถูกต้อง เป็นการให้ความรู้ซึ่งกันและกันมาพูดคุยในสิ่งอันเป็นประโยชน์ สื่อมวลชนจะช่วยได้มาก เพราะการเสนอข่าวที่เราต้องเน้นให้ความรู้ประชาชนเรื่องกฎหมายไปด้วยและเตือนให้ระวังภัยต่างๆ มากกว่าการจะเล่าเรื่องส่วนตัวของผู้กระทำความผิด ครอบครัวต่างๆ ที่และครอบครัวต่างที่ลงลึกในรายละเอียดจนเกินไป ไปละเมิดสิทธิมนุษยชนของทั้งในส่วนของผู้ต้องหาหรือในส่วนของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำความผิดดังกล่าวเหล่านั้นด้วย สำหรับกระบวนการยุติธรรมนั้น รัฐบาลก็มีส่วนสำคัญ ที่ต้องดูแลให้เดินหน้าได้ตามครรลองของกระบวนที่เป็นสากล เชื่อถือได้ ผู้ต้องหาที่มีฐานะดีก็สามารถชนะคดีได้ รัฐ[าลก็ดูแลผู้ที่ถูกกล่าวหาที่ยากจน รายได้น้อย ให้ได้รับโอกาสในการต่อสู้คดีได้อย่างเท่าเทียมกัน และทุกอย่างในกระบวนการยุติธรรม ก็จะได้รับการยอมรับ
เรื่องที่ 5 ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ทำได้เฉพาะในพื้นที่จำกัด ผม ไม่ได้หมายความว่าไปบังคับท่าน เช่นน้ำท่วม ฝนแล้ง เราต้องคำนึงถึงความจำเป็นที่ต้องรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ที่เหลือยู่อย่างจำกัดโดย การใช้สอยอย่างคุ้มค่า ด้วยการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ มีการหามาทดแทนเพื่อไม่ให้เกิดการขาดแคลน เช่น การหาแหล่งน้ำ พื้นที่เก็บกักน้ำฝน ทั้งในเขตชลประทาน นอกเขตเขตชลประทาน การใช้พลังงานทางเลือก รวมทั้งการปลูกป่าทดแทน การให้คนอยู่ร่วมกับป่า สร้างป่า ดูแลป่า สร้างป่า สร้างป่า ดูแลป่า ปลูกป่า สร้างป่าชุมชน ทำป่าในเมือง ปลูกไม้ยืนต้นในเขตเมืองให้มากขึ้น เหล่านี้เป็นต้น ที่ผ่านมานั้นทุกคนจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐแต่เพียงผู้เดียว อาจจะถูกมอง ข้าม ปล่อยปละละเลย มาโดยตลอดก็เป็นนโยบายของรัฐบาลนี้ ให้ทุกส่วนราชการ ได้ส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วม ให้มากที่สุดในเรื่องของการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การปลูกต้นไม้ทุกส่วนราชการคงไม่ใช่เฉพาะกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือกรมป่าไม้แต่เพียงอย่างเดียว เราต้องมุ่งเน้นการพัฒนาที่คำนึงถึงเรื่องความสมดุลกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้มากยิ่งขึ้น เราต้องกลับมาทบทวนกันใหม่ ว่าวันหน้าจะมีทรัพยากรใช้อย่างพอเพียงได้อย่างไร มีเสถียรภาพ ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา โดยสามารถลดผลกระทบอื่นๆ เช่น ภาวะโลกร้อน มลภาวะในชุมชน รวมทั้งปัญหาทางสุขภาพของประชาชน อีกด้วย
ทั้งนี้ เราคงปฏิเสธการพัฒนาไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นแบบตะวันตกหรือตะวันออกก็ตาม แต่เราสามารถจะเลือกการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ ทั้งในด้านเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม แต่เราจะทำอย่างไรให้เกิดขึ้นได้ ตรงนี้ต้องร่วมกันก่อน แสวงหาทางออก สร้างความร่วมมือ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ทุกอย่างย่อมดีขึ้นเอง มีผลผลิตทางเกษตร ที่วันนี้มันมีปัญหา ก็ต้องมาดูสิว่า มันดีมานด์กับซัพลายได้หรือไม่ มีพื้นที่บุกรุกเพื่อมหรือเปล่า ผมก็ไม่อยากไปโทษผู้มีรายได้น้อย แต่ท่านต้องดูว่ามันถูกต้องหรือเปล่าในการที่จะขยับขยายการปลูกไปเรื่อยๆ บุกรุกป่าบ้าง อะไรบ้าง แล้วปลูกมาก็ปริมาณมากจนเกินความต้องการของโรงงานต่างๆ แล้วก็มาร้องให้รัฐบาลนั้นช่วยตลอดเวลา มันผิดกฎหมายตั้งแต่ต้น แล้วเสร็จแล้วพอบังคับใช้กฎหมายก็กลายเป็นไปรังแกคนจนอีก มันเกี่ยวพันกันในหลายๆ มิติ เราต้องดูแลกันทั้งด้านสิทธิมนุษยชน สังคม เศรษฐกิจ และกฎหมาย ได้แก่ ที่สำคัญที่สุดคือเรื่องโครงการก่อสร้างต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาต่างๆ ที่ยั่งยืน หลายอย่างเป็นนโยบายดีๆ เป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติในภาพรวม แต่เราเดินหน้าไปไม่ได้เต็มที่มากนัก เป็นเหตุให้เราต้องแตกเป็นโครงการเล็กๆ ทำให้เกิดผลในวงแคบๆ แก้ปัญหาได้ไม่กว้าง ไม่ลึกซึ้ง ไม่ยั่งยืน ทำได้เฉพาะในพื้นที่จำกัด ที่ประชาชนเช้าใจ และยินยอมให้ดำเนินการได้ ผมไม่ได้หมายความจะไปบังคับท่าน แต่ท่านต้องมองว่าท่านมาเจอปัญหาที่มันร้ายแรง ที่มันรุนแรง อาทิเช่น น้ำท่วม ฝนแล้งมาโดยตลอด แต่ท่านก็ให้เราทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันก็แก้ไม่ได้ทั้งสิ้น ปัญหาเหล่านี้ก็ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างบูรณาการ ไม่เกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง ส่วนรวมก็ไม่ได้รับประโยชน์ ส่วนน้อยอาจจะได้ประโยชน์ แต่ส่วนรวมไม่ได้ประโยชน์ และส่วนน้อยก็ต้องเสียประโยชน์ไปด้วยในภายหลัง เพราะขัดกับผลประโยชน์ส่วนบุคคล หรือขององค์กร เท่านั้น เช่น การสร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำ แก้มลิง ระบบส่งน้ำ หรือระบบชลประทาน เหล่านี้เป็นต้น บางครั้ง ก็อาจมีการแสวงประโยชน์จากนโยบายทางการเมือง หรือการตีความกฎหมาย ที่ก่อประโยชน์เพียงแต่คนส่วนน้อย ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้อะไรเกิดขึ้น แต่กลับคงต้องรับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ น้ำท่วม ฝนแล้ง ปัจจุบัน รัฐบาลให้ความสำคัญในการผลักดันเรื่องสิทธิมนุษยชนกับการประกอบธุรกิจ ที่เน้นใน 3 เรื่อง คือ การคุ้มครอง การเคารพ และเยียวยา ทั้งนี้เพื่อจะให้ประชาชนนั้นมีความสุข ก็ขอให้ทุกฝ่ายภาคธุรกิจ เอกชน ข้าราชการให้ความสนใจ นำไปสู่การปฏิบัติให้ได้ในเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมด้วย
เรื่องที่ 6 ประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วันนี้ทุกคนทราบดี โลกมีหลายขั้ว หลายกลุ่ม หลายฝ่าย, ยังคงมีความขัดแย้ง และอาจขยายเป็นสงครามได้ตลอดเวลามีทั้งกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศกำลังพัฒนา ประเทศยากจน ซึ่งแต่ละประเทศ ก็ต้องย่อมคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติตน เป็นที่ตั้ง มาก่อนสิ่งอื่นใด แต่เราในฐานะเป็นชาวโลกก็ต้องคิดด้วยว่า เราจะร่วมมือ สนับสนุนซึ่งกันและกันอย่างไร รูปแบบไหน เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และต้อง เข้มแข็งไปด้วยกัน แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ด้วยความสัมพันธ์ ทั้งทวิภาคี ไตรภาคี พหุภาคี ที่อาจเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ได้กับหลายๆประเทศ หลายๆมหาอำนาจ เพื่อจะส่งเสริมศักยภาพเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ระหว่างกัน เราเอง ก็ต้องพัฒนาตนเองให้เร็ว ให้ทันโลก ให้ก้าวมาอยู่ในบทบาทของประเทศผู้ให้ โดยเราจะต้องลดความเหลื่อมล้ำภายในประเทศให้ได้ พร้อมกับสนับสนุน ความเชื่อมโยงต่างๆ ให้เกิดความร่วมมือ ในทุกมิติ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม อีกทั้งต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการพัฒนาอย่างยั่งยืนซึ่งอยู่ในความสนใจในเวทีโลก และองค์กรระหว่างประเทศ ที่เราต้องสร้างให้เกิดความร่วมมือใหม่ๆ ในอนาคต เช่น SEP for SGD 2030 ซึ่งเป็นแนวทางของรัฐบาลนี้ ในการน้อมนำศาสตร์พระราชา หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ไปแลกเปลี่ยน สนับสนุน ประยุกต์ ให้ไปสู่การบรรลุเป้าหมายของ สหประชาชาติ ในอีก 15 ปีข้างหน้า เป็นต้น สำหรับระดับและรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น มีผลอย่างมากต่อการลงทุนในปัจจุบัน และในอนาคต เพราะเรายังไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่าง 100% ทุกประเทศต่างก็เป็นเสมือนเพื่อนที่จะช่วยกัน จูงมือกันไปข้างหน้า พี่จูงน้อง เพื่อนจูงเพื่อน เราจะต้องรักษาสมดุลกับประเทศเหล่านั้นให้ได้
7. ประเด็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นับว่าเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญลำดับสูงสุด ทุกรัฐบาลต้องให้ความใส่ใจ สนใจ ตั้งแต่เด็กแรกเกิด อนุบาล ประถม มัธยม อาชีวะ หรือตามอัธยาศัยอื่นๆ ด้วย โดยรัฐบาลนี้ พยายามจัดระบบให้มีความเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ทั้งสถานศึกษา ตลาดแรงงาน ภาคการผลิต เป็นต้น และต้องเป็นการศึกษาที่ใช้งานได้จริง ทั้งในการดำรงชีวิตส่วนตัว ในครอบครัว ในสังคม ไปสู่การประกอบอาชีพการงาน มีการปลูกฝังอุดมการณ์ ปลูกฝังจิตสำนึก สร้างความตระหนักในบทบาท ความรับผิดชอบ ซึ่งมีทั้งหน้าที่ ซึ่งต้องมาคู่กับสิทธิ
ทั้งนี้ เราต้องสร้างคนรุ่นใหม่พร้อมกับการพัฒนาการเรียนรู้ทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย พร้อมกับคนรุ่นเก่า ไปด้วย และจะทำอย่างไร เราจะมีบุคลากรที่มีคุณภาพ ทั้งในระบบราชการ ภาคธุรกิจ เอกชน รวมทั้งในการประกอบการ SME และ Start-up อีกด้วย ทั้งนี้เรายังขาดอีกหลายอย่างที่รัฐบาลจะต้องอำนวยความสะดวก ให้กลไกประชารัฐขับเคลื่อนไปด้วยกัน เราแยกจากกันไม่ได้ เพราะรัฐบาลทำเองไม่ได้ทั้งหมด อย่างที่กราบเรียนไปแล้ว หากไม่มีภาคเอกชน ภาคประชาชนก็จะไม่มีพลัง โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรที่มีรายได้น้อย หากไม่ได้รับการเหลียวแล จะขาดองค์ความรู้ ขาดวิทยาการสมัยใหม่ ขาดเทคนิค เทคโนโลยีที่จะช่วยยกระดับ ประสิทธิภาพ การทำงานเหล่านี้เป็นต้น รัฐบาล ข้าราชการ ก็จะต้องทำหน้าที่เป็นตัวกลาง เชื่อมโยง สร้างความเข้าใจ การเรียนรู้เหล่านี้ไว้อีกด้วย ตัวอย่างปัญหาที่เกิดจากความไม่เชื่อมโยงกัน ในประเด็นการศึกษา เศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย และนโยบายในการบริหารประเทศ คือ การวิจัยและพัฒนา ซึ่งต้องมองว่าเราจะวิจัยอะไร เราควรวิจัยในสิ่งที่เราขาดก่อนหรือไม่ ควรกำหนดเป้าหมายในการผลิตคน แรงงาน ในการให้ทุน สนับสนุนโครงการวิจัยที่มีเป้าหมายชัดเจน การกลับสู่ภูมิลำเนา อยู่กับครอบครัว เพื่อสร้างความอบอุ่นในสังคมได้อีกด้วย เราจะต้องคิดว่าเราจะผลิตใคร ไปทำอะไร เพื่อใคร ที่ไหน อย่างไร จะวิจัยอะไร ไปเพื่ออะไร ที่เราจำเป็น มีความต้องการก่อน ทุกอย่างที่เรามีศักยภาพในส่วนของต้นทางอยู่แล้ว เราขยายออกไปจะเป็นประโยชน์มากกว่าจะวิจัยอะไรออกมาแล้วก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้ ประเด็นสำคัญ ก็คือ เราอาจจะสามารถจะใช้งบประมาณจัดซื้อจากต่างประเทศลดลง ใช้วัสดุที่เรามีอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาคการเกษตร รวมทั้งประชาชนทุกระดับสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ มีราคาถูก นำไปสู่การผลิตเพื่อใช้เอง และมีการสร้างมูลค่าเพิ่มคิดค้นพัฒนาต่อไปได้ ผมไม่อยากให้ใช้ทุนการวิจัยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม เพียงเพื่อในการเพิ่มวิทยฐานะแต่เพียงอย่างเดียว หัวข้อวิจัย การใช้งบวิจัย ทั้งของรัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา ต้องสอดคล้องกับความต้องการของประเทศ ทำอย่างไรงบประมาณการวิจัยมีอยู่จำกัด จัดความเร่งด่วนอย่างไร บริหารจัดการอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ตั้งเป้าหมาย ตั้งระยะเวลา ที่จะผลิตออกมา เพราะแต่ละเรื่อง ล้วนก็เป็นความต้องการทั้งสิ้น
ทั้งนี้ เราอาจต้องมีการรวมกลุ่มงานวิจัย เป็นเรื่องๆ เป็นคลัสเตอร์ อาทิ เช่น ด้านเกษตร ด้านอุตสาหกรรม ด้านสิ่งแวดล้อม พลังงานเหล่านี้ซึ่งจะมาจาก 3 แหล่งด้วยกัน ของรัฐมาจากการวิจัยของรัฐ ของภาคเอกชนธุรกิจ และอันที่ 3 จากสถาบันอุดมศึกษาที่มีอยู่มากมาย มีผลการวิจัยอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าเรามาจัดเป็นคลัสเตอร์แล้ว มันก็เป็นการสนับสนุนไปสู่ในเรื่องของการขึ้นทะเบียน การสนับสนุนเงินทุน ไปสู่ในเรื่องของการกำหนดมาตรฐาน ผ่านมาตรฐาน สมอ. ผ่านมาตรฐาน อย. มันนำไปสู่การผลิตได้ และใช้ได้ บางทีมันทำไม่ครบก็ติดไปหมดทุกอัน วันนี้รัฐบาลเร่งรัดอยู่แล้ว เราจะต้องมีกรอบนโยบายวิจัยที่ชัดเจน มีกลไกในการขับเคลื่อน มีงบประมาณรองรับ ตามความเร่งด่วน มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน มีการขึ้นทะเบียน นวัตกรรม ผลักดันสู่ขบวนการผลิตในเชิงพาณิชย์ หรือเอามาใช้ได้ในราชการก่อนเป็นต้น เราต้องคิดต้องทำให้ได้แบบนี้ ให้ครบวงจร เราทำหลายอย่าง หลายโครงการวิจัยที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมาย ที่ผ่านมานั้นอาจไม่มีการขับเคลื่อนเอามาใช้ได้อย่างแท้จริง ก็เลยเหมือนกับว่าเราไม่เก่งหรือเปล่า คนไทยไม่มีนักวิจัยหรือเปล่า ความจริงไม่ใช่ มี เพียงแต่มีมากมายหลากหลาย ซึ่งบางอย่างสามารถรวมเป็นกลุ่ม เป็นคลัสเตอร์ได้ เราจะได้พัฒนาต่อยอดไปได้เร็วขึ้น แล้วก็ไปเร่งรัดในเรื่องของขบวนการผลิต ผ่านการทดสอบ ทำให้เกิดความปลอดภัยในทุกๆ เรื่อง มันก็จะเป็นผลประโยชน์ของชาติ ของประชาชนต่อไป หากเราสนับสนุนให้ถูกทางถูกต้อง ทำให้เป็นความจริงขึ้นมาได้ ผลงานมันก็จะเกิดประโยชน์ นักวิจัยก็จะมีกำลังใจ มีผลตอบแทนที่เพียงไม่รั่วไหลไปทำงานต่างประเทศ ทำให้เราเข้าใจว่าเราขาดแคลนนักวิจัย จริงๆ แล้วนักวิจัยของเราไปทำงานต่างประเทศเยอะ เห็นอยู่ในภาคธุรกิจเอกชนซะเยอะ
ฉะนั้น เราต้องเอาทุกคนมารวมมันสมองกันให้ได้ คนไทยไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร บางเรื่องหากเรายังไม่มีประสบการณ์จริงๆ ยังไม่ก้าวหน้าแบบเขา เราก็ต้องเรียนรู้ เอาเทคโนโลยีของเขามาเพิ่มเทคโนโลยีในประเทศของเรา ให้ต่อยอดออกไปให้ได้ เราอาจจะต้องยอมรับความจริงบ้าง บางอย่างเราไม่ถนัด บางอย่างเราไม่มีความชำนาญ เราก็อาจจะต้องเปิดโอกาสให้นักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ เข้ามาช่วยในระยะแรก มีการถ่ายทอดเทคนิคเทคโนโลยีในการก่อสร้างไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน หรืออะไรต่างๆ ก็แล้วแต่ ให้เราสามารถพึ่งพาตัวเองได้ในอนาคต เราทุกคนต้องเปิดใจให้กว้าง เปิดรับคนอื่นบ้าง ที่ผ่านมาถ้าทุกอย่างมันเก่งแล้วดีแล้ว เราคงไม่หยุดอยู่กับที่เป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางหรอก ทำไมเรายังไปไม่ถึงประเทศที่มีรายได้สูง เราก็ไม่อยากให้คิดว่า รัฐบาลนี้เข้ามาเพื่อจะเอื้อประโยชน์ให้กับต่างชาติ ไม่ใช่เลย ไม่ต้องการให้เข้ามาแย่งงานแย่งอาชีพของคนไทย อะไรที่คนไทยทำได้ก็ต้องทำ เราคงไม่ปล่อยให้เราเสียประโยชน์ไปมากขนาดนั้น
ผมอยากให้ไว้ใจรัฐบาลนี้ เราจะควบคุมดูแล ทำให้ข้อกังวลใจต่างๆ เหล่านี้ ได้ดำเนินการได้ และอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นผลประโยชน์ต่อคนไทยให้มากที่สุด ไม่ว่าใครจะไปใครจะมา ใครจะได้ประโยชน์ เราเองไม่ใช่หรือครับเป็นผู้กำหนดมาตรการต่างๆ การทำทีโออาร์ การทำสัญญาต่างๆเราเป็นคนเขียนเอง เพราะฉะนั้นเราย่อมไม่ทำอะไรแบบไม่มียุทธศาสตร์ อย่างที่ทุกคนเป็นห่วงกังวล เราเดินหน้ามาทุกเรื่องด้วยการพบปะหารือ ศึกษาทำความเข้าใจ ในทุกๆ เรื่องเปรียบเทียบในประเทศ ต่างประเทศ บางทีอาจจะรู้ไม่ทั่วถึงกัน เลยเกิดความไม่ไว้วางใจมากขึ้น ขอให้ทุกคนได้สอบถามได้ ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ มันก็อาจจะซ้ำๆ กับที่เคยพูดไป แต่ผมเพียงมุ่งหวังจะทำความเข้าใจให้มากยิ่งขึ้นให้เห็นความเชื่อมโยงจากปัญหาหนึ่ง
เพราะฉะนั้นวิธีคิดวิธีการทำถ้าหากว่าเราต้องเปลี่ยนแปลง แนวทางเดิมแก้ปัญหาไม่ได้หรอก มันต้องหนทางใหม่ หากคิดเหมือนเดิม มีโจทย์ มีปัญหา แบ่งปัญหาไปแก้ ต่างคนก็แก้กันไป แล้วก็ไม่สัมพันธ์กัน มันไม่เกิดที่มันเป็นรูปธรรม ที่มันเป็นแมสขึ้นมา มันก็แก้ได้อย่างไม่ยั่งยืนไม่สมบูรณ์ รัฐบาลนี้ได้นำแนวทางการแก้ปัญหาแบบบูรณาการมาขับเคลื่อนทั้งแผนเงิน แผนคน แผนงาน เพื่อจะบริหารจัดการกับปัญหาในทุกปมทุกประเด็นในเวลาเดียวกันให้เกิดการประสานสอดคล้องกัน มันอาจจะยาก เพราะอาจไม่เคยปฏิบัติลักษณะเช่นนี้มาก่อนมากนัก แต่หากเราแก้ไขได้ด้วยการวางแผนร่วมกันคุยกันให้ละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ อุปสรรคอยู่ตรงไหน ความเสี่ยงอยู่ตรงไหน ใครควรจะรับแก้ไขตรงนั้นไป ก็เอามาแลกเปลี่ยนข้อมูล ซึ่งกันและกัน ไม่ใช่โต้แย้งกันทุกประเด็นไป ความคิดทุกคนมีประโยชน์ทั้งสิ้น ข้อสำคัญก็คือ เราต้องมองผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง มันจะมาสู่การแก้ปัญหาได้ทุกปัญหาอย่างยั่งยืน
พี่น้องประชาชนที่รักครับ ที่ผมเคยยกเอา 4 คำถามกับ 50 ประเด็น มากล่าวในรายการนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มั่นใจในการทำงานของรัฐบาล และ คสช. ในห้วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่ในทางกลับกันผมมั่นใจว่า เราทำได้ทุกเรื่องในประเด็นต่างๆ บางประเด็นสำเร็จแล้ว บางอย่างก็ต้องเริ่มต้นทำต่อ บางอย่างต้องอาศัยทั้งเวลา อาศัยความร่วมมือเป็นสำคัญ ติดข้อกฎหมายก็ต้องไปแก้ไขปัญหากัน อยากให้ไปช่วยกันคิดว่า เราจะร่วมมือกันได้อย่างไร ตามบทบาท ตามหน้าที่ ตามศักยภาพของแต่ละคนแต่ละฝ่าย อย่าคิดอะไรที่มันขัดแย้งกันจนเกินไป บ้านเมืองเราจะไปข้างหน้าไม่ได้ ลูกหลานในวันข้างหน้าในอนาคตก็ไม่มีความสุข รัฐบาลนี้ไม่อยากให้ใครไปบิดเบือนว่า รัฐบาลกลัวว่าจะไม่มีผลงาน ไม่กลัวหรอกครับ เพราะผมรู้ดีว่าเราทำอะไรไปแล้วบ้าง หลายอย่างอาจจะไม่มีผลมาสู่เป็นรายบุคคล แต่มีผลในส่วนของการทำงานระยะยาวของผู้ร่วมรัฐบาล อย่ามาพูดในเรื่องของสืบทอดอำนาจ หรือต้องการจะเลื่อนการเลือกตั้ง ไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย ผมพร้อมน้อมรับฟังความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ตลอดมา
สำหรับกรณีรถไฟไทย - จีน นั้น ขอให้ทำความเข้าใจอีกทีนะครับ พูดกันหลายครั้ง อย่าสับสนกับข้อมูล เป็นความร่วมมือระหว่างไทย - จีน แบบรัฐบาลต่อรัฐบาล มีการร่วมมือกันมาหลายรัฐบาลแล้ว มีข้อตกลงร่วมกัน เพราะฉะนั้นรัฐบาลนี้ก็เอามาสานต่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เพื่อจะเป็นการลงทุนในอนาคต พอดีก็มันมีการพัฒนาโครงการนู้นโครงการนี้ของหลายประเทศมหาอำนาจด้วยก็เชื่อมโยงกันได้พอดี เราจำเป็นต้องเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน กระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค เชื่อมโยงกับประชาคมโลกอื่นๆ อีกด้วย เพราะฉะนั้นมีประเด็นหลายประเด็นที่ต้องพิจารณา
เรื่องที่ 1 คือ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบราง และระบบควบคุมการเดินรถ - อาณัติสัญญาณ คือพูดถึงทั้งระบบทั้งเส้นต้องทำทั้ง 3 อย่าง เพราะฉะนั้นฝ่ายไทยนั้นได้ตัดสินใจจะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีกรอบการเจรจาวงเงินประมาณ 1.7 แสนล้านบาท มีการต่อรองมาตลอดมีการเทียบราคาซึ่งกันและกันทั้งต่างประเทศ ทั้งในประเทศ ได้มีการต่อรองราคาอยู่ประมาณนั้น เราจะเป็นการจัดการประมูลในส่วนของการก่อสร้าง ให้บริษัทไทย หรืออาจจะมีการร่วมทุนกับบริษัทสัญชาติไทย ดังนั้นฝ่ายไทยจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ในการบริหารจัดการอื่นๆ ในกรอบดังกล่าว ซึ่งเราเปรียบเทียบมาตลอดในการเจรจาทั้งหมด 18 ครั้ง
เรื่องที่ 2 การร่วมลงทุนของจีนในลักษณะนี้ อาจจะเรียกได้ว่า จีนยังไม่เคยทำกับประเทศใด นอกจากจะใช้ระบบสัมปทานแบ่งปันผลประโยชน์ ทำนองนั้น อันนี้มันเป็นการรับจ้างก่อสร้าง ซึ่งเราพิจารณาแล้วมีความเหมาะสมมากกว่า เพราะฉะนั้นมาตรฐานของจีนนั้นก็ได้รับการยอมรับเนื่องจากได้มีการนำเทคโนโลยีของจีนไปใช้ก่อสร้างในหลายประเทศแล้ว รวมทั้งหลายประเทศในอาเซียนด้วย หลายหมื่นกิโลเมตร ฝ่ายไทยมีโอกาสพิจารณาทั้งการให้สัมปทานและการลงทุนเอง เราได้เลือกที่จะลงทุนเอง ไม่ได้เป็นการกำหนดจากฝ่ายจีนเลย เนื่องจากหากเป็นระบบสัมปทาน ฝ่ายจีนจะเป็นผู้รับผลประโยชน์ทั้งหมด อย่างเช่นที่ทำอยู่ในหลายประเทศ ในปัจจุบันทั้งบนราง สองข้างทางต่างๆ ทั้งหมด เพราะว่าไปชดเชยกับค่าก่อสร้าง วันนี้เราจำเป็นต้องเอาตรงนั้นมาอีกส่วนหนึ่ง เพื่อพิจารณาให้เกิดประโยชน์ทดแทนรายได้ที่จะลดลงในระยะแรก เราอาจจะได้รายได้ในการสัญจรไปมาอาจจะไม่เพียงพอ ก็เหมือนกับทุกประเทศที่เขาทำอยู่
อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ 3 หากฝ่ายไทยเป็นเจ้าของ เราก็จะมีกิจการเป็นผู้พัฒนา 2 ข้างทางเอง เพื่อจะดูในการสร้างเมืองใหม่ พัฒนาเป็นพื้นที่ประกอบการทางธุรกิจน้อยใหญ่ ที่พักอาศัยของชุมชน หรืออื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องของอนาคต วันนี้ผมได้สั่งการไปยังกระทรวงคมนาคม สนข.ไปคิดแผนเหล่านี้ออกมาควบคู่ด้วยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่ผ่านมาให้แนวทางแล้ว ที่สำคัญ มันก็จะเกิดผลตอบแทนเชิงธุรกิจสูงมากดีกว่าที่จะให้เลือกระบบสัมปทานไปประเทศชาติและลูกหลานของเราในอนาคตจะสูญเสียโอกาส และไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าในอนาคต
เรื่องที่ 4 การแก้กฎหมายนั้น เราจำเป็นต้องไปดูตรงนี้อีก การใช้พื้นที่ของรถไฟไทยให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ในเชิงพาณิชย์ เพราะกฎหมายทำไม่ได้ เราต้องทำให้ได้ในลักษณะพีพีพี หรือแบบอื่นด้วยตัวเราเอง จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมานั้น บริเวณเส้นทางรถไฟมันทำอะไรไม่ได้เลย ทางด่วน รถไฟฟ้า มันเป็นเรื่องของกระทรวงคมนาคมทั้งหมด มันก็ไปทำอย่างอื่นไม่ได้ วันนี้ต้องมาดูตรงนี้ เราจะได้ไม่เสียประโยชน์ธุรกิจต่อเนื่องอื่นๆ ไปอีกด้วย ขอร่วมมือด้วยในอนาคตเรื่องกฎหมาย
5. เราจำเป็นต้องมีเส้นทางรถไฟความเร็วสูงหรือไม่ อันนี้มันจำเป็น เพราะอะไร เพราะว่ามันต้องมีการเชื่อมต่อเขาด้วย ไม่ว่าจะเป็นไทย ลาว จีน ปากีสถาน ยุโรปตะวันออก เขามีการเชื่อมโยงกันแล้วในขณะนี้ เราจำเป็นต้องมีการเชื่อมโยงไปด้วยคู่ขนานไปกับทางรถยนต์ที่เป็นข้ามทวีป ข้ามประเทศต่างๆ เราต้องทำไปด้วย ทางหลวงต่างๆ เหล่านั้น เราเคยทำมาแล้วทางหลวง วันนี้เราก็เพียงแต่มาทำทางรถไฟ บางคนบอกว่า เอ๊ะทำไมไม่มาทำทางรถไฟไทย ทางคู่อย่างเดียวทั้งหมดก็ต้องคู่ขนานกัน ทางคู่ก็ต้องทำไป ทุกอย่างทั้งหมดปัญหาอยู่ทำได้หรือทำไม่ได้ มันติดคนบุกรุกหรือเปล่า มันติดพื้นที่ป่าหรือไม่ มันติดในเรื่องของการทำประชาพิจารณ์อะไรหรือเปล่า ทั้งหมดคือปัญหาของเรา ถ้าเราปรับได้บ้าง เราเข้าใจกันบ้าง มันจะเกิดได้ มันก็จะได้ไม่เสียเวลา และเราจะได้ตามทันคนอื่นเขาด้วยในกรอบ วันเบลท์วันโรด วันนี้ลาวอยู่ระหว่างการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมไปยังทางเดียวกับเรา เราต้องเริ่มดำเนินการตั้งแต่บัดนี้
เรื่องที่ 6 เราจำเป็นต้องปรับจัดทำกฎหมายหลายฉบับ เพื่อจะต้องพิจารณาตามความเหมาะสม และคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่เฉพาะ ไทย-จีน นะครับ รวมทั้งอีก 64 ประเทศในกรอบวันเบลท์วันโรดควบคู่ไปด้วย
เรื่องที่ 7 การจัดการประมูลในส่วนที่ฝ่ายไทยลงทุนเอง เราจะต้องดำเนินการเองทั้งหมด การจัดการประมูล การใช้บริษัทก่อสร้างไทย แรงงานไทย วัสดุในท้องถิ่นของไทยให้มากที่สุดก็ใช้แต่วิศวกรจากจีนมาเป็นผู้ออกแบบ ควบคุม แล้วดำเนินการก่อสร้างภายใต้การทำงานของบริษัทก่อสร้างของเรา ซึ่งก็ต้องมีประสิทธิภาพมีมาตรฐานด้วย
เรื่องที่ 8 เรื่องการพิจารณาความคุ้มทุน ทุกคนก็ไม่มองเฉพาะจำนวนผู้โดยสารที่จะใช้บริการเท่านั้น ทุกประเทศที่ผมไปเยี่ยมเยียนมาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น แรกๆ ขาดทุนทั้งหมด แต่วันนี้มหาศาล เพราะมันเกิด ผลประโยชน์สองข้างทางตามมาโดยทันที เพราะฉะนั้นอยู่ที่เราจะวางแผนอย่างไร เราจะมองผลประโยชน์ตรงนี้อย่างไร ถ้าเราคัดค้านทั้งหมด ธุรกิจเหล่านี้จะเกิดไม่ได้เลย และมันเป็นอย่างที่ทุกคนเป็นห่วงนั่นแหละ เพราะฉะนั้นผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นผลประโยชน์เหล่านี้มันจะต้องกระจายลงไปยังแต่ละพื้นที่ที่เส้นทางพาดผ่าน ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างที่อยู่อาศัย พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ชุมชนในพื้นที่อีกด้วย
9. ในเรื่องของการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการก่อสร้าง เราจะต้องมีวิศวกรของไทยอยู่ร่วมในการวางแผนก่อสร้าง ควบคุมงาน และอื่นๆ ด้วย อันนี้มันอยู่ในสัญญาที่จะต้องไปพูดคุย ไปเจรจากันต่อไป ซึ่งมีการพูดคุยมาต่อเนื่อง
เรื่องที่ 10 ในส่วนประสบการณ์นั้น แม้เราไม่เคยทำมาก่อน แต่ผมเชื่อมั่นในความศักยภาพของวิศวกรไทย ว่า สามารถเปิดรับเทคนิคและประสบการณ์ใหม่ๆ จากเส้นทางนี้ ได้มาก เพราะเรามีความสามารถอยู่แล้ว เพียงแต่เรื่องอะไรใหม่ๆ เราอาจจะต้องดูในระยะแรกไปก่อน ติดตามศึกษาเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อให้การดำเนินงานในเส้นทางอื่นๆ ซึ่งอาจจะต้องทำเองให้มีประสิทธิภาพต่อไป ในเทคโนโลยีนั้นเป็นเรื่องสำคัญ
เรื่องที่ 11 เส้นทางอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต มีเส้นทางเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอีกครั้ง เราต้องเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันจากหลายๆ ประเทศ ที่มีศักยภาพ สนใจอยากมีส่วนร่วม ไม่ใช่ว่า พอทำเส้นนี้แล้วเส้นอื่นจะต้องเป็นแบบนี้ มันใช่หรอกนะครับ มันมีหลายวิธีการ เราต้องทำให้มันเกิดขึ้นก่อนสักเส้นหนึ่งมั้ย แล้วเรามีการพัฒนา มีการประมูล มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี มันจะสามารถที่จะร่วมทุน หรือ ทีพีพี ร่วมกันในโอกาสต่อไปกับทุกประเทศ อย่าเอาอันนี้ไปพันกับอันอื่นเดี๋ยวมันจะมีปัญหาในการทำงานต่อไปอีกด้วย
12. เทคนิคในการก่อสร้าง ต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากล อย่าไปห่วงกังวลเลย เพราะเรามีคนรับผิดชอบอยู่แล้ว ที่เรายอมรับได้อยู่แล้ว ระบบอาณัติสัญญาณนั้น เราก็ต้องผูกพันไว้ให้ได้ว่า ต้องสามารถเชื่อมโยงกันได้กับโครงการต่อๆ ไปไม่ว่าจะมาจากประเทศไหนก็ตาม ต้องเชื่อมต่อกันให้ได้นะครับ อย่ากังวลในเรื่องนั้นนะครับ เพื่อให้การเดินรถมีความปลอดภัย ต่อเนื่อง ราบรื่น และมีประสิทธิภาพ
13. การกำหนดราคา ก็ได้มีการผ่านการเจรจา ต่อรอง เอารายละเอียดมาดูกัน ราคาค่าก่อสร้าง ราคาวัสดุ อุปกรณ์ มาเทียบกันหมดแล้ว วันนี้ก็ตกลงข้อสรุปกันได้ประมาณ 170,000 ล้านบาทนะครับ ก็ลดจากฝ่ายจีนที่เสนอมา จำนวนมากพอสมควรนะครับ เราได้ศึกษามาอย่างรอบคอบ ข้อมูลการเปรียบเทียบการก่อสร้าง ในลักษณะเดียวกันในประเทศอื่นด้วยในกรอบวงเงินงบประมาณ เพราะฉะนั้น ในการดำเนินการทุกเรื่อง เราจะต้องยึดผลประโยชน์ของชาติมาก่อนเสมอ คำนึงถึงหนี้สาธารณะต่างๆในอนาคตด้วยที่จะต้อง อยู่ในกรอบการเงินการคลังของเราที่มีอยู่
14. การทำพันธสัญญา ความร่วมมือในลักษณะ G2G นั้น ฝ่ายไทยดำเนินการโดยหน่วยงานราชการ กระทรวงคมนาคม การรถไฟไทย ฝ่ายจีนก็เป็นไปตามหลักการทำธุรกิจของจีน คือ ให้หน่วยงานของรัฐรับผิดชอบ ได้แก่ สภาเศรษฐกิจ ในการรับรองบริษัทที่จะมาทำการก่อสร้างกับไทยเท่านั้น ไม่ใช่ว่าบริษัทอะไรก็ได้ ไม่ใช่ เขาต้องรับผิดชอบ รับรองด้วย
15. ผมก็อยากจะขอร้องให้ทุกภาคส่วน ได้มองในภาพกว้าง ไม่ว่าจะประชาชน ประชาสังคม นักวิชาการ วิศวกร ต่างๆ ช่วยกัน กรุณานึกถึงผลประโยชน์ในอนาคตด้วย ความห่วงใยของท่าน ผมเคารพในความคิดเห็นของท่านเสมอ เราจะต้องสรรหารูปแบบต่างๆ ในการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ การถ่ายทอดเทคโนโลยี ตลอดจนให้เกิดการลงทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศ จากการสร้างงาน สร้างรายได้ มีการพัฒนาฝีมือแรงงาน มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาการศึกษาของเรา ให้สอดคล้องกับสิ่งที่เขาต้องการ อย่างเช่นวันนี้ เราต้องการมาก
16. ผมได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการป้องกันการทุจริต ทุกอย่างจะต้องโปร่งใส ทั้งในส่วนราชการ ข้าราชการ บริษัทก่อสร้าง นักธุรกิจไทยก็ต้องทำงานอย่างโปร่งใสมีประสิทธิภาพ ได้มาตรฐาน
17. เรื่องรถไฟความเร็วสูง เป็นเพียงหนึ่งในความร่วมมือระหว่างไทย - จีน ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีมาอย่างยาวนาน มีตั้งหลายโครงการตั้งหลายอย่างที่ร่วมมือกันมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน กับหลายๆ ประเทศก็เช่นกัน ฉะนั้นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน การลงทุนร่วมกัน หรือการหาวิธีการแสวงหาความร่วมมือ มันจะช่วยพัฒนาความเชื่อมโยง สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ยั่งยืนในระยะยาวได้อีกด้วย และสนับสนุนความร่วมมือรูปแบบต่างๆ ที่จะเพิ่มพูนยิ่งขึ้นในอนาคต ขอให้ทุกคนช่วยกันในการบูรณาการในทุกระดับทั้งรัฐบาล คสช. กระทรวงคมนาคม หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนอีกมากมาย ที่มีส่วนร่วมในการเจรจา จนมีความก้าวหน้า ซึ่งรัฐบาล จำเป็นต้องใช้มาตรา 44 บ้างเพื่อให้ดำเนินการได้ จากผลการเจรจา ทั้งเกือบ 20 ครั้ง ที่ผ่านมาทั้งหมดมันมีความคืบหน้ามาตามลำดับ แต่มันติดอยู่ 3-4 อันตรงนี้ ก็ไปแก้ไขตรงนี้ ย้อนกลับไปดูซิว่าการเจรจาครั้งสุดท้ายที่เรายอมรับได้มันคืออะไร แล้วก็ทำให้มันได้ตามนั้น ถ้าช้าเกินไปเราก็เสียโอกาส การเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน เราก็จะสูญเสียไป ก็ขอให้ทุกคนพยายามศึกษาทำความเข้าใจ แล้วก็เห็นถึงเหตุผลและความจำเป็น รัฐบาลก็ยืนยันทุกอย่าง มีข้อตกลงสัญญาคุณธรรม เพื่อให้เกิดความโปร่งใส มีการตรวจสอบได้ ใครทุจริต ก็จะต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย โดยทันที ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาคประชาชนก็ตาม
พี่น้องประชาชนที่รักครับ สิ่งที่ผมเป็นกังวล ก็คือ เราจะทำสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติ และประชาชน ได้ในอนาคต ต้องแก้ไขของเดิมไปด้วย เรื่องสำคัญตอนนี้ก็คือ การใช้ที่ดิน ส.ป.ก. ในกิจการพลังงาน เราก็ต้องไปดูว่า มันจะแก้ปัญหาอย่างไร มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ในประเด็นเหล่านี้ กิจการที่ว่ามีปัญหา ดำเนินการมาก่อนแล้วทั้งสิ้นก่อนที่รัฐบาลนี้จะเข้ามา และการจะใช้ประโยชน์เพิ่มเติม จากที่ระบุไว้เดิม ตามกฎหมาย ส.ป.ก. ที่ใช้เพื่อการเกษตร มันต้องไปดูกันอีกทีเรื่องหนึ่งเรื่องของการแก้ไขกฎกระทรวงอันนี้ก็ให้ คณะกรรมการ ส.ป.ก. ไปพิจารณามา แต่วันนี้เราต้องแก้ของเดิมที่มีปัญหามาให้ได้ก่อน ถ้าจะทำใหม่ก็ต้องไปดูกฎหมาย กฎกระทรวง อีกมากมาย ไปทำตามขั้นตอนให้ครบ
ทุกอย่างต้องเข้ากรอบนโยบายยุทธศาสตร์ หากไม่เกิดประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่ มันก็ต้องกลับมาใช้ตามวัตถุประสงค์เดิม คือ การจัดสรรที่ดินเพื่อทำกินและอยู่อาศัย สำหรับเกษตรกร เราจะต้องหาทางแก้ปัญหาและป้องกันความเสียหาย ที่อาจจะเกิดขึ้น ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตให้ได้ เพราะมีผลความเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ของชาติ ของประชาชน ตามกฎหมายที่บางพื้นที่ได้รับไปอยู่แล้ว ถ้าเราหยุดชะงักมันก็มีปัญหา ประชาชนเดือดร้อน เราก็เอาสิ่งนี้กลับมาทำให้ถูกต้อง แล้วอันใหม่ก็ไปทำตามขั้นตอนให้ถูกต้อง มันก็ไม่เกิดผลกระทบ ในอนาคตอีก แต่ยืนยันว่า ที่ดิน ส.ป.ก. ก็ยังมุ่งเน้นไปสู่ประชาชน ต้องให้เกิดผลประโยชน์มากที่สุดแก่ประชาชน ชุมชน ในส่วนของประเทศชาติก็ไปว่ากันมา ถ้ามันมีความเป็นไปได้ตามยุทธศาสตร์ ประชาชนมีความพึงพอใจก็ว่ากันอีกที
ทั้งหมดนั้นเกิดมานานแล้ว เราปล่อยไม่ได้นะครับ ต้องสะสาง แต่แน่นอนครับ ความเข้าใจมันไม่เท่าเทียมกัน บางอย่างก็มีปัญหา ก็ต้องช่วยกัน ต้องใช้สติปัญญา ใช้ความจริงใจ ช่วยกันทำต่อไป อะไรที่ลงทุนแล้ว อะไรที่จะต้องไปดูเรื่องสัมปทาน การเปิดประมูล การสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม การสร้างระบบสาธารณูปโภค ทุกวัน มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่ตรงกันมากนัก ที่ผ่านมาไม่ค่อยทราบ วันนี้รัฐบาลยังไม่ทราบทุกเรื่อง ก็เลยเกิดปัญหาทุกเรื่องเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร เราต้องมองปัญหารวม และแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของตนๆด้วย ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา และยึดแนวทาง ศาสตร์พระราชา ใช้ทั้งนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ควบคู่กันไปด้วย
เรื่องผังเมืองเช่นเดียวกัน อันนี้ก็ต้องชมเชยกระทรวงมหาดไทยพยายามทำผังเมือง จนครบทั้ง 76 จังหวัด กรุงเทพมหานครด้วย ซึ่งค้างมาเป็นเวลานานวันนี้ทำครบหมดแล้ว แต่ขณะที่ทำมา มันใช้เวลาที่ผ่านมาทำไม่เสร็จ พอทำไม่เสร็จคนก็มีการขยับขยาย เคลื่อนย้าย มีคนมากขึ้น ย้ายบ้านย้ายช่องไปอยู่ เพราะฉะนั้นผังเมืองที่เพิ่งจะออกมาได้ ไม่ทันสมัยอีกแล้ว หลายๆคนก็ไม่ทำตามกฎหมาย ไม่เป็นไปตามผังเมือง เสร็จแล้วพอมีปัญหาเรื่องน้ำท่วม ฝนแล้ง มันก็แก้ไม่ได้อีกเหมือนเดิม ผมก็อยากขอร้องผู้มีรายได้น้อย หรือใครต่างๆก็ตาม ที่ชอบฝ่าฝืนกฎหมาย อันนี้ท่านจะได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ท่านมีรายได้มากขึ้น ท่านก็พอใจ แต่ก็อย่าลืมว่า คนที่เขาไม่มีรายได้ เช่นเดียวกับท่าน เขาได้รับผลกระทบ จากการที่เราได้ไปละเมิดผังเมือง ไปสร้างบ้านคร่อมทางน้ำ หรือไปขวางทางระบายน้ำ ต้องเห็นใจคนเหล่านั้นบ้าง เป็นคนส่วนใหญ่ด้วย ถ้าเราไปดำเนินการใช้กฎหมายเต็มๆทุกเรื่อง มันก็กลายเป็นเจ้าหน้าที่ไปรังแกท่านอีก ฉะนั้นปัญหาทุกปัญหามันมีส่วนร่วมทั้งหมด ส่วนหนึ่งได้เป็นส่วนน้อย ไอ้ส่วนใหญ่เสียหาย มันก็ไม่ได้นะครับ ขอให้ทุกคนได้นึกถึงกันบ้าง ผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม หรือผู้ที่มีรายได้น้อย ต้องได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายซึ่งจะต้องบังคับกันมานานแล้ว อันนี้ต้องขอความร่วมมือด้วย ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ถ้าแก้ไม่ได้ มันก็อยู่กันอย่างเดิมทั้งหมด
ทั้ง 2 ประเด็นนี้ ผมฝากให้ประชาชนได้ช่วยกันคิด เราจะทำอะไรได้บ้าง ในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศอย่างที่ทุกคนพูดเสมอว่าแผ่นดินนี้เป็นของประชาชน และประชาชนก็เป็นผู้ที่ต้องแก้ปัญหาให้ได้ด้วยตัวเอง แล้วก็มีภาครัฐมาช่วย อุดหนุน อำนวยการ จัดระเบียบให้ได้
วันนี้ก็มีจิตอาสาเป็นจำนวนมาก ประชารัฐก็ก่อร่างสร้างตัวในหลากหลายกิจกรรม แต่ปัญหาใหญ่ๆ เชิงโครงสร้าง ยังคงต้องการความร่วมมืออีกมาก ในส่วนที่ทำได้ ก็ทำไปแล้ว ยังไม่ได้ทำ กำลังทำ โดยเฉพาะเรื่องการบริหารจัดการน้ำ สาธารณูปโภคพื้นฐาน การจัดระเบียบ สังคม ซึ่งทุกอย่างจะต้องไม่มองแต่เพียงประเด็นของตัวเองอย่างเดียว ต้องเอาประเด็นทุกประเด็นของตนไปดูประเด็นของคนอื่นด้วย แล้วเอามา ดูว่าจะทำอย่างไรจะลดความขัดแย้งลงได้บ้าง เรื่องนี้ถ้าเราไม่ทำวันนี้ วันนี้รัฐบาลหน้าก็ทำไม่ได้อีกเช่นเดิม เพราะว่าจะต้องไปบังคับใช้กฎหมายแต่เพียงอย่างเดียว ก็เสียหาย เสียภาพลักษณ์ประเทศ
ในโอกาสวันอีดิลฟิตรีประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1438 ผมขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดี มายังพี่น้องชาวไทยมุสลิมทั้งหลาย ผมขอพรอันประเสริฐจากเอกองค์พระผู้อภิบาล ได้โปรดประทานพร ให้พี่น้องมุสลิมชาวไทยทุกท่าน จงประสบแต่ ความร่มเย็นเป็นสุข มีความจำเริญ รุ่งเรือง และมีสุขภาพพลานามัย ที่สมบูรณ์แข็งแรงโดยทั่วกัน
สุดท้ายนี้ผมขอประชาสัมพันธ์กับพี่น้องประชาชนว่า รัฐบาลได้กำหนดให้วันเข้าพรรษาของทุกปี เป็นวันงดดื่มสุราแห่งชาติ ซึ่งในปีนี้ ตรงกับวันที่ 9 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ วันเข้าพรรษา เป็นวันสำคัญที่ชาวพุทธจะได้กำหนดจิตแน่วแน่ในการบำเพ็ญความดีให้มากยิ่งขึ้นเป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งการงดดื่มสุราก็จะถือเป็นมหากุศลด้วย เพราะหากผิดศีลข้อ 5 แล้ว ย่อมมีโอกาสละเมิดศีลข้ออื่นได้โดยง่าย ในปี 2560 นี้ ผมได้ให้คำขวัญเนื่องในวันงดดื่มสุราว่า "ห่างไกลสุรา ประชาเป็นสุข ปลอดภัยพาชาติไทยเจริญ"
เนื่องจากสุราก่อให้เกิดผลกระทบต่อทั้งตัวผู้ดื่มเอง ครอบครัว บุคคลรอบข้าง ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ด้วยมาจากที่การดื่มสุรา ก่อให้เกิดโรคภัยมากมาย ส่งผลถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สังคม และเศรษฐกิจไทย ดังนั้น ผมขอเชิญชวนพ่อ แม่ พี่ น้อง ชาวไทยทุกท่าน ลด ละ เลิกสุรา และ ช่วยกันปกป้องเยาวชนของเราให้ห่างไกลเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยกระทรวงสาธารณสุข มีการรณรงค์ และจัดกิจกรรมสนับสนุนการปฏิญาณตนงดดื่มสุรา ในช่วงเข้าพรรษา และงดให้ครบพรรษา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ในปีนี้ เป็นปีที่สำคัญยิ่งนี้ด้วย ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์