ผบ.กกล.ทบ.สหรัฐฯ เดินสายเข้าพบ ผบ.ทบ.-ผบ.ทสส.ไทย เผยสัมพันธ์สองประเทศมีมายาวนานต่อเนื่อง พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้และร่วมฝึก เพื่อความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากขึ้น
วันนี้ (5 มิ.ย.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้การต้อนรับ พล.อ.โรเบิร์ต บี. บราวน์ (General Robert B. Brown) ผู้บัญชาการกองกำลังทางบกสหรัฐอเมริกา ภาคพื้นแปซิฟิก Commanding General, U.S. ARMY PACIFIC (USARPAC CG) พร้อมภริยาและคณะ ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของกองทัพบก ระหว่างวันที่ 3-7 มิ.ย. 2560 ในการนี้ ผบ.ทบ.ไทยได้เชิญผู้บัญชาการกองกำลังทางบกสหรัฐอเมริกา ภาคพื้นแปซิฟิก กระทำพิธีตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ วางพวงมาลา ณ พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ ๕ ต่อมาเข้าเยี่ยมคำนับผู้บัญชาการทหารบกไทย ณ ห้องรับรองพิเศษ พร้อมรับฟังการบรรยายสรุป ณ ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก และร่วมพิธีอำลาแถวทหารกองเกียรติยศ ก่อนเดินทางกลับ
เอกสารข่าว ทบ.ระบุว่า สหรัฐอเมริกากับประเทศไทยเริ่มมีความสัมพันธ์ระหว่างกันมาตั้งแต่ปี 2376 จากการที่ทั้งสองฝ่าย มีสนธิสัญญาไมตรีและการพาณิชย์ (Treaty of Amity and Commerce) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันปี 2560 นี้ ครบรอบ 184 ปี มีการแลกเปลี่ยนความร่วมมือทางทหารทั้งด้านการข่าว ยุทธการ การส่งกำลังบำรุง กิจการพลเรือน การศึกษาหลักสูตรทางทหาร การต่อต้านการก่อการร้ายสากลมาตลอดอย่างต่อเนื่องยาวนาน
เอกสารข่าว ทบ.ยังระบุว่า สำหรับปีงบประมาณ 60 กำหนดให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้และการฝึกร่วมในโอกาสต่างๆ เช่น การแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านอากาศยาน, การฝึกผสมรหัส Hanuman Guardian 2017, การฝึกผสมรหัส Balance Torch 2017, การฝึกร่วมผสม Cobra Gold 2017 เป็นต้น จุดมุ่งหมายสำคัญในการเยือนครั้งนี้เพื่อยืนยันถึงการสร้างความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากขึ้น บนพื้นฐานของกองทัพมิตรประเทศผู้บัญชาการกองกำลังทหารบกสหรัฐอเมริกา ภาคพื้นแปซิฟิก
ช่วงเช้าวันเดียวกัน ที่กองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ.โรเบิร์ต บี. บราวน์ ยังได้เดินทางไปเข้าเยี่ยมคำนับ พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ทั้งนี้ เอกสารข่าวของกองทัพไทยระบุว่า ได้มีการหารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านความมั่นคง ระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการฝึกร่วมทั้งระดับทวิภาคีและพหุภาคี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกร่วม-ผสม Cobra Gold ซึ่งเป็นการฝึกร่วมที่มีความหมายและมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการรักษาความมั่นคงและเสถียรภาพของภูมิภาค โดยการเดินทางมาเยือนของ พล.อ.โรเบิร์ต ในครั้งนี้นับเป็นการยืนยันความสัมพันธ์ของกองทัพทั้งสองซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไป ทั้งนี้ วันที่ 6 มิ.ย.นี้ ผบ.กกล.สหรัฐฯ ภาคพื้นแปซิฟิกจะเดินทางมาที่กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 1 และ จะเดินทางไปชมการสาธิตการปฏิบัติงานทางทหาร ที่กองพลทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ (ร.31 รอ.) หรือหน่วยรบเคลื่อนที่เร็วของกองทัพภาคที่ 1 ด้วย
สำหรับ พล.อ.โรเบิร์ต บี. บราวน์ สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี โรงเรียนนายร้อยทหารบก สหรัฐอเมริกา (เวสต์ปอยต์) (United States Military Academy) ปริญญาโทด้านศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ปริญญาโทด้านความมั่นคงและยุทธศาสตร์ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา การดำรงตำแหน่งทางทหารที่สำคัญที่ผ่านมา ได้แก่ อาจารย์ส่วนวิชาทหาร โรงเรียนนายร้อยทหารบกสหรัฐอเมริกา (เวสต์ปอยต์) นายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำสำนักงานรองเสนาธิการทหารบกสหรัฐอเมริกา ผู้บัญชาการศูนย์ความเป็นเลิศในการดำเนินกลยุทธ์ (Maneuver Center of Excellence) ผู้บัญชาการกองพลน้อยที่ 1 (1st BCT, 25th ID) แม่ทัพน้อยที่ 1 (I Corps) Joint Base Lewis-McChord จนถึงตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังทางบกสหรัฐอเมริกาภาคพื้นแปซิฟิก Commanding General, U.S. ARMY PACIFIC
โดยหลังการเข้าเยี่ยมคำนับ ณ กองบัญชาการกองทัพบก ทั้ง 2 ฝ่ายได้มีการหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในงานด้านความมั่นคงและสถานการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องภัยพิบัติตามธรรมชาติที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ได้มีความเห็นร่วมกันในการเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและการช่วยเหลือประชาชน นอกจากนี้ ได้หารือถึงความร่วมมือในเรื่องการต่อต้านการก่อการร้าย โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่จะช่วยสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยในภูมิภาค รวมทั้งการพัฒนาและเสริมสร้างขีดความสามารถทางด้านการทหารในลักษณะการฝึกร่วม การฝึกผสม ของทั้ง 2 กองทัพ ให้มีการฝึกร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
การหารือในครั้งนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายยังได้มีความเห็นร่วมกันเกี่ยวกับภัยคุกคามในรูปแบบต่างๆ ที่มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น ซึ่งทุกประเทศควรให้ความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหาด้วยการใช้การพูดคุยและเจรจา เพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างสันติ ซึ่งจะทำให้ภูมิภาคนี้เกิดความมั่นคงทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง การทหารและความเป็นอยู่ของประชาชนจะได้รับการพัฒนาและยกระดับให้ดีขึ้นในทุกด้าน