xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ อวยพรส่งความสุขปีใหม่ ขอคนไทยลดจุดอ่อนทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ประยุทธ์” อัญเชิญ “ส.ค.ส. พระราชทาน 2537” ให้คนไทยใจเย็น อดทน รักษาความเพียร รักษาความดี ระบุ รัฐพยายามลดช่องว่างและแก้ไขข้อบกพร่องในอดีต เชื่อมโยงทุกภาคส่วนเป็นห่วงโซ่ที่ทุกห่วงต้องเข้มแข็งไปด้วยกัน ชี้ “จุดอ่อน” ประเทศไทยเกิดจากคนบางกลุ่มไม่เข้าใจคำว่า สิทธิ หน้าที่ และเสรีภาพ ภายใต้กฎหมายเดียวกัน จนนำไปสู่ “การละเมิดสิทธิ” ของผู้อื่น ขอให้ทุกคนช่วยกันลดจุดอ่อนตัวเอง เพื่อมุ่งไปสู่จุดหมาย “มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” ด้วยกัน ทั้งประเทศ

วันนี้ (30 ธ.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชาสู่การปฏิบัติอย่างยั่งยืน” ว่า สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน นับเป็นระยะเวลา กว่า 6 ทศวรรษแล้วนะครับ ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ได้พระราชทาน บทเพลงพระราชนิพนธ์ “พรปีใหม่” ด้วยทรงมุ่งหวังเพื่ออำนวยพรให้พสกนิกรของพระองค์มีความสุข และเป็นระยะเวลาเกือบ 3 ทศวรรษแล้ว ที่พระองค์ได้พระราชทาน ส.ค.ส. ให้ปวงชนชาวไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากมีพระราชประสงค์ ที่จะ “ส่งความสุข” ในช่วงปีใหม่ และตลอดศกใหม่แล้ว ยังทรงให้สติ ให้ปัญญา ให้ข้อคิด และแนวทางในการดำรงชีวิต รวมทั้งให้กำลังใจต่อสู้ เพื่อเอาชนะต่ออุปสรรค นานัปการ อีกด้วย

ในโอกาสนี้ ผมขออัญเชิญ “พรอันประเสริฐ” เหล่านั้น มาเพื่อเป็นสิริมงคลในชีวิต แด่พี่น้องประชาชนชาวไทยอีกครั้ง อันประกอบด้วย “คุณธรรม” ที่สำคัญ อาทิเช่น ความซื่อสัตย์ คิดดี ทำดี เพื่อส่วนรวม, ความขยันอดทน และมีความเพียรอันบริสุทธิ์, การอดออม ประหยัด มัธยัสถ์ และมีความพอเพียง, การแสวงหาความรู้ การใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา และการฝึกฝนเพื่อพัฒนาตนเอง, ความมีสติ รู้คิด และ ไม่ประมาท

รวมทั้ง ความรู้รัก สามัคคี และการทำงานเป็นทีม เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนำพาชีวิตของเรา และประเทศชาติ มีแต่ความสุขความเจริญ และหากคนไทยทุกคน มีแต่ความยินดี และความปรารถนาดี มอบให้แก่กันแล้ว เราทุกคนก็จะมีชีวิตที่ปราศจากทุกข์ทั้งปวง อันเป็น “สัจธรรม ความจริง” ของโลก ที่ผมอยากให้ทุกคนได้ตระหนัก เพื่อการครองชีวิตตามครรลองที่ถูกต้องเหมาะสม อยู่เสมอด้วยนะครับ

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงใส่พระทัย “ทุกข์ สุข” ของปวงชนชาวไทย โดยทรงมีกระแสพระราชดำรัส ให้น้อมนำ “ศาสตร์พระราชา” แห่งองค์สมเด็จพระบรมชนกนาถ และแนวทางพระราชทาน ตลอดระยะเวลา 7 ทศวรรษ ที่ผ่านมา ไปประยุกต์ใช้ด้วยปัญญาและความเพียร สำหรับรัฐบาลและข้าราชการ ในการบริหารราชการแผ่นดิน และสำหรับประชาชนทุกคน ในการดำรงชีวิตประจำวัน

ในการนี้ ผมขออัญเชิญ “ส.ค.ส. พระราชทาน ปีใหม่ พ.ศ. 2537” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “ศาสตร์พระราชา” โดยมีสาระสำคัญ ที่แสดงสัจธรรมแห่งชีวิต คือ “ยิ้มบ้าง ไม่ยิ้มบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เหมือน “จราจร” มาจากคำว่า “จร” แปลว่า แล่น “อะจร” แปลว่า ไม่แล่น ดังนั้น เมื่อสนธิเป็นคำใหม่ว่า “จราจร” จึงหมายถึง แล่นบ้าง ไม่แล่นบ้าง ให้ใจเย็น ต้องอดทน รักษาความเพียร รักษาความดี เพราะอุปสรรคเป็นเครื่องทดสอบคนดี ที่จะไม่ยอมให้ความทุกข์ ความลำบาก ชักนำสู่หนทางเสื่อม ทั้งนี้ ผมหวังว่า สัจธรรมง่ายๆ นี้ จะเป็นกำลังใจให้กับทุกคน ที่ยึดมั่นในความดี และไม่อยากให้ท้อถอย หมดกำลังใจ ตลอดปีใหม่ และตลอดไปนะครับ

พี่น้องประชาชนทุกท่าน ครับ, ในการเดินหน้าประเทศที่ผ่านมานั้น ปีหน้า และปีต่อไปนั้น เรามีความจำเป็นต้องกลับมาสำรวจตัวเองอยู่เสมอ เพื่อพัฒนาไปสู่แนวทางที่ดีกว่า เพื่อลดช่องว่างและแก้ไขบกพร่องในอดีต ไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำซากอีกต่อไป รัฐบาลเอง ก็มีการสำรวจและปรับปรุงกระบวนการและกลไกการบริหารราชการเป็นระยะๆ เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม แม้ภาครัฐจะใช้ความพยายามมากมายเพียงใด หากไม่ได้รับความร่วมมือจากภาคประชาชน ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม และภาควิชาการแล้ว การก้าวไปสู่ความ “มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” ของเราทุกคน ทุกฝ่าย ก็ไม่อาจประสบความสำเร็จได้

รัฐบาลนี้ได้ริเริ่มกลไก “ประชารัฐ” เพื่อสานพลังทุกภาคส่วนเหล่านั้นเข้าด้วยกัน เชื่อมโยงกัน เกื้อกูลกัน เกิดเป็น “ห่วงโซ่” ที่ไม่อาจแยกคิด แยกทำได้ อีกต่อไป ทั้งนี้ “ห่วงโซ่” ทุกห่วง ต้องเข้มแข็งไปด้วยกันเพราะเราวัด “ความแข็งแรงของโซ่” ณ จุดที่อ่อนแอที่สุด จึงเป็นที่มาของวลีที่ว่า “เราไม่สามารถทิ้งใครไว้ข้างหลัง” แต่เราต้องพัฒนาซึ่งกันและกัน และพัฒนาเคียงบ่าเคียงไหล่ไปพร้อมๆ กัน

สิ่งหนึ่งที่ยังคงเป็นอุปสรรค และผมเห็นว่าเป็น “จุดอ่อน” ของประเทศไทย ก็อาจจะเกิดจากคนบางกลุ่มนั่นเอง ก็คือ การไม่สามารถแยกแยะ และไม่เข้าใจคำสำคัญ 3 คำ ก็คือ “สิทธิ, หน้าที่ และเสรีภาพ” ทั้งนี้ เมื่อกฎหมายกำหนด “สิทธิ” ให้แล้ว เราทุกคนย่อมมี “หน้าที่” ตามมา ไม่อย่างใด ก็อย่างหนึ่ง เราจะเรียกร้องแต่ “สิทธิ” โดยไม่สนใจ “หน้าที่” ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะจะทำให้สังคมเกิดความสับสน อลม่านวุ่นวาย

ยิ่งกว่านั้น บางคนกลับเข้าใจว่า “อิสรภาพ” ก็คือ “เสรีภาพ” ทำอะไรก็ได้ ไม่สนใจคนอื่น สังคมจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว “สิทธิและหน้าที่” ตามกฎหมาย จะลดทอน “อิสรภาพ” ของเรา ให้เหลือเพียง “เสรีภาพ” ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ทุกประเทศในโลกนี้ ก็เป็นเช่นนี้ หากปล่อยให้มี “อิสรภาพ” ที่ไร้ขอบเขต ย่อมนำไปสู่ “การละเมิดสิทธิ” ของผู้อื่นในที่สุดก็จะนำไปสู่ปัญหา ทุกอย่างต้องอาศัยกฎหมายเป็นปัจจัยสำคัญเสมอนะครับ

ดังนั้น ผมขอให้ทุกคนสำรวจความเข้าใจให้ถูกต้อง ช่วยกันลดจุดอ่อนในตัวเอง และขจัดจุดอ่อนของสังคมไทย ด้วยการปรับทัศนะและกระบวนการคิด ในการมองโลก, การปลูกจิตสำนึก ให้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง และการเสริมสร้างอุดมการณ์ความรักชาติ เพื่อจะมุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกัน “ทั้งประเทศ”

สำหรับนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” นั้น นอกจากจะหมายรวมถึง การนำพาประเทศชาติ ประชาชน ไปสู่ความ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ด้านเศรษฐกิจแล้ว เรายังต้องพัฒนาไปสู่ “สังคม4.0” อีกด้วย

วันนี้ เรายังคงมีประชาชนหลากหลายกลุ่มอาชีพ ทั้งกลุ่มที่ใช้ความรู้จากการประกอบการ, ใช้ประสบการณ์, อาศัยพึ่งพิงธรรมชาติ ใช้แรงงานทั้งมีฝีมือ, ไม่มีฝีมือ รวมทั้งกลุ่มที่เป็นอุตสาหกรรมเบา เครื่องจักรเบา เครื่องจักรหนัก ซึ่งแต่ระดับ ยังมีความแตกต่างกันอยู่ในสังคมเดียวกัน ห่วงโซ่รายได้ ประเทศเดียวกัน อยู่ในห่วงโซ่รายได้ของประเทศเราเช่นเดียวกัน

หากพิจารณาดูให้ดีแล้ว ระบบสังคม ระบบเศรษฐกิจ ระบบนิเวศ “ไม่ได้แตกต่างกัน” ในเชิงโครงสร้างและความสัมพันธ์ระหว่างกัน ในระบบเศรษฐกิจใดๆ ย่อมต้องมีทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค พ่อค้าคนกลาง มีภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคการบริการ อาทิเช่น มีคนปลูกข้าว คนแปรรูป คนรับไปขาย ร้านค้าปลีก ร้านค้าส่ง บริษัทส่งออก มีนายทุน แหล่งเงินทุน โรงรับจำนำ ธนาคาร กองทุน เป็นต้น

แต่ทั้งหมดนั้น มีรัฐบาล มีกฎหมาย มีกติกาสากล มีพันธสัญญาระหว่างประเทศ ซึ่งคอยควบคุมดูแลอยู่เสมอ เช่นเดียวกับระบบนิเวศ ที่ต้องมีทั้งสัตว์ใหญ่ สัตว์น้อย แมลง ลงไปจนถึงจุลินทรีย์ มีอะไรมากเกินก็ไม่ดี น้อยเกินก็เสียสมดุลทางธรรมชาติ ทั้งนี้ หากเราเข้าใจ “กฎธรรมชาติ” แล้ว ก็เป็นสิ่งไม่ยากที่จะทำความเข้าใจ คำว่า “กฎหมาย กติกาสังคม มาตรการทางเศรษฐกิจต่างๆ” เราจะต้องสร้างความสมดุลในเรื่องเหล่านี้ให้ได้ ระหว่างการพัฒนากับการรักษาระบบนิเวศนะครับ

ดังนั้น เราคงต้องมุ่งหวังจะนำพาประเทศไปสู่ “เศรษฐกิจ 4.0” ทั้งจะต้องนำพา ที่อยู่ใน 1.0, 2.0, 3.0 ไปด้วย ก็จะต้องเริ่มจากการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็น “สังคมแห่งการเรียนรู้” เพื่อการปรับปรุงและมีการพัฒนาตนเอง สำหรับในภาคเศรษฐกิจนั้น เราก็คงไม่สามารถจะทำให้ “ทุกคน” ทุกอุตสาหกรรมเป็น 4.0 ได้ เพียงแต่จะทำอย่างไร ให้ 1.0, 2.0, 3.0 ของภาคอุตสาหกรรมนั้น ได้รับการพัฒนาตนเอง

โดยใช้ 4.0 เป็นกรอบใหญ่ ในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม ทั้งนี้ เพื่อจะสร้างความเชื่อมโยงเพิ่มมูลค่าและพัฒนาตนเอง เราไม่อาจให้ “ทุกกลุ่ม” มุ่งไปสู่การใช้หุ่นยนต์ เทคโนโลยี ระดับสูงได้ทั้งหมด เพราะภาคการเกษตร ของเรายังมีอยู่มาก การผลิตและอุตสาหกรรมของเรามีหลายรูปแบบ รวมทั้งการใช้แรงงาน ที่ยังคงมีความสำคัญอยู่กับการจ้างงานทั้งปัจจุบันและอนาคต

สรุปง่ายๆ นะครับบางอย่าง อาจจะเป็นเพียงการใช้เครื่องจักรเครื่องมือ กลไก ที่ทันสมัย ซึ่งสามารถจะผลิตนวัตกรรม ของใช้ที่มีมูลค่าแข่งขันได้ แต่การใช้แรงงาน จ้างงาน ก็ยังคงต้องมีอยู่เช่น เดิม เพื่อดูแลประชาชนทุกหมู่เหล่านะครับ

เช่นที่เราเคยกล่าวไว้แล้วว่า เราจะต้องพัฒนาอุตสาหกรรมเดิม 5S curve เดิมนะครับ ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงรัฐบาลหลายสิบปีที่ผ่านมานะครับ ให้มีความทันสมัยขึ้นมาบ้าง ผลิตสิ่งของ ที่มีราคาสูงขึ้นมาบ้าง แข่งขันได้นะครับทำนองนี้ ส่วนที่เราจะต้องนำพาไปสู่ในเรื่องของการใช้หุ่นยนต์ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของการใช้เครื่องจักรใหญ่ๆ เครื่องจักรอัตโนมัตินะครับ ซึ่งใช้คนน้อย แต่ผลิตสินค้าที่มีราคาสูง มันก็เป็นอีกแบบหนึ่งของโรงงานอุตสาหกรรมในโลกสมัยใหม่ปัจจุบัน ที่รัฐบาลกำลังเร่งส่งเสริมการลงทุนอยู่นะครับ ที่เราเรียกว่า 5 New S curve

ทั้งหมดนี้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่จะต้องช่วยกันขับเคลื่อน มาทำงาน มาเป็นนักวิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เราต้องพิจารณาดูว่า วันนี้เรามีนักวิจัย สัญชาติไทยที่เพียงพอแล้วหรือยัง และมีการทำงานอยู่ในประเทศบ้างหรือไม่ โดยเฉพาะที่จบจากต่างประเทศด้วยนะครับ ในทุกๆ กิจกรรมไม่ว่าจะเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมของประเทศ

หากวันนี้เรายังมีไม่พอ ทั้งนี้ เพื่อจะขับเคลื่อนให้เร็วขึ้น เราต้องเร่งผลิต เร่งส่งเสริม ทั้งในระยะสั้น ระยะยาว รวมทั้งการที่จะ “ต่อยอด” ที่มีอยู่แล้ว อาจจะต้องมีการ “นำเข้า” เทคโนโลยีจากต่างประเทศ ที่พัฒนานำหน้าเรา และการถ่ายทอดเทคโนโลยีองค์ความรู้ เพื่อพัฒนาศักยภาพ ฝีมือของแรงงาน “คนไทย”

ทั้งนี้ การพัฒนา ภาษาอังกฤษ ภาษา ต่างประเทศ และ ภาษาเพื่อนบ้าน จะต้องอยู่ในระดับที่สามารถทำงานร่วมกันได้ รองรับทุกๆ กิจกรรมใน 1.0, 2.0, 3.0 และ 4.0 สิ่งเหล่านี้นั้นเป็น ความจำเป็นที่ต้องใช้ ต้องพัฒนา “ทรัพยากรมนุษย์” ที่มีคุณค่า ให้เพิ่มขึ้นอีกอย่างมากมาย รวมทั้งการใช้แรงงานที่มีฝีมือเพิ่มขึ้น และที่ไม่ใช้ฝีมือ ก็ต้องมีการพัฒนา ยังคงมีความสำคัญอยู่ต่อไปนะครับ

ในเรื่องของ “เศรษฐกิจ ปากท้อง” นับเป็นเรื่องสำคัญกับโลก ประชาคมระหว่างประเทศ และประเทศไทย ในเวลานี้ รัฐบาลได้นำปัจจัยภายใน ภายนอก และข้อเท็จจริงของระบบเศรษฐกิจไทย มาศึกษาในรายละเอียด ให้รู้และเข้าใจ ถึงปัญหาและอุปสรรค โดยรับฟังความคิด จากทุกภาคส่วน ทั้งนักธุรกิจ นักวิชาการ พ่อค้า ประชาชน ทุกกลุ่มรายได้ ทุกหน่วยสังคม ทั้งในเมืองและชนบท สรุปปัญหาสำคัญ ได้ดังนี้

(1) ปัญหาในเรื่องโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม เราจำเป็นต้องจัดกลุ่มให้ชัดเจน ทั้งกลุ่มที่มีรายได้สูง ปานกลาง รายได้น้อย สำหรับนโยบายและมาตรการที่เหมาะสมในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ก็จำเป็นต้องอาศัยรายละเอียด และข้อมูลที่ทันสมัย ให้ถูกต้อง สมบูรณ์ แม่นยำ เพื่อการพัฒนาแนวทางที่ดีที่สุด หมายถึงตรงความต้องการ ขจัดปัญหาและอุปสรรคของทุกกลุ่มให้ได้ รวมทั้งคุ้มค่ากับการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลอีกด้วย

ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกกลุ่ม อันเป็น “แรงหนุน” การขับเคลื่อน การส่งเสริมจากภาครัฐ ไปสู่ความสำเร็จได้ ปัจจัยสำคัญก็คือเราต้องให้ความ สำคัญกับกลุ่มเกษตรกร ในภาคการผลิตที่ต้องการเร่งดำเนินการ ภายใต้แรงกดดันจากภาวะการตลาด ราคา หนี้สิน

(2) ปัญหาในการสร้างความเชื่อมโยง เช่น “ต้นทาง” การผลิต การเพาะปลูก “กลางทาง” การแปรรูป การสร้างนวัตกรรม การสร้างมูลค่าเพิ่ม และ “ปลายทาง” ก็คือ การตลาด เราจำเป็นต้องสร้างทางเลือกสำหรับประชาชน, พ่อค้าคนกลาง, ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ให้เป็น “ตลาดทางเลือก” ของผู้ผลิต เพาะปลูก ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ 4.0 ดูแล 1.0 ถึง3.0 ให้เพิ่มมูลค่าไปด้วยกันจาก 4.0 ถึง เศรษฐกิจฐานราก 1.0 นะครับ

(3) ปัจจัยด้านความรู้ องค์ความรู้ ในภาคการผลิต และด้านการตลาด เราจะต้องนำเทคโนโลยี ดิจิทัล ออนไลน์ มาประยุกต์ใช้ให้มากขึ้น ทั้งในการเรียนรู้ การพัฒนาตนเอง การพัฒนากระบวนการให้สะดวกรวดเร็วขึ้น โดยรัฐบาลได้เน้นให้ทุกคน ได้เข้าถึงแหล่งข้อมูลความรู้ ข่าวสาร บริการ ที่ทันสมัย เพื่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ วิธีการใหม่ๆ รวมทั้งการมีภูมิคุ้มกัน ทันให้ต่อการเปลี่ยนแปลงจากสถานการณ์ภายใน และภายนอกประเทศในปัจจุบัน

(4) กฎหมาย และมาตรการอำนวยความสะดวก ที่ยังคงล้าสมัย ไม่เป็นสากลต้องได้รับการแก้ไข้ เพราะจะเป็นอุปสรรคในการลงทุน และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และบางครั้งอาจจะเปิดช่องทางให้เกิดการทุจริต คอร์รัปชัน ได้อีกด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยพื้นฐานที่กีดขวางการพัฒนา มากบ้าง น้อยบ้าง เราจำเป็นที่จะแต่ต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็ว โดยขจัดกระบวนการที่ไม่จำเป็น ลดขั้นตอนให้รวดเร็ว สะดวก แต่ตรวจสอบได้

โดยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ ระบบดิจิทัล เครือข่าย ออนไลน์ ที่มีมาตรฐาน รวมทั้ง การใช้วันสตอปเซอร์วิส OSS ศูนย์บริการบูรณาการแบบเบ็ดเสร็จในที่เดียว มาดำเนินการให้เป็นรูปธรรมให้มากที่สุด และเข้าถึงง่ายที่สุด ซึ่งรัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการผลักดันให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง นำไปสู่การปฏิบัติได้ในเร็ววัน

(5) ปัจจัยอื่นๆ อีกหลายเรื่องที่เกี่ยวข้อง เป็นการประกอบการธุรกิจที่ผิดกฎหมาย การเสียภาษีไม่ถูกต้อง การแสวงประโยชน์จากช่องว่างทางกฎหมาย การอาศัยอำนาจและผลประโยชน์ทับซ้อน การบุกรุกป่า การขายของในพื้นที่ห้ามขาย การไม่เคารพกฎหมาย ไม่เคารพกฎจราจร การขัดแย้ง การละเมิดระหว่างสิทธิและหน้าที่ ตามกฎหมาย ทำให้ทุกอย่างติดขัด เกิดการแก้ปัญหาล่าช้า ไม่ได้ผลเท่าที่ควร ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง

หากถูกขยายความไปมากๆ อาจจะโดยสื่อโซเชียล ทั้งเจตนนาและไม่เจตนา อาจจะมีความไม่รับผิดชอบ ไร้จรรยาบรรณ ไม่ช่วยสร้างการรับรู้ที่ดี ในสิ่งที่ “ควรทำหรือต้องทำ” หรือช่วยกันทำให้ได้ “ผลดี” ไปตามลำดับ หากมัวแต่เสนอแต่ข้อบกพร่อง จับผิดสิ่งที่เพียงแต่กำลังเริ่มต้นบนการแก้ปัญหาที่มีปัญหาทับซ้อนอยู่แล้วเดิม แล้วก็นำไปสู่ความขัดแย้ง บิดเบือน หรือไม่รู้จริง ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่มีเหตุผลรองรับ มาขยายความในสังคมวงกว้าง สิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็ไม่เกิดขึ้น

แล้วต่างประเทศจะมีความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจไทยได้อย่างไร แล้วประชาชนจะมีรายได้จากสิ่งที่เรากำลังเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงไปสู่สิ่งที่ดีกว่านั้นได้อย่างไร ก็ขออยากให้ประชาชนทุกคนช่วยกัน ปกป้องผลประโยชน์ของสังคม ของประเทศชาติ โดยการร่วมมือกับรัฐบาล ในการแก้ปัญหาเหล่านี้

การแก้ปัญหาจากพื้นฐานที่ขาดความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคม ค่อนข้างจะทำได้ช้า เพราะขาดการสร้างความเข้าใจที่ดี ขาดกระบวนการเรียนรู้ ขาดข้อมูลที่ทันสมัย และที่ไม่ถูกบิดเบือน อีกทั้งสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์ซึ่งย่อมรักความสะดวก เสรีที่ไร้ขีดจำกัด ความต้องการทุกคนไม่เหมือนกัน

แต่ท้ายสุดคือ ก็ความสะดวกสบาย มีเงิน มีอำนาจ แต่ทุกคนต้องไม่ลืมว่า ต้องอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องทางกฎหมาย จริยธรรมและความมีคุณธรรม เราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย หากเราช่วยกัน มากบ้างน้อยบ้าง ด้วยความรัก ความสามัคคี ลดความขัดแย้ง หลายอย่างก็จะดีขึ้น เร็วขึ้น มากกว่าที่เรากำลังพยายามทำกันอยู่เวลานี้นะครับ

สุดท้ายนี้ ขอบคุณหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน หน่วยงานสมาคมต่างๆ และประชาชนที่มี จิตอาสา กว่า 45,000 คน ที่ได้ร่วมกัน “ทำดีเพื่อพ่อ” ด้วยการจัดทำถุง “ข้าวพอเพียง” จำนวน 3 ล้านกว่าถุง ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ณ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำหรับนำไปมอบให้กับพี่น้องประชาชนที่เดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง

สำหรับห้วงเทศกาล “ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่” นี้ ผมได้สั่งการหน่วยงานต่างๆ ได้เตรียมความพร้อมวางมาตรการดูแลพี่น้องประชาชน ในการเดินทางกลับภูมิลำเนา และท่องเที่ยว ทั้งจุดพักรถ จุดบริการ ป้ายบอกทาง สัญญาณไฟ บริการฉุกเฉิน ตลาด รวมทั้งสายด่วนต่างๆ ที่ทุกคนควรบันทึกไว้ ให้สามารถเรียกใช้งานได้ทันที

สำหรับการดูแลรักษาบ้านเมือง ให้มีความสงบเรียบร้อยนั้น ผมขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน และสถานประกอบการ ห้างร้านต่างๆ ได้ช่วยกันเฝ้าระวัง เป็นหูเป็นตา และแจ้งเหตุให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ทราบ เพื่อดำเนินการป้องกัน และแก้ไขเหตุการณ์ อันไม่พึงประสงค์ ได้ทันท่วงที เพื่อลดความเสียหาย

ทั้งนี้ ผู้ที่เดินทาง คนขับรถส่วนตัว รถสาธารณะ ขอให้ตรวจเช็คสภาพยานพาหนะ ให้อยู่ในสภาพที่พร้อม ก่อนการเดินทาง ที่สำคัญ “งดดื่มสุรา เมาไม่ขับ” และอย่าฝากความหวังไว้กับเจ้าหน้าที่ดูแลเพียงอย่างเดียว ในการบังคับใช้กฎหมาย ประชาชนเองต้องระมัดระวังอุบัติเหตุด้วย เพราะไม่มีใครดูแลตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเอง

ผมขอให้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ ทั้งฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายปกครอง ทั้งตำรวจ ทหาร และอาสาสมัคร ที่เสียสละเวลา อุทิศตน ดูแลทุกข์ สุข พี่น้องประชาชน ในช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้ ร่วมทั้งบรรดาพี่น้องพลเรือน ตำรวจ ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกองกำลังต่างๆ ในพื้นที่ชายแดนด้วย ขอให้พี่น้องประชาชนดูแล ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่เหล่านี้ ด้วยการปฏิบัติตนตามกฎหมายบ้านเมือง และกฎจราจร เอาใจใส่อย่างเคร่งครัด อย่าขึ้นรถที่พลขับดื่มสุราหรือขับรถอันตราย รถมาก คนก็มาก การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ก็เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ขอให้ทุกคนได้มีน้ำใจ และเข้าใจซึ่งกันและกันนะครับ

ขอบคุณครับ ขอให้ “ทุกคน” มีความสุข ในวันช่วงเทศกาล “ส่งท้ายปีเก่า...ต้อนรับปีใหม่” สวัสดีครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น