..
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ด้วยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้รัฐมนตรีซึ่งได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งใหม่ เฝ้าทูลอะอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ที่ผ่านมา ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
ในโอกาสนี้ผมขออัญเชิญกระแสพระราชดำรัสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร อันมีใจความสำคัญ เป็นสิริมงคล แก่คณะรัฐมนตรี และปวงพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ผมเห็นว่าพวกเราทุกคนควรได้ระลึกและรับใส่เกล้าใส่กระหม่อม น้อมนำไปสู่การปฏิบัติ สรุปใจความได้ว่า ขอให้น้อมนำศาสตร์พระราชาแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 โดยให้ศึกษาวิเคราะห์พระราชดำริและแนวทางพระราชทานนานัปการตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งพระราชกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติมา สำหรับประยุกต์ใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน การประกอบกิจการ และการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ในความรับผิดชอบ รวมทั้งยึดถือเป็นแบบอย่างที่ดีในกิจวัตรประจำวัน อันจะเป็นสิริมงคลเป็นพระคุ้มครอง และเป็นแสงสว่างนำทาง ให้แก่ปวงชนชาวไทยทุกคนตลอดไป เพื่อสนองพระราชปณิธานและเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทยทั้งปวง
อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติงานใดๆ ย่อมมีปัญหา ย่อมมีอุปสรรค ก็ขอให้ปรึกษากัน หาข้อมูลที่ถูกต้อง และปฏิบัติด้วยความรอบคอบ ทันการณ์ เหมาะสมกับสถานการณ์และมีเหตุผล ทั้งนี้ ปัญหาและอุปสรรคเหล่านั้น นอกจากจะเป็นเสมือนบททดสอบ บทเรียนแล้ว ยังจะเป็นสิ่งที่ช่วย เพิ่มความสามารถให้กับเราทุกคนด้วย ดังนั้นต้องมีความตั้งใจ มีขันติ มีความอดทน ตลอดจนมีความกระตือรือร้นที่จะศึกษาปัญหาและแก้ไขให้รอบคอบ ก็จะได้ผลต่อประเทศ และเป็นบุญเป็นกุศลกับตนเองด้วย
ศาสตร์พระราชาถือว่าเป็นตำราแห่งชีวิต เพราะบันทึกจากประสบการณ์จากการทรงงาน ที่ทำให้ประเทศไทยสามารถผ่านวิกฤตการณ์ต่างๆ มาได้ทุกมิติ ผมขอชื่นชนสื่อทุกแขนง ที่ได้นำเสนอในรูปแบบต่างๆ สู่สายตาประชาชน และเยาวชนรุ่นใหม่ ให้รับรู้เข้าใจได้ลึกซึ้งและถ่องแท้มากยิ่งขึ้น เพื่อสามารถน้อมนำไปสู่การปฏิบัติได้เป็นอย่างดี ในส่วนของรัฐบาล ได้ดำเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติ ที่สำคัญ ได้แก่ ป่าไม้ ที่ดิน แหล่งน้ำ และสัตว์ป่า โดยการน้อมนำศาสตร์พระราชาที่มีหลักการครอบคลุมจากนภา ผ่านภูผา สู่มหานที ไปประยุกต์ใช้อย่างจริงจัง ทั้งนี้ ก็เพื่อรักษาสมดุล และสร้างความยั่งยืน ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าที่ผ่านมานั้น มีผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม กว่าอดีตที่ผ่านมามากพอสมควร เช่น
1. ด้านป่าไม้ ได้มีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์เพิ่มพื้นที่ป่าไม้และพื้นที่สีเขียว ตั้งเป้าหมายที่ร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศ ใน 20 ปีข้างหน้า ด้วยการดำเนินการมาตรการหลัก ได้แก่ 1) การป้องกันการบุกรุกพื้นที่ ป่าสมบูรณ์ จำนวน 102 ล้านไร่ ไม่ให้การบุกรุกป่าเกิดขึ้นอีกต่อไป ด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเฝ้าระวัง 2) การบังคับใช้กฎหมายกับผู้มีอิทธิพล เพื่อทวงคืนผืนป่าและฟื้นฟูพื้นที่ป่า ปัจจุบันได้มีการยึดพื้นที่ป่าคืนแล้ว ราว 4.3 แสนไร่ นำมาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ในการบริหารจัดการที่ดินซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่เรามีอยู่อย่างจำกัด ให้เกิดความพอเพียงในอนาคต 3) การตั้งศูนย์ฟื้นฟูป่าต้นน้ำในพื้นที่วิกฤต 13 จังหวัด และป้องกันการบุกรุกพื้นที่ซ้ำ 4) การจัดตั้งพื้นที่ป่าชุมชน 4,000 แห่ง เพื่อให้ประชาชนช่วยดูแลรักษาป่า และสามารถใช้ประโยชน์จากป่าได้อย่างเกื้อกูลกัน ร่วมกันปลูกป่า หรือทำให้ประชาชนได้ร่วมในการดูแลรักษาให้อยู่รอดได้ด้วย 5) การส่งเสริมให้ปลูกป่าเศรษฐกิจ เพื่อใช้ประโยชน์ได้จริง ได้มีการลงทะเบียนสวนป่าผ่านระบบออนไลน์ที่สะดวกและรวดเร็วและลดปัญหาการประพฤติมิชอบ และ 6) การแก้ไขปัญหาชุมชนในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ราว 6 ล้านไร่ ซึ่งเป็นปัญหายืดเยื้อมากว่า 20 ปี ด้วยการกำหนดกลุ่มและวิธีดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายที่ชัดเจนควบคู่กันไป สำคัญที่สุดประชาชนต้องเป็นหลักในการดูแลรักษาป่า ปลูกป่าเพิ่มเติม และใช้ประโยชน์ได้อย่างพอเพียง
2. ด้านการจัดการที่ดิน สำหรับเกษตรกรและผู้ที่มีรายได้น้อย ในการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ โดยได้จัดร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และกำหนดพื้นที่เป้าหมาย ในปี 2560 จำนวน 4 แสนกว่าไร่ ใน 52 จังหวัด ก็ขอให้รวมกลุ่มกันได้ด้วย
3. ด้านทรัพยากรน้ำ ประกอบด้วย 1) พื้นที่ในเขตชลประทาน โดยการพัฒนาระบบกระจายน้ำ เพื่อเพิ่มพื้นที่เกษตรชลประทาน 1.4 ล้านไร่ และเกษตรบาดาล กว่า 3 แสนไร่ และ 2) พื้นที่นอกเขตชลประทาน โดยการขุดลอกคู คลอง หนอง บึง ตามธรรมชาติ กว่า 700 แห่ง การขุดเจาะบ่อบาดาลเพื่อการเกษตร 1,700 บ่อ การฟื้นฟูระบบบำบัดน้ำเสียขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกว่า 100 แห่ง และการจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำให้เป็นผู้บริหารจัดการ และดูแลรักษาเอง เป็นต้น เหล่านี้ต้องใช้เวลาในการที่จะต้องทำต่อไป ไม่เพียงพอ และ
4. การดูแลเรื่องสัตว์ป่า ผลการดำเนินงานตามมาตรการต่างๆ ที่มีมาตรฐานสากล และเป็นที่ยอมรับจากหน่วยงานระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง จนมีผลตอบรับในเชิงบวก ได้แก่ 1.) กรณีของม้าน้ำ ประเทศไทยได้รับการถอดรายชื่อออกจากกระบวนการทบทวนมาตรการการค้า และกรณีของ ช้าง ประเทศไทยได้รับการเลื่อนสถานะที่ดีขึ้น เกี่ยวกับการค้างาช้างผิดกฎหมายของไซเตส เป็นต้น
ด้วยองค์ความรู้จากศาสตร์พระราชา สอนให้เรารู้ว่า การพัฒนาที่ยั่งยืนนั้น นอกจากเราจะต้องรักษาสมดุล ทั้งในมิติเศรษฐกิจและสังคม โดยจะต้องไม่มองข้ามมิติสิ่งแวดล้อมด้วยแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการ คือ การสร้างความเข้มแข็งให้กับฐานราก เหมือนเสาเข็ม ถึงแม้ไม่มีใครมองเห็น อาจจะถูกลืม แต่ก็เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อโครงสร้างโดยรวมเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ ในการสร้างความเข็มแข็งกับชุมชน ซึ่งเป็นฐานรากของประเทศนั้น ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงกำชับว่า บทเรียนบทแรกก็คือ ให้ชาวบ้านเป็นครู และให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยเน้นการระเบิดจากข้างใน ซึ่งไม่ใช่การยัดเยียดจากภายนอกแต่เพียงอย่างเดียว
วันนี้ผมขอยกตัวอย่างชุมชนบ้านตัวอย่าง จ.นครปฐม ซึ่งเป็นหมู่บ้านเกษตรอินทรีย์ต้นแบบ ได้น้อมนำวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง มาแก้ปัญหาร่วมกันของชุมชน จากเดิมที่ดำรงชีวิตด้วยวิถีเกษตรที่พึ่งพิงธรรมชาติแต่เพียงอย่างเดียว ปริมาณผลผลิตขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ รวมทั้งโรค แมลง และศัตรูพืช ที่ผลักดันให้หันไปพึ่งพาปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ซึ่งนอกจากทำให้ต้นทุนการผลิตสูง กระทบต่อรายได้ ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน และการกู้เงินนอกระบบ จนบางครัวเรือนต้องขายที่ดินเพื่อปลดหนี้ ต้องเช่านาทำกิน แล้วยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพ โรคร้ายคุกคาม ร่างกายขาดภูมิคุ้มกัน อายุสั้นลง และทรัพยากรดินเสื่อม แหล่งน้ำและอากาศเป็นพิษ แต่ภายหลังจากการรวมกลุ่มกันเองของชาวชุมชน จากกลุ่มเล็กๆ ขยายเป็นกลุ่มใหญ่ ด้วยการสนับสนุนจากกลไกประชารัฐเพิ่มเติม ทำให้เกิดเป็นภาคีเครือข่าย ภาคราชการ ภาควิชาการ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม มาร่วมกันสร้างความเข้มแข็ง เริ่มจากการปฏิเสธปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง แล้วหันมาผลิตปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยไส้เดือน ทั้งผลิตใช้เอง และผลิตขาย นอกจากช่วยลดต้นทุนการผลิตจากการใช้สารเคมีต่างๆ แล้ว ยังลดค่ารักษาพยาบาลได้ถึง 2,000- 3,000 บาทต่อครัวเรือน
จากนั้น ได้ยกระดับความสำเร็จต่อไปในเรื่อง 1.การปรับสภาพและดูแลรักษาดิน 2. การทำบัญชีครัวเรือน 3.การเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ผลิตและผู้บริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ ทั้งร้านอาหารและโรงแรมเจ้าประจำ 4.การเปิดช่องทางการตลาดใหม่ เช่นการประชาสัมพันธ์ เช่น ตลาดนัดสุขใจ และตลาดออนไลน์ 5. การได้รับใบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ที่เป็นมาตรฐานสากล และ 6. การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามแนวทางพ่อหลวง เพื่อให้การบริการทั้งในและนอกชุมชน ประกอบด้วย แปลงสาธิตเกษตรอินทรีย์ การเลี้ยงปลาในร่องสวน ธนาคารต้นไม้ โรงสีชุมชน และการปลูกมะนาว ด้วยผักตบชวาแทนดิน เป็นต้น
ทั้งนี้ ปัจจัยสู่ความสำเร็จดังกล่าว ประกอบไปด้วย 1. วิสัยทัศน์และการเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้นำ แกนนำ กรรมการหมู่บ้าน 2. ความร่วมแรงร่วมใจและความมุ่งมั่น รับผิดชอบในหน้าที่และบทบาทของแต่ละคน 3. เวทีประชาคมที่เข้มแข็ง เน้นการมีส่วนร่วม รับฟัง และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มุ่งให้การช่วยเหลือและร่วมกันแก้ปัญหา รวมทั้งความมีวินัยและเคร่งครัดในกฎกติกาของหมู่บ้าน และ 4. การใช้กิจกรรมเป็นเครื่องมือในการสานความสัมพันธ์สมาชิกหมู่บ้านทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัยเข้าด้วยกันเหล่านี้ เป็นต้น
จากตัวอย่างชุมชนต้นแบบเกษตรอินทรีย์ วิถีพอเพียงนี้ มีอีกคุณสมบัติสำคัญของชาวบ้านหัวอ่าวก็คือ ความใฝ่รู้ นิยมการแสวงหาความรู้ และพัฒนาตนเองด้วยการอ่าน ทั้งจากหนังสือ และสื่อโซเชียลที่เป็นประโยชน์ ช่วยเพิ่มแนวคิดรับฟัง โต้ตอบ เสนอความคิดเห็น ไม่ใช่ฟังแต่จากคนอื่นอย่างเดียว แล้วไม่มีภูมิความรู้เป็นของตนเองเลย มันก็ไม่เกิดการสื่อสาร 2 ทาง ดังนั้น ผมอยากสนับสนุนให้คนไทยทุกคนรักการอ่าน อันเป็นพื้นฐานในการสร้างแนวความคิดอันมีเหตุมีผล ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาของตนเองให้ลุล่วงเกิดความร่วมมือกับรัฐบาล ในการที่จะร่วมมือแก้ไขปัญหาให้กับประเทศในที่สุด
วันนี้ผมอยากจะแนะนำหนังสือชื่อ คุณธรรม จริยธรรมกับศีลธรรม จากมุมมองของปรัชญา ของ ศ.ดร.ทินพันธุ์ นาคะตะ ซึ่งกล่าวถึงความรู้จักผิดชอบชั่วดีของคน และการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเป็นปกติสุข
ไม่ว่าจะยุคสมัยใด ไม่ว่าจะเชื้อชาติศาสนาใด ล้วนมีที่มาที่ไป มีเหตุมีผลในตัวเอง ในช่วงท้ายของหนังสือก็ได้กล่าวถึงจรรยาบรรณในอาชีพต่างๆ ของไทย ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ ศาล ตำรวจ แพทย์ สื่อมวลชน ครูอาจารย์ ซึ่งต่างก็มีบทบาทและหน้าที่ที่สำคัญ และส่งผลกระทบต่อสังคมทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม การดำรงตนให้อยู่ในกรอบในกฎเกณฑ์ของทุกคน ทุกฝ่าย ย่อมช่วยให้สังคมมีแต่ความสุข ความเจริญร่วมกัน หากเราไม่อยู่ในครรลองที่ถูกต้อง ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม หรือละเมิดสิทธิผู้อื่นแล้ว ก็จะมีบทลงโทษกำกับไว้เสมอ โดยทุกคนในสังคมนั้นๆ ต่างก็ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกันทั้งสิ้น ลองหาอ่านกันดูนะครับ เราจะได้เป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้อย่างยั่งยืน สันติ และสงบสุขได้ในอนาคต
พี่น้องประชาชนทุกท่านครับ สิ่งที่ผมอยากจะฝากไว้ในวันนี้ ก็คือการพัฒนาตนเองไปสู่คนที่มีหลักการและเหตุผล ใช้สติปัญญาในการคิดวิเคราะห์ ใคร่ครวญ รู้จักแยกแยะ จัดกระบวนความคิดของตัวเอง แยกให้เป็นกลุ่มความคิดต่างๆ เช่น สิ่งนี้ทำแล้วจะเกิดเป็นประโยชน์เพื่อใคร เพื่อตนเองหรือเพื่อคนอื่น หรือเพื่อทั้ง 2 อย่าง เราน่าจะมีส่วนร่วมอย่างไรบ้าง อย่างน้อยก็พยายามฟังในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตนเองบ้าง จะได้รู้ความเป็นมาเป็นไปของสถานการณ์รอบตัวในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งถูกโอบล้อมด้วยข้อมูลที่ดีถูกต้อง และไม่ดีไม่ถูกต้อง ถูกบิดเบือน ใครหลายคนอาจตัดสินใจไม่ได้ หรือตัดสินใจบนความยากลำบาก เพราะข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน ไม่รอบด้าน จนคนเหล่านั้นอาจต้องใช้ความรู้สึก ความชอบในการเปิดใจแล้วทำอะไรลงไป หากถูกชี้นำโดยคนดีๆ ความถูกต้อง ทุกอย่างก็จะเป็นคุณ แต่หากชี้นำด้วยคนไม่ดี มีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ ประกอบกับมีวาระซ่อนเร้นแล้ว ก็จะนำไปทางเสื่อม เสียโอกาสสำหรับตนเองและส่วนรวมได้
วันนี้เราต้องช่วยกันคิดพิจารณาว่า ประเทศไทยของเรานั้น กำลังติดกับดักอะไรบ้าง และโดยเหตุผลใด เช่น 1.ความเคยชิน การไม่เคารพกฎหมาย ความไม่ชอบอยู่ในกฎระเบียบของสังคม การที่ชอบทำอะไรที่มักง่าย สบายๆ เป็นพวกสนุกนิยม เช่น ขับรถสวนเลน ข้ามถนนใต้สะพานลอย จอดซื้อของในพื้นที่ห้ามจอด เหล่านี้เป็นต้น หลายอย่าง สิ่งเหล่านี้นำไปสู่ปัญหาการจราจร อุบัติเหตุ ความเห็นแก่ตัวของคนบางคน ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อคนอีกหลายคน รวมทั้งเป็นทุกอย่างที่ไม่ดีให้กับลูกหลานที่อยู่โดยรอบด้วย
2.การทำความผิดโดยเลือกที่จะทำ เพื่อแลกกับผลประโยชน์ส่วนตน และความสะดวกรวดเร็ว เป็นต้น เช่น การยอมจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่ฉ้อฉล เพื่อการอำนวยความสะดวก หรือให้ค่าตอบแทนให้กับผู้ที่เรียกรับผลประโยชน์ในลักษณะสมยอม แล้วมาพูดให้ร้ายระบบ ให้ร้ายประเทศ ก็จะยังคงมีอยู่ เหล่านี้ผมอยากจะถามว่า แล้วเราไปให้เขาทำไม ก็จะต้องมาร้องทุกข์ร้องเรียน แจ้งความเอาผิด เพราะฉะนั้นถ้าเรายังให้เขาอยู่ แล้วเรามาพูด มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งสิ้น ก็ขอให้มาร้องทุกข์ร้องเรียน เราต้องเคารพตนเอง เคารพกติกา รู้จักรอ รู้จักอดทนเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นเราก็โวยวายโทษแต่คนอื่นซ้ำไป แต่พอตนเองได้รับประโยชน์ก็เงียบเฉย
3.พื้นฐานความรู้ การเรียนรู้ที่ไม่เท่าเทียมกัน คือการขาดโอกาส หรือเคยมีโอกาสแต่ก็ไม่ใส่ใจ หรือไม่รู้จักแสวงหา ทั้งที่ความรู้ก็มีรอบตัว อย่างที่ผมบอกไปแล้วควรรับฟังคนอื่นเขาบ้าง ทั้งจากการศึกษาในห้องเรียน นอกห้องเรียน ในบ้าน วัด โรงเรียน ชุมชนต่างๆ เหล่านั้น จากการอ่านหนังสือทั่วไป หนังสือพิมพ์ การดูโทรทัศน์ การฟังวิทยุจากอินเทอร์เน็ต จากสื่อออนไลน์ เป็นต้น โดยเลือกเสพความรู้จากสื่อที่เชื่อถือได้ และแหล่งข้อมูลทางราชการที่เป็นกลาง รวมทั้งการตรวจสอบเพื่อยืนยันความถูกต้องจากหลายๆ แหล่ง ก็จะทำให้เกิดปัญญา โดยเฉพาะเรื่องที่สำคัญส่งผลกระทบโดยตรงต่อตนเองและประเทศชาติ ถ้าพวกเราไม่สามารถทำได้ตามนี้แล้ว มันก็เป็นการยากที่จะพัฒนาตนเอง รวมทั้งยากที่จะทำความเข้าใจกัน และกลับนำไปสู่ความขัดแย้ง ไม่ฟังกัน ผลประโยชน์ที่ควรจะได้รับก็ไม่ได้รับ เพราะไม่ได้ฟัง
4.สมาธิไม่เท่ากัน บางคนสั้น บางคนยาว บางคนมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือว่า ถ้าไม่ใช่เรื่องของตนเองก็ไม่สนใจ ไม่ตั้งใจฟัง ไม่ได้รับฟัง ก็เลยไม่ได้รับรู้ว่าอะไรมันคืออะไรในวันนี้ ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต สิ่งใดที่เป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนรวม ประชาธิปไตยที่ถูกต้องคืออะไร ถ้าเรายังไม่รู้เรื่องเหล่านี้ลึกซึ้งถ่องแท้ จะทำให้เราติดกับดักประชาธิปไตยเหมือนทุกวันนี้ มีการถกเถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดที่ยังคงวนเวียนและเข้าใจแต่เพียงว่าประชาธิปไตยก็คือการเลือกตั้งเป็นหลัก มีหลายอย่างประกอบกัน เมื่อมีรัฐบาลแล้วก็จะเรียกร้องขอความช่วยเหลือ ทวงสัญญาจากการหาเสียง หรือสัญญาว่าจะให้ โดยไม่ยอมสร้างความเข้มแข็งให้กับตนเอง ชุมชน และสังคม มันก็จะเป็นช่องทางให้กับนักธุรกิจการเมืองเข้ามาลงทุน ผมหมายความถึงว่าที่ไม่ดีอาจจะเข้ามาได้จากการเลือกตั้ง และมีการกอบโกยผลกำไร และอำนาจหน้าที่เป็นความบกพร่องที่ผมพยายามให้สติกับสังคมไทยในวันนี้และตลอดมา เพื่อให้คนไทยรู้จักพัฒนาตนเอง และพัฒนาประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับสังคมไทยร่วมกัน
เราลองช่วยกันพิจารณาหาความแตกต่างในทางที่ดีระหว่างวันนี้กับอดีตที่ผ่านมา ว่ามีอะไรดีขึ้นมาบ้าง อาจจะมีบางอย่างมากบ้าง น้อยบ้าง นี่กำลังเริ่มต้น เช่น 1.การพัฒนารถไฟไทย ซึ่งซบเซามานาน 60 ปี ที่ผ่านมา ไม่ได้มีการลงทุนใหม่ๆ รัฐบาลนี้ได้เดินหน้าจัดซื้อจัดจ้างขบวนรถด่วน 115 คัน ได้สำเร็จ ถูกกว่าวงเงินที่กำหนดไว้ กว่า 300 ล้านบาท โดยทราบว่าคันนี้รถไฟชั้น 1 สายเหนือรุ่นใหม่ มีการจองตั๋วล่วงหน้าเต็มแล้ว 6 เดือน ปัจจุบันรัฐบาลได้ปรับปรุงรถไฟชั้น 3 จำนวน 20 คัน และจะทยอยทำให้ครบ 148 คัน เพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการให้มีความสะดวก สบาย สะอาด ปลอดภัย แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยในทุกเส้นทาง ในการที่จะเข้าถึงการบริการระบบขนส่งสาธารณะที่ดีมีคุณภาพ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และเป็นการพัฒนาความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นตามนโยบายของรัฐบาลในปัจจุบัน สิ่งที่กำลังเดินหน้าต่อไปก็คือ 1) การพัฒนาทางคู่ให้ครบ 2,500 กว่ากิโลเมตร คือสวนไปมาได้ เพื่อจะเพิ่มสัดส่วนทางคู่เป็น 60% จะทำให้สะดวกรวดเร็วขึ้น ไม่ต้องไปรอเวลารถสวนกัน 2) การแก้ปัญหาจุดตัดรถไฟพันกว่าแห่งทั่วประเทศ ด้วยสะพานข้าม อุโมงค์ทางลอดและการติดตั้งสัญญาณไฟ ซึ่งวันนี้ก็มีเส้นทางที่เรียกว่านอกกฎหมายตัดเพิ่มเติมด้วยความเคยชินอยู่หลายเส้นทางเหมือนกัน และทำให้เกิดอันตรายอุบัติเหตุระหว่างรถไฟกับรถยนต์ 3)โครงการพัฒนารถไฟความเร็วสูง 4 เส้นทาง ที่เชื่อมโยงกรุงเทพฯ กับเมืองเศรษฐกิจหลัก 4 ภาค และจะเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก อย่างที่ทุกคนทราบดีอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องมีการพูดคุยเจรจาหารือกันมากมาย จนกว่าจะได้ข้อยุติที่เป็นผลประโยชน์กับชาติให้มากที่สุด
2.รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาของพี่น้องแรงงานไทย โดยได้จัดตั้งศูนย์บริหารจัดหางานเพื่อคนไทยแล้ว 44 ศูนย์ และในปี 2560 จะตั้งเพิ่มเติมอีก 43 ศูนย์ รวมเป็น 87 ศูนย์ ให้ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เปิดช่องทางการสมัครงานได้ทุกที่ ทุกเวลา ทั้งทางอินเตอร์เน็ต และแอปพลิเคชันบนมือถือ รวมทั้งการพัฒนารูปแบบการให้บริการเพื่อจะช่วยลดขั้นตอนการทำงานให้สะดวกรวดเร็วขึ้น เข้าถึงง่ายขึ้น และมีการเชื่อมโยงข้อมูลระบบสารสนเทศเกี่ยวกับตำแหน่งงาน ของทางภาครัฐและเอกชนเข้าด้วยกัน
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงาน 2 ปีที่ผ่านมานั้น มีผู้สมัครงานกว่า 600,000 คน มีงานทำตามที่ต้องการแล้วเกือบ 400,000 คน สร้างรายได้ราว 90,000 ล้านบาท อย่าลืมในส่วนที่จะต้องมีการพัฒนาตนเอง มีศูนย์การพัฒนาฝีมือแรงงานอยู่ทั่วไป ใครก็ตามที่จบ เรียนสูงๆมา ไปทำอาชีพเกี่ยวกับเรื่องเทคนิเชียน หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูง ขอให้มีการไปติดต่อเพื่อขอทดสอบฝีมือแรงงานตัวเอง จะมีใบประกอบรับรองให้ เวลาไปหางานตามสถานที่ทำงานต่างๆ มันจะได้มีค่าแรงอะไรที่มันดีขึ้นมากขึ้นกว่าเดิม ไม่งั้นมันต้องไม่รับค่าแรงขั้นต่ำ เราต้องดึงกันไปให้ขึ้นไปร่วมกันให้ได้ ทั้งมีฝีมือ ไม่มีฝีมือ ถ้าต่างคนต่างพัฒนาตัวเองขึ้นไปอย่างนี้ ร่วมมือกับศูนย์พัฒนาแรงงานเหล่านั้น มันก็มีรายได้ที่สูงขึ้น ดีกว่าที่จะมาเรียกร้องทั้งหมด มันเป็นไปไม่ได้
3.ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจของโลกที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลนี้ได้ใช้ความพยายามในทุกมิติ และกลไกประชารัฐเดินหน้าตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งทั้งคำว่าประชารัฐ ไทยแลนด์ 4.0 ก็มีความสงสัยอะไรต่างๆ มากมาย แต่ผมคิดว่าถ้าคุณหวังดีกับประเทศชาติ น่าจะเข้าใจ เว้นเสียว่าคนเหล่านั้นไม่ต้องการจะเข้าใจ คิดง่ายๆ เราจะมุ่งส่งเสริมให้มีการลงทุนจากภายในประเทศ เพื่อจะทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี มีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ มีการใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นสำคัญ สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดนั้น ส่งผลให้มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในครึ่งแรกของปี 2559 มีมูลค่ากว่า 300,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2558 ร้อยละ 48 สามเท่าด้วยกัน เป็นการลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย มูลค่าประมาณ 1.3 แสนล้านบาท เป็นการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกว่า 7,000 ล้านบาท และเป็นการลงทุนในคลัสเตอร์ต่างๆทั่วประเทศกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท เป็นต้น ซึ่งก็ล้วนเป็นการขอรับส่งเสริมการลงทุนตามนโยบายของรัฐบาลนี้ทั้งสิ้น อย่าไปเชื่อฟังคำบิดเบือน เราก็พยายามเร่งติดตามดำเนินการ หามาตรการต่างๆ เพื่อจะสร้างแรงจูงใจให้มากขึ้น แต่ก็ขอให้ไว้ใจรัฐบาลจะไม่ทำอะไรให้ประเทศเสียหาย
4. การกำหนดนโยบายบนพื้นฐานของข้อมูลทางสถิติและฐานข้อมูลที่รอบด้าน ทันสมัย เชื่อมโยงกันตลอดห่วงโซ่ เช่น การกำหนดแผนการผลิตและแผนการตลาดของข้าว สำหรับการบริหารจัดการ และกำหนดมาตรการต่างๆ รองรับ เพื่อป้องกันปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ล้นตลาด ขาดน้ำ เหล่านี้เป็นต้น หลายอย่าง พืชเศรษฐกิจอีกหลายตัว ปีนี้ก็ถือว่าโชคดี บางอย่างก็ราคายังสูงอยู่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขอให้ระมัดระวังในเรื่องของการที่จะเพิ่มผลผลิต วันนี้ เช่น การลดพื้นที่การปลูกยางลงไป ก็ทำให้ยางมีจำนวนน้อยลง เมื่อน้อยลง ราคาก็สูงขึ้น ความต้องการของตลาดก็มากขึ้น เพราะเขารู้ว่ายางมีน้อย แต่ถ้าทุกคนยังบิดเบือนกันไป ให้กลับไปปลูกกันใหม่ มันก็กลับมาที่เดิม ยางก็มีปริมาณมากขึ้น เรียกว่า ซัพพลาย มากกว่าดีมานด์ ราคาก็ตกเหมือนเดิม แล้วจะไปเชื่อฟังคำบิดเบือน ผมเห็นหลายคนออกมาพูด เสียดายโอกาสที่ไปโค่นต้นยางไปแล้ว ทำไมจะต้องกลับไปที่เดิม ผมไม่เข้าใจ นั่นความคิดของใครไม่ทราบ ไปทบทวนดูด้วย
ในสถานการณ์การปลูกข้าวปี 2559-60 นั้น มีพื้นที่คาดการณ์รวมประมาณ 70 ล้านไร่ เราแยกเป็นรอบแรก 58 ล้านไร่ ได้ผลผลิตราว 25 ล้านตัน รอบที่สอง พื้นที่เพาะปลูก 10 ล้านไร่ ปลูกข้าว 9.8 ล้านไร่ ผลผลิตราว 6 ล้านตัน ที่เหลือเราปรับเปลี่ยนเป็นปลูกพืชชนิดอื่น และรอบที่ 3 คาดการณ์ปลูกข้าว 0.5 ล้านไร่ พักการปลูก 0.5 ล้านไร่ เพื่อปรับปรุงพื้นที่ ปรับปรุงดิน เราจะรณรงค์ให้ชาวนาได้มีการพักแปลงนา เพื่อจะฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน เป็นต้น ถ้าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้รับทราบข้อมูลและเข้าใจ ไม่คิดแบบเดิม หรือไม่ฟังคนอื่นที่ชักจูงกลับไปที่เก่า ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลนี้ ปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้นอีก เช่นในอดีตที่ผ่านมา
5. การให้ความสำคัญในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิตอล ตามนโยบาย Digital Economy สำหรับการบริหารราชการแผ่นดิน การให้การบริการกับประชาชน เช่น พร้อมเพย์ ในการทำธุรกรรมการเงินภาครัฐ และ GAC ซึ่งเป็นศูนย์กลางแอปพลิเคชันบนมือถือภาครัฐ เหล่านี้เป็นต้น
ล่าสุด สำนักงานราชบัณฑิตยสภาเปิดตัวแอปพลิเคชัน ภาษาอาเซียน และหนังสือศัพท์ภาษาอาเซียน พร้อมปากกาอัจฉริยะ เพื่อสนับสนุนการเตรียมพร้อมและการให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับภาษาและวัฒนธรรมของประเทศในกลุ่มอาเซียน และ
6. การพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ด้านการกีฬาของประเทศ ตามแนวคิด กีฬาสร้างคน คนสร้างชาติ เห็นได้จากความสำเร็จก้าวแรกๆ ของโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐ เช่น สายฝน รัตนภานุ เด็กไทยมุสลิมจากยะลา ได้แชมป์มวยปูนเสือ เป็นผลผลิตจากค่ายมวยรัตนภานุ ของ ศอ.บต.ที่ใช้ยุทธศาสตร์ด้านการกีฬา สนับสนุนให้เยาวชนห่างไกลยาเสพติด และป้องกันการถูกดึงไปเป็นแนวร่วมในการสร้างความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ทั้งนี้ รัฐบาลมีนโยบายปฏิรูปการกีฬาในทุกมิติ เช่น 1) การจัดตั้งมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ เพื่อยกระดับจากสถาบันการพลศึกษา 17 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งจะเริ่มที่ จ.ชลบุรี ในเดือนสิงหาคม ปีหน้า และสร้างความเชื่อมโยงกับโรงเรียนกีฬา 13 แห่ง ในการปูพื้นฐานอย่างเป็นระบบ ต่อเนื่อง ตั้งเป้าผลิตบุคลากรทางการกีฬาให้ได้ 4,500 คนต่อปี และ 2) การผลักดันแผนพัฒนาการกีฬาของประเทศ ระยะ 5 ปี 2560 - 2564 ที่นอกจากจะมุ่งพัฒนาสุขภาพร่างกายและจิตใจของประชาชนคนไทยแล้ว ยังเป็นการปูพื้นฐานการพัฒนากีฬาไทยสู่สากล การที่เราจะเป็นฮับด้านการกีฬาของอาเซียน ทั้งในเรื่องของนักกีฬาอาชีพและสนามแข่งขันกีฬา รวมทั้งรองรับการขยายตัวสู่อุตสาหกรรมการกีฬาที่มีอัตราการเติบโตถึง 3 เท่าของจีดีพี ในปี 2557 มีมูลค่ากว่า 81,000 ล้านบาท อีกด้วย
สิ่งเหล่านี้เราอาจจะไม่เคยสังเกต หรือไม่เคยสนใจติดตาม อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับคนโน้นคนนี้บ้าง ต้องช่วยกันดูนะครับ มันจะได้เกิดความร่วมมือ เพราะเป็นห่วงโซ่เดียวกันทั้งสิ้น ถือว่าเป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้ต้องการให้เกิดวิวัฒนาการที่ดีของประเทศไทยของเรา ที่เราเรียกว่าเตรียมการปฏิรูปไปสู่อนาคต ในขณะที่สถานการณ์จากภายนอกก็ยังคงมีพลวัตรและการเปลี่ยนแปลง ทั้งในลักษณะที่เป็นทั้งคุณและโทษต่อประเทศ และชีวิตประจำวันของพวกเราทุกคน
ผมอยากให้พวกเราทุกคนนั้นพยายามสนใจในสิ่งรอบตัว ทั้งใกล้และไกลตัวของเราบ้าง ก็จะทราบความเป็นเหตุเป็นผล ในแนวคิด แนวปฏิบัติ ที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ เพื่อพร้อมที่จะร่วมแก้ไขปัญหา และก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน โดยขอให้เลิกพูดว่า ธุระไม่ใช่ ไม่เห็นได้ประโยชน์ เลิกเรียกร้องแต่สิทธิโดยไม่รู้จักหน้าที่ เลิกปกป้องผลประโยชน์ส่วนตนโดยไม่นึกถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ หรือของคนอื่นเลย ประเทศชาติของเราจึงจะมีอนาคต ประชาชนจึงจะมีความสุขได้อย่างทั่วถึงและยั่งยืน
พี่น้องประชาชนครับ หากท่านกำลังหาของขวัญปีใหม่ เป็นสินค้าพื้นบ้านแบบไทย หรือภูมิปัญญาท้องถิ่น อยู่ในปัจจุบัน ผมขอแนะนำงาน OTOP City 2016 ของขวัญภูมิปัญญาไทย ใต้ร่มพระบารมี ตั้งแต่วันที่ 18 - 26 ธันวาคม ศกนี้ ที่อิมแพค เมืองทองธานี โดยมีทั้งสินค้าโอทอปที่ไปสู่ระดับสากล ได้แก่ โอทอปคลาสสิก โอทอประดับ 4 ดาว และ 5 ดาว จากทั่วประเทศ กว่า 30,000 รายการ โอทอปพรีเมียม ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกต่างประเทศ และโอทอป Best Sellers ซึ่งเป็นสินค้าขายดี ย้อนหลัง 5 ปี รวมทั้งสินค้าดีจาก 76 จังหวัด มาจำหน่ายในที่เดียวกัน ทั้งนี้ ท่านสามารถนำใบกำกับภาษีไปลดหย่อนภาษีได้ตามนโยบายชอปช่วยชาติ ขณะนี้รัฐบาลกำลังนำโอทอปชุดที่ 2 ขึ้นจำหน่ายบนเครื่องบินอีกด้วย
สุดท้ายนี้ ผมอยากฝากเกร็ดความรู้การดูแลสุขภาพช่วงฤดูหนาวนี้ โดยพี่น้องประชาชนสามารถจะดูแลความอบอุ่นของร่างกายได้จาก 1. การรับประทานอาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ 2. การกิน ดื่ม ผลิตภัณฑ์จากพืชสมุนไพรไทยที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น พริก ขิง ข่า ตะไคร้ มะกรูด กะเพรา โหระพา แมงลัก ผักชี กระเทียม หอมแดง เหล่านี้เป็นต้น จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต และช่วยให้อาการหนาวชาบริเวณปลายมือและปลายเท้าลดลง 3. การรับประทานผัก ผลไม้ สมุนไพรรสเปรี้ยว เช่น มะนาว ใบชะมวง ยอดผักติ้ว สับปะรด มะขามป้อม มะแว้งต้น มะแว้งเครือ ที่มีสรรพคุณช่วยขับเสมหะ บรรเทาอาการไอ ทำให้ชุ่มคอ ขอให้ศึกษาวิธีใช้อย่างระมัดระวังนะครับ เอาไปประกอบอาหาร รับประทานที่มีคุณสมบัติที่ตรวจสอบ ผ่าน อย.มาแล้ว จะมีฉลากติดที่ขวด ก็ทำตามคำแนะนำตามนั้น ใช้ตามนั้น
นอกจากนั้นแล้ว เราจะต้องรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ครบ 5 หมู่ มีการออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ที่สำคัญก็คือการรักษาความอบอุ่นของร่างกาย สวมเสื้อกันหนาว เสื้อผ้าหนาๆ ห่มผ้า หรือใช้กระเป๋าน้ำร้อนช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย ไม่ไปหาวิธีการอื่น เช่น ดื่มเหล้าแก้หนาว แล้วก็แข็งตาย รับประทานมากเกินไปด้วย ร่างกายก็ไม่แข็งแรงอยู่ ก็อาจจะมีความเสี่ยงกับโรคหัวใจวาย เสียชีวิตได้ เราเห็นตัวอย่างหลายปีมาแล้ว ตลอดมา รวมทั้งให้ระมัดระวังการการก่อไฟ ผิงไฟ โดยไม่จำเป็น อย่าให้เกิดอุบัติเหตุ เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของตนเองและผู้อื่น ด้วยความห่วงใยนะครับ ขอขอบคุณ ขอให้ทุกคนมีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ด้วยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้รัฐมนตรีซึ่งได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งใหม่ เฝ้าทูลอะอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ที่ผ่านมา ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
ในโอกาสนี้ผมขออัญเชิญกระแสพระราชดำรัสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร อันมีใจความสำคัญ เป็นสิริมงคล แก่คณะรัฐมนตรี และปวงพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ผมเห็นว่าพวกเราทุกคนควรได้ระลึกและรับใส่เกล้าใส่กระหม่อม น้อมนำไปสู่การปฏิบัติ สรุปใจความได้ว่า ขอให้น้อมนำศาสตร์พระราชาแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 โดยให้ศึกษาวิเคราะห์พระราชดำริและแนวทางพระราชทานนานัปการตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งพระราชกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติมา สำหรับประยุกต์ใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน การประกอบกิจการ และการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ในความรับผิดชอบ รวมทั้งยึดถือเป็นแบบอย่างที่ดีในกิจวัตรประจำวัน อันจะเป็นสิริมงคลเป็นพระคุ้มครอง และเป็นแสงสว่างนำทาง ให้แก่ปวงชนชาวไทยทุกคนตลอดไป เพื่อสนองพระราชปณิธานและเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทยทั้งปวง
อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติงานใดๆ ย่อมมีปัญหา ย่อมมีอุปสรรค ก็ขอให้ปรึกษากัน หาข้อมูลที่ถูกต้อง และปฏิบัติด้วยความรอบคอบ ทันการณ์ เหมาะสมกับสถานการณ์และมีเหตุผล ทั้งนี้ ปัญหาและอุปสรรคเหล่านั้น นอกจากจะเป็นเสมือนบททดสอบ บทเรียนแล้ว ยังจะเป็นสิ่งที่ช่วย เพิ่มความสามารถให้กับเราทุกคนด้วย ดังนั้นต้องมีความตั้งใจ มีขันติ มีความอดทน ตลอดจนมีความกระตือรือร้นที่จะศึกษาปัญหาและแก้ไขให้รอบคอบ ก็จะได้ผลต่อประเทศ และเป็นบุญเป็นกุศลกับตนเองด้วย
ศาสตร์พระราชาถือว่าเป็นตำราแห่งชีวิต เพราะบันทึกจากประสบการณ์จากการทรงงาน ที่ทำให้ประเทศไทยสามารถผ่านวิกฤตการณ์ต่างๆ มาได้ทุกมิติ ผมขอชื่นชนสื่อทุกแขนง ที่ได้นำเสนอในรูปแบบต่างๆ สู่สายตาประชาชน และเยาวชนรุ่นใหม่ ให้รับรู้เข้าใจได้ลึกซึ้งและถ่องแท้มากยิ่งขึ้น เพื่อสามารถน้อมนำไปสู่การปฏิบัติได้เป็นอย่างดี ในส่วนของรัฐบาล ได้ดำเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติ ที่สำคัญ ได้แก่ ป่าไม้ ที่ดิน แหล่งน้ำ และสัตว์ป่า โดยการน้อมนำศาสตร์พระราชาที่มีหลักการครอบคลุมจากนภา ผ่านภูผา สู่มหานที ไปประยุกต์ใช้อย่างจริงจัง ทั้งนี้ ก็เพื่อรักษาสมดุล และสร้างความยั่งยืน ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าที่ผ่านมานั้น มีผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม กว่าอดีตที่ผ่านมามากพอสมควร เช่น
1. ด้านป่าไม้ ได้มีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์เพิ่มพื้นที่ป่าไม้และพื้นที่สีเขียว ตั้งเป้าหมายที่ร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศ ใน 20 ปีข้างหน้า ด้วยการดำเนินการมาตรการหลัก ได้แก่ 1) การป้องกันการบุกรุกพื้นที่ ป่าสมบูรณ์ จำนวน 102 ล้านไร่ ไม่ให้การบุกรุกป่าเกิดขึ้นอีกต่อไป ด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเฝ้าระวัง 2) การบังคับใช้กฎหมายกับผู้มีอิทธิพล เพื่อทวงคืนผืนป่าและฟื้นฟูพื้นที่ป่า ปัจจุบันได้มีการยึดพื้นที่ป่าคืนแล้ว ราว 4.3 แสนไร่ นำมาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ในการบริหารจัดการที่ดินซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่เรามีอยู่อย่างจำกัด ให้เกิดความพอเพียงในอนาคต 3) การตั้งศูนย์ฟื้นฟูป่าต้นน้ำในพื้นที่วิกฤต 13 จังหวัด และป้องกันการบุกรุกพื้นที่ซ้ำ 4) การจัดตั้งพื้นที่ป่าชุมชน 4,000 แห่ง เพื่อให้ประชาชนช่วยดูแลรักษาป่า และสามารถใช้ประโยชน์จากป่าได้อย่างเกื้อกูลกัน ร่วมกันปลูกป่า หรือทำให้ประชาชนได้ร่วมในการดูแลรักษาให้อยู่รอดได้ด้วย 5) การส่งเสริมให้ปลูกป่าเศรษฐกิจ เพื่อใช้ประโยชน์ได้จริง ได้มีการลงทะเบียนสวนป่าผ่านระบบออนไลน์ที่สะดวกและรวดเร็วและลดปัญหาการประพฤติมิชอบ และ 6) การแก้ไขปัญหาชุมชนในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ราว 6 ล้านไร่ ซึ่งเป็นปัญหายืดเยื้อมากว่า 20 ปี ด้วยการกำหนดกลุ่มและวิธีดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายที่ชัดเจนควบคู่กันไป สำคัญที่สุดประชาชนต้องเป็นหลักในการดูแลรักษาป่า ปลูกป่าเพิ่มเติม และใช้ประโยชน์ได้อย่างพอเพียง
2. ด้านการจัดการที่ดิน สำหรับเกษตรกรและผู้ที่มีรายได้น้อย ในการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ โดยได้จัดร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และกำหนดพื้นที่เป้าหมาย ในปี 2560 จำนวน 4 แสนกว่าไร่ ใน 52 จังหวัด ก็ขอให้รวมกลุ่มกันได้ด้วย
3. ด้านทรัพยากรน้ำ ประกอบด้วย 1) พื้นที่ในเขตชลประทาน โดยการพัฒนาระบบกระจายน้ำ เพื่อเพิ่มพื้นที่เกษตรชลประทาน 1.4 ล้านไร่ และเกษตรบาดาล กว่า 3 แสนไร่ และ 2) พื้นที่นอกเขตชลประทาน โดยการขุดลอกคู คลอง หนอง บึง ตามธรรมชาติ กว่า 700 แห่ง การขุดเจาะบ่อบาดาลเพื่อการเกษตร 1,700 บ่อ การฟื้นฟูระบบบำบัดน้ำเสียขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกว่า 100 แห่ง และการจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำให้เป็นผู้บริหารจัดการ และดูแลรักษาเอง เป็นต้น เหล่านี้ต้องใช้เวลาในการที่จะต้องทำต่อไป ไม่เพียงพอ และ
4. การดูแลเรื่องสัตว์ป่า ผลการดำเนินงานตามมาตรการต่างๆ ที่มีมาตรฐานสากล และเป็นที่ยอมรับจากหน่วยงานระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง จนมีผลตอบรับในเชิงบวก ได้แก่ 1.) กรณีของม้าน้ำ ประเทศไทยได้รับการถอดรายชื่อออกจากกระบวนการทบทวนมาตรการการค้า และกรณีของ ช้าง ประเทศไทยได้รับการเลื่อนสถานะที่ดีขึ้น เกี่ยวกับการค้างาช้างผิดกฎหมายของไซเตส เป็นต้น
ด้วยองค์ความรู้จากศาสตร์พระราชา สอนให้เรารู้ว่า การพัฒนาที่ยั่งยืนนั้น นอกจากเราจะต้องรักษาสมดุล ทั้งในมิติเศรษฐกิจและสังคม โดยจะต้องไม่มองข้ามมิติสิ่งแวดล้อมด้วยแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการ คือ การสร้างความเข้มแข็งให้กับฐานราก เหมือนเสาเข็ม ถึงแม้ไม่มีใครมองเห็น อาจจะถูกลืม แต่ก็เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อโครงสร้างโดยรวมเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ ในการสร้างความเข็มแข็งกับชุมชน ซึ่งเป็นฐานรากของประเทศนั้น ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงกำชับว่า บทเรียนบทแรกก็คือ ให้ชาวบ้านเป็นครู และให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยเน้นการระเบิดจากข้างใน ซึ่งไม่ใช่การยัดเยียดจากภายนอกแต่เพียงอย่างเดียว
วันนี้ผมขอยกตัวอย่างชุมชนบ้านตัวอย่าง จ.นครปฐม ซึ่งเป็นหมู่บ้านเกษตรอินทรีย์ต้นแบบ ได้น้อมนำวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง มาแก้ปัญหาร่วมกันของชุมชน จากเดิมที่ดำรงชีวิตด้วยวิถีเกษตรที่พึ่งพิงธรรมชาติแต่เพียงอย่างเดียว ปริมาณผลผลิตขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ รวมทั้งโรค แมลง และศัตรูพืช ที่ผลักดันให้หันไปพึ่งพาปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ซึ่งนอกจากทำให้ต้นทุนการผลิตสูง กระทบต่อรายได้ ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน และการกู้เงินนอกระบบ จนบางครัวเรือนต้องขายที่ดินเพื่อปลดหนี้ ต้องเช่านาทำกิน แล้วยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพ โรคร้ายคุกคาม ร่างกายขาดภูมิคุ้มกัน อายุสั้นลง และทรัพยากรดินเสื่อม แหล่งน้ำและอากาศเป็นพิษ แต่ภายหลังจากการรวมกลุ่มกันเองของชาวชุมชน จากกลุ่มเล็กๆ ขยายเป็นกลุ่มใหญ่ ด้วยการสนับสนุนจากกลไกประชารัฐเพิ่มเติม ทำให้เกิดเป็นภาคีเครือข่าย ภาคราชการ ภาควิชาการ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม มาร่วมกันสร้างความเข้มแข็ง เริ่มจากการปฏิเสธปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง แล้วหันมาผลิตปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยไส้เดือน ทั้งผลิตใช้เอง และผลิตขาย นอกจากช่วยลดต้นทุนการผลิตจากการใช้สารเคมีต่างๆ แล้ว ยังลดค่ารักษาพยาบาลได้ถึง 2,000- 3,000 บาทต่อครัวเรือน
จากนั้น ได้ยกระดับความสำเร็จต่อไปในเรื่อง 1.การปรับสภาพและดูแลรักษาดิน 2. การทำบัญชีครัวเรือน 3.การเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ผลิตและผู้บริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ ทั้งร้านอาหารและโรงแรมเจ้าประจำ 4.การเปิดช่องทางการตลาดใหม่ เช่นการประชาสัมพันธ์ เช่น ตลาดนัดสุขใจ และตลาดออนไลน์ 5. การได้รับใบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ที่เป็นมาตรฐานสากล และ 6. การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามแนวทางพ่อหลวง เพื่อให้การบริการทั้งในและนอกชุมชน ประกอบด้วย แปลงสาธิตเกษตรอินทรีย์ การเลี้ยงปลาในร่องสวน ธนาคารต้นไม้ โรงสีชุมชน และการปลูกมะนาว ด้วยผักตบชวาแทนดิน เป็นต้น
ทั้งนี้ ปัจจัยสู่ความสำเร็จดังกล่าว ประกอบไปด้วย 1. วิสัยทัศน์และการเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้นำ แกนนำ กรรมการหมู่บ้าน 2. ความร่วมแรงร่วมใจและความมุ่งมั่น รับผิดชอบในหน้าที่และบทบาทของแต่ละคน 3. เวทีประชาคมที่เข้มแข็ง เน้นการมีส่วนร่วม รับฟัง และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มุ่งให้การช่วยเหลือและร่วมกันแก้ปัญหา รวมทั้งความมีวินัยและเคร่งครัดในกฎกติกาของหมู่บ้าน และ 4. การใช้กิจกรรมเป็นเครื่องมือในการสานความสัมพันธ์สมาชิกหมู่บ้านทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัยเข้าด้วยกันเหล่านี้ เป็นต้น
จากตัวอย่างชุมชนต้นแบบเกษตรอินทรีย์ วิถีพอเพียงนี้ มีอีกคุณสมบัติสำคัญของชาวบ้านหัวอ่าวก็คือ ความใฝ่รู้ นิยมการแสวงหาความรู้ และพัฒนาตนเองด้วยการอ่าน ทั้งจากหนังสือ และสื่อโซเชียลที่เป็นประโยชน์ ช่วยเพิ่มแนวคิดรับฟัง โต้ตอบ เสนอความคิดเห็น ไม่ใช่ฟังแต่จากคนอื่นอย่างเดียว แล้วไม่มีภูมิความรู้เป็นของตนเองเลย มันก็ไม่เกิดการสื่อสาร 2 ทาง ดังนั้น ผมอยากสนับสนุนให้คนไทยทุกคนรักการอ่าน อันเป็นพื้นฐานในการสร้างแนวความคิดอันมีเหตุมีผล ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาของตนเองให้ลุล่วงเกิดความร่วมมือกับรัฐบาล ในการที่จะร่วมมือแก้ไขปัญหาให้กับประเทศในที่สุด
วันนี้ผมอยากจะแนะนำหนังสือชื่อ คุณธรรม จริยธรรมกับศีลธรรม จากมุมมองของปรัชญา ของ ศ.ดร.ทินพันธุ์ นาคะตะ ซึ่งกล่าวถึงความรู้จักผิดชอบชั่วดีของคน และการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเป็นปกติสุข
ไม่ว่าจะยุคสมัยใด ไม่ว่าจะเชื้อชาติศาสนาใด ล้วนมีที่มาที่ไป มีเหตุมีผลในตัวเอง ในช่วงท้ายของหนังสือก็ได้กล่าวถึงจรรยาบรรณในอาชีพต่างๆ ของไทย ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ ศาล ตำรวจ แพทย์ สื่อมวลชน ครูอาจารย์ ซึ่งต่างก็มีบทบาทและหน้าที่ที่สำคัญ และส่งผลกระทบต่อสังคมทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม การดำรงตนให้อยู่ในกรอบในกฎเกณฑ์ของทุกคน ทุกฝ่าย ย่อมช่วยให้สังคมมีแต่ความสุข ความเจริญร่วมกัน หากเราไม่อยู่ในครรลองที่ถูกต้อง ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม หรือละเมิดสิทธิผู้อื่นแล้ว ก็จะมีบทลงโทษกำกับไว้เสมอ โดยทุกคนในสังคมนั้นๆ ต่างก็ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกันทั้งสิ้น ลองหาอ่านกันดูนะครับ เราจะได้เป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้อย่างยั่งยืน สันติ และสงบสุขได้ในอนาคต
พี่น้องประชาชนทุกท่านครับ สิ่งที่ผมอยากจะฝากไว้ในวันนี้ ก็คือการพัฒนาตนเองไปสู่คนที่มีหลักการและเหตุผล ใช้สติปัญญาในการคิดวิเคราะห์ ใคร่ครวญ รู้จักแยกแยะ จัดกระบวนความคิดของตัวเอง แยกให้เป็นกลุ่มความคิดต่างๆ เช่น สิ่งนี้ทำแล้วจะเกิดเป็นประโยชน์เพื่อใคร เพื่อตนเองหรือเพื่อคนอื่น หรือเพื่อทั้ง 2 อย่าง เราน่าจะมีส่วนร่วมอย่างไรบ้าง อย่างน้อยก็พยายามฟังในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตนเองบ้าง จะได้รู้ความเป็นมาเป็นไปของสถานการณ์รอบตัวในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งถูกโอบล้อมด้วยข้อมูลที่ดีถูกต้อง และไม่ดีไม่ถูกต้อง ถูกบิดเบือน ใครหลายคนอาจตัดสินใจไม่ได้ หรือตัดสินใจบนความยากลำบาก เพราะข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน ไม่รอบด้าน จนคนเหล่านั้นอาจต้องใช้ความรู้สึก ความชอบในการเปิดใจแล้วทำอะไรลงไป หากถูกชี้นำโดยคนดีๆ ความถูกต้อง ทุกอย่างก็จะเป็นคุณ แต่หากชี้นำด้วยคนไม่ดี มีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ ประกอบกับมีวาระซ่อนเร้นแล้ว ก็จะนำไปทางเสื่อม เสียโอกาสสำหรับตนเองและส่วนรวมได้
วันนี้เราต้องช่วยกันคิดพิจารณาว่า ประเทศไทยของเรานั้น กำลังติดกับดักอะไรบ้าง และโดยเหตุผลใด เช่น 1.ความเคยชิน การไม่เคารพกฎหมาย ความไม่ชอบอยู่ในกฎระเบียบของสังคม การที่ชอบทำอะไรที่มักง่าย สบายๆ เป็นพวกสนุกนิยม เช่น ขับรถสวนเลน ข้ามถนนใต้สะพานลอย จอดซื้อของในพื้นที่ห้ามจอด เหล่านี้เป็นต้น หลายอย่าง สิ่งเหล่านี้นำไปสู่ปัญหาการจราจร อุบัติเหตุ ความเห็นแก่ตัวของคนบางคน ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อคนอีกหลายคน รวมทั้งเป็นทุกอย่างที่ไม่ดีให้กับลูกหลานที่อยู่โดยรอบด้วย
2.การทำความผิดโดยเลือกที่จะทำ เพื่อแลกกับผลประโยชน์ส่วนตน และความสะดวกรวดเร็ว เป็นต้น เช่น การยอมจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่ฉ้อฉล เพื่อการอำนวยความสะดวก หรือให้ค่าตอบแทนให้กับผู้ที่เรียกรับผลประโยชน์ในลักษณะสมยอม แล้วมาพูดให้ร้ายระบบ ให้ร้ายประเทศ ก็จะยังคงมีอยู่ เหล่านี้ผมอยากจะถามว่า แล้วเราไปให้เขาทำไม ก็จะต้องมาร้องทุกข์ร้องเรียน แจ้งความเอาผิด เพราะฉะนั้นถ้าเรายังให้เขาอยู่ แล้วเรามาพูด มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งสิ้น ก็ขอให้มาร้องทุกข์ร้องเรียน เราต้องเคารพตนเอง เคารพกติกา รู้จักรอ รู้จักอดทนเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นเราก็โวยวายโทษแต่คนอื่นซ้ำไป แต่พอตนเองได้รับประโยชน์ก็เงียบเฉย
3.พื้นฐานความรู้ การเรียนรู้ที่ไม่เท่าเทียมกัน คือการขาดโอกาส หรือเคยมีโอกาสแต่ก็ไม่ใส่ใจ หรือไม่รู้จักแสวงหา ทั้งที่ความรู้ก็มีรอบตัว อย่างที่ผมบอกไปแล้วควรรับฟังคนอื่นเขาบ้าง ทั้งจากการศึกษาในห้องเรียน นอกห้องเรียน ในบ้าน วัด โรงเรียน ชุมชนต่างๆ เหล่านั้น จากการอ่านหนังสือทั่วไป หนังสือพิมพ์ การดูโทรทัศน์ การฟังวิทยุจากอินเทอร์เน็ต จากสื่อออนไลน์ เป็นต้น โดยเลือกเสพความรู้จากสื่อที่เชื่อถือได้ และแหล่งข้อมูลทางราชการที่เป็นกลาง รวมทั้งการตรวจสอบเพื่อยืนยันความถูกต้องจากหลายๆ แหล่ง ก็จะทำให้เกิดปัญญา โดยเฉพาะเรื่องที่สำคัญส่งผลกระทบโดยตรงต่อตนเองและประเทศชาติ ถ้าพวกเราไม่สามารถทำได้ตามนี้แล้ว มันก็เป็นการยากที่จะพัฒนาตนเอง รวมทั้งยากที่จะทำความเข้าใจกัน และกลับนำไปสู่ความขัดแย้ง ไม่ฟังกัน ผลประโยชน์ที่ควรจะได้รับก็ไม่ได้รับ เพราะไม่ได้ฟัง
4.สมาธิไม่เท่ากัน บางคนสั้น บางคนยาว บางคนมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือว่า ถ้าไม่ใช่เรื่องของตนเองก็ไม่สนใจ ไม่ตั้งใจฟัง ไม่ได้รับฟัง ก็เลยไม่ได้รับรู้ว่าอะไรมันคืออะไรในวันนี้ ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต สิ่งใดที่เป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนรวม ประชาธิปไตยที่ถูกต้องคืออะไร ถ้าเรายังไม่รู้เรื่องเหล่านี้ลึกซึ้งถ่องแท้ จะทำให้เราติดกับดักประชาธิปไตยเหมือนทุกวันนี้ มีการถกเถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดที่ยังคงวนเวียนและเข้าใจแต่เพียงว่าประชาธิปไตยก็คือการเลือกตั้งเป็นหลัก มีหลายอย่างประกอบกัน เมื่อมีรัฐบาลแล้วก็จะเรียกร้องขอความช่วยเหลือ ทวงสัญญาจากการหาเสียง หรือสัญญาว่าจะให้ โดยไม่ยอมสร้างความเข้มแข็งให้กับตนเอง ชุมชน และสังคม มันก็จะเป็นช่องทางให้กับนักธุรกิจการเมืองเข้ามาลงทุน ผมหมายความถึงว่าที่ไม่ดีอาจจะเข้ามาได้จากการเลือกตั้ง และมีการกอบโกยผลกำไร และอำนาจหน้าที่เป็นความบกพร่องที่ผมพยายามให้สติกับสังคมไทยในวันนี้และตลอดมา เพื่อให้คนไทยรู้จักพัฒนาตนเอง และพัฒนาประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับสังคมไทยร่วมกัน
เราลองช่วยกันพิจารณาหาความแตกต่างในทางที่ดีระหว่างวันนี้กับอดีตที่ผ่านมา ว่ามีอะไรดีขึ้นมาบ้าง อาจจะมีบางอย่างมากบ้าง น้อยบ้าง นี่กำลังเริ่มต้น เช่น 1.การพัฒนารถไฟไทย ซึ่งซบเซามานาน 60 ปี ที่ผ่านมา ไม่ได้มีการลงทุนใหม่ๆ รัฐบาลนี้ได้เดินหน้าจัดซื้อจัดจ้างขบวนรถด่วน 115 คัน ได้สำเร็จ ถูกกว่าวงเงินที่กำหนดไว้ กว่า 300 ล้านบาท โดยทราบว่าคันนี้รถไฟชั้น 1 สายเหนือรุ่นใหม่ มีการจองตั๋วล่วงหน้าเต็มแล้ว 6 เดือน ปัจจุบันรัฐบาลได้ปรับปรุงรถไฟชั้น 3 จำนวน 20 คัน และจะทยอยทำให้ครบ 148 คัน เพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการให้มีความสะดวก สบาย สะอาด ปลอดภัย แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยในทุกเส้นทาง ในการที่จะเข้าถึงการบริการระบบขนส่งสาธารณะที่ดีมีคุณภาพ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และเป็นการพัฒนาความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นตามนโยบายของรัฐบาลในปัจจุบัน สิ่งที่กำลังเดินหน้าต่อไปก็คือ 1) การพัฒนาทางคู่ให้ครบ 2,500 กว่ากิโลเมตร คือสวนไปมาได้ เพื่อจะเพิ่มสัดส่วนทางคู่เป็น 60% จะทำให้สะดวกรวดเร็วขึ้น ไม่ต้องไปรอเวลารถสวนกัน 2) การแก้ปัญหาจุดตัดรถไฟพันกว่าแห่งทั่วประเทศ ด้วยสะพานข้าม อุโมงค์ทางลอดและการติดตั้งสัญญาณไฟ ซึ่งวันนี้ก็มีเส้นทางที่เรียกว่านอกกฎหมายตัดเพิ่มเติมด้วยความเคยชินอยู่หลายเส้นทางเหมือนกัน และทำให้เกิดอันตรายอุบัติเหตุระหว่างรถไฟกับรถยนต์ 3)โครงการพัฒนารถไฟความเร็วสูง 4 เส้นทาง ที่เชื่อมโยงกรุงเทพฯ กับเมืองเศรษฐกิจหลัก 4 ภาค และจะเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก อย่างที่ทุกคนทราบดีอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องมีการพูดคุยเจรจาหารือกันมากมาย จนกว่าจะได้ข้อยุติที่เป็นผลประโยชน์กับชาติให้มากที่สุด
2.รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาของพี่น้องแรงงานไทย โดยได้จัดตั้งศูนย์บริหารจัดหางานเพื่อคนไทยแล้ว 44 ศูนย์ และในปี 2560 จะตั้งเพิ่มเติมอีก 43 ศูนย์ รวมเป็น 87 ศูนย์ ให้ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เปิดช่องทางการสมัครงานได้ทุกที่ ทุกเวลา ทั้งทางอินเตอร์เน็ต และแอปพลิเคชันบนมือถือ รวมทั้งการพัฒนารูปแบบการให้บริการเพื่อจะช่วยลดขั้นตอนการทำงานให้สะดวกรวดเร็วขึ้น เข้าถึงง่ายขึ้น และมีการเชื่อมโยงข้อมูลระบบสารสนเทศเกี่ยวกับตำแหน่งงาน ของทางภาครัฐและเอกชนเข้าด้วยกัน
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงาน 2 ปีที่ผ่านมานั้น มีผู้สมัครงานกว่า 600,000 คน มีงานทำตามที่ต้องการแล้วเกือบ 400,000 คน สร้างรายได้ราว 90,000 ล้านบาท อย่าลืมในส่วนที่จะต้องมีการพัฒนาตนเอง มีศูนย์การพัฒนาฝีมือแรงงานอยู่ทั่วไป ใครก็ตามที่จบ เรียนสูงๆมา ไปทำอาชีพเกี่ยวกับเรื่องเทคนิเชียน หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูง ขอให้มีการไปติดต่อเพื่อขอทดสอบฝีมือแรงงานตัวเอง จะมีใบประกอบรับรองให้ เวลาไปหางานตามสถานที่ทำงานต่างๆ มันจะได้มีค่าแรงอะไรที่มันดีขึ้นมากขึ้นกว่าเดิม ไม่งั้นมันต้องไม่รับค่าแรงขั้นต่ำ เราต้องดึงกันไปให้ขึ้นไปร่วมกันให้ได้ ทั้งมีฝีมือ ไม่มีฝีมือ ถ้าต่างคนต่างพัฒนาตัวเองขึ้นไปอย่างนี้ ร่วมมือกับศูนย์พัฒนาแรงงานเหล่านั้น มันก็มีรายได้ที่สูงขึ้น ดีกว่าที่จะมาเรียกร้องทั้งหมด มันเป็นไปไม่ได้
3.ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจของโลกที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลนี้ได้ใช้ความพยายามในทุกมิติ และกลไกประชารัฐเดินหน้าตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งทั้งคำว่าประชารัฐ ไทยแลนด์ 4.0 ก็มีความสงสัยอะไรต่างๆ มากมาย แต่ผมคิดว่าถ้าคุณหวังดีกับประเทศชาติ น่าจะเข้าใจ เว้นเสียว่าคนเหล่านั้นไม่ต้องการจะเข้าใจ คิดง่ายๆ เราจะมุ่งส่งเสริมให้มีการลงทุนจากภายในประเทศ เพื่อจะทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี มีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ มีการใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นสำคัญ สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดนั้น ส่งผลให้มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในครึ่งแรกของปี 2559 มีมูลค่ากว่า 300,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2558 ร้อยละ 48 สามเท่าด้วยกัน เป็นการลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย มูลค่าประมาณ 1.3 แสนล้านบาท เป็นการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกว่า 7,000 ล้านบาท และเป็นการลงทุนในคลัสเตอร์ต่างๆทั่วประเทศกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท เป็นต้น ซึ่งก็ล้วนเป็นการขอรับส่งเสริมการลงทุนตามนโยบายของรัฐบาลนี้ทั้งสิ้น อย่าไปเชื่อฟังคำบิดเบือน เราก็พยายามเร่งติดตามดำเนินการ หามาตรการต่างๆ เพื่อจะสร้างแรงจูงใจให้มากขึ้น แต่ก็ขอให้ไว้ใจรัฐบาลจะไม่ทำอะไรให้ประเทศเสียหาย
4. การกำหนดนโยบายบนพื้นฐานของข้อมูลทางสถิติและฐานข้อมูลที่รอบด้าน ทันสมัย เชื่อมโยงกันตลอดห่วงโซ่ เช่น การกำหนดแผนการผลิตและแผนการตลาดของข้าว สำหรับการบริหารจัดการ และกำหนดมาตรการต่างๆ รองรับ เพื่อป้องกันปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ล้นตลาด ขาดน้ำ เหล่านี้เป็นต้น หลายอย่าง พืชเศรษฐกิจอีกหลายตัว ปีนี้ก็ถือว่าโชคดี บางอย่างก็ราคายังสูงอยู่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขอให้ระมัดระวังในเรื่องของการที่จะเพิ่มผลผลิต วันนี้ เช่น การลดพื้นที่การปลูกยางลงไป ก็ทำให้ยางมีจำนวนน้อยลง เมื่อน้อยลง ราคาก็สูงขึ้น ความต้องการของตลาดก็มากขึ้น เพราะเขารู้ว่ายางมีน้อย แต่ถ้าทุกคนยังบิดเบือนกันไป ให้กลับไปปลูกกันใหม่ มันก็กลับมาที่เดิม ยางก็มีปริมาณมากขึ้น เรียกว่า ซัพพลาย มากกว่าดีมานด์ ราคาก็ตกเหมือนเดิม แล้วจะไปเชื่อฟังคำบิดเบือน ผมเห็นหลายคนออกมาพูด เสียดายโอกาสที่ไปโค่นต้นยางไปแล้ว ทำไมจะต้องกลับไปที่เดิม ผมไม่เข้าใจ นั่นความคิดของใครไม่ทราบ ไปทบทวนดูด้วย
ในสถานการณ์การปลูกข้าวปี 2559-60 นั้น มีพื้นที่คาดการณ์รวมประมาณ 70 ล้านไร่ เราแยกเป็นรอบแรก 58 ล้านไร่ ได้ผลผลิตราว 25 ล้านตัน รอบที่สอง พื้นที่เพาะปลูก 10 ล้านไร่ ปลูกข้าว 9.8 ล้านไร่ ผลผลิตราว 6 ล้านตัน ที่เหลือเราปรับเปลี่ยนเป็นปลูกพืชชนิดอื่น และรอบที่ 3 คาดการณ์ปลูกข้าว 0.5 ล้านไร่ พักการปลูก 0.5 ล้านไร่ เพื่อปรับปรุงพื้นที่ ปรับปรุงดิน เราจะรณรงค์ให้ชาวนาได้มีการพักแปลงนา เพื่อจะฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน เป็นต้น ถ้าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้รับทราบข้อมูลและเข้าใจ ไม่คิดแบบเดิม หรือไม่ฟังคนอื่นที่ชักจูงกลับไปที่เก่า ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลนี้ ปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้นอีก เช่นในอดีตที่ผ่านมา
5. การให้ความสำคัญในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิตอล ตามนโยบาย Digital Economy สำหรับการบริหารราชการแผ่นดิน การให้การบริการกับประชาชน เช่น พร้อมเพย์ ในการทำธุรกรรมการเงินภาครัฐ และ GAC ซึ่งเป็นศูนย์กลางแอปพลิเคชันบนมือถือภาครัฐ เหล่านี้เป็นต้น
ล่าสุด สำนักงานราชบัณฑิตยสภาเปิดตัวแอปพลิเคชัน ภาษาอาเซียน และหนังสือศัพท์ภาษาอาเซียน พร้อมปากกาอัจฉริยะ เพื่อสนับสนุนการเตรียมพร้อมและการให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับภาษาและวัฒนธรรมของประเทศในกลุ่มอาเซียน และ
6. การพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ด้านการกีฬาของประเทศ ตามแนวคิด กีฬาสร้างคน คนสร้างชาติ เห็นได้จากความสำเร็จก้าวแรกๆ ของโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐ เช่น สายฝน รัตนภานุ เด็กไทยมุสลิมจากยะลา ได้แชมป์มวยปูนเสือ เป็นผลผลิตจากค่ายมวยรัตนภานุ ของ ศอ.บต.ที่ใช้ยุทธศาสตร์ด้านการกีฬา สนับสนุนให้เยาวชนห่างไกลยาเสพติด และป้องกันการถูกดึงไปเป็นแนวร่วมในการสร้างความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ทั้งนี้ รัฐบาลมีนโยบายปฏิรูปการกีฬาในทุกมิติ เช่น 1) การจัดตั้งมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ เพื่อยกระดับจากสถาบันการพลศึกษา 17 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งจะเริ่มที่ จ.ชลบุรี ในเดือนสิงหาคม ปีหน้า และสร้างความเชื่อมโยงกับโรงเรียนกีฬา 13 แห่ง ในการปูพื้นฐานอย่างเป็นระบบ ต่อเนื่อง ตั้งเป้าผลิตบุคลากรทางการกีฬาให้ได้ 4,500 คนต่อปี และ 2) การผลักดันแผนพัฒนาการกีฬาของประเทศ ระยะ 5 ปี 2560 - 2564 ที่นอกจากจะมุ่งพัฒนาสุขภาพร่างกายและจิตใจของประชาชนคนไทยแล้ว ยังเป็นการปูพื้นฐานการพัฒนากีฬาไทยสู่สากล การที่เราจะเป็นฮับด้านการกีฬาของอาเซียน ทั้งในเรื่องของนักกีฬาอาชีพและสนามแข่งขันกีฬา รวมทั้งรองรับการขยายตัวสู่อุตสาหกรรมการกีฬาที่มีอัตราการเติบโตถึง 3 เท่าของจีดีพี ในปี 2557 มีมูลค่ากว่า 81,000 ล้านบาท อีกด้วย
สิ่งเหล่านี้เราอาจจะไม่เคยสังเกต หรือไม่เคยสนใจติดตาม อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับคนโน้นคนนี้บ้าง ต้องช่วยกันดูนะครับ มันจะได้เกิดความร่วมมือ เพราะเป็นห่วงโซ่เดียวกันทั้งสิ้น ถือว่าเป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้ต้องการให้เกิดวิวัฒนาการที่ดีของประเทศไทยของเรา ที่เราเรียกว่าเตรียมการปฏิรูปไปสู่อนาคต ในขณะที่สถานการณ์จากภายนอกก็ยังคงมีพลวัตรและการเปลี่ยนแปลง ทั้งในลักษณะที่เป็นทั้งคุณและโทษต่อประเทศ และชีวิตประจำวันของพวกเราทุกคน
ผมอยากให้พวกเราทุกคนนั้นพยายามสนใจในสิ่งรอบตัว ทั้งใกล้และไกลตัวของเราบ้าง ก็จะทราบความเป็นเหตุเป็นผล ในแนวคิด แนวปฏิบัติ ที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ เพื่อพร้อมที่จะร่วมแก้ไขปัญหา และก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน โดยขอให้เลิกพูดว่า ธุระไม่ใช่ ไม่เห็นได้ประโยชน์ เลิกเรียกร้องแต่สิทธิโดยไม่รู้จักหน้าที่ เลิกปกป้องผลประโยชน์ส่วนตนโดยไม่นึกถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ หรือของคนอื่นเลย ประเทศชาติของเราจึงจะมีอนาคต ประชาชนจึงจะมีความสุขได้อย่างทั่วถึงและยั่งยืน
พี่น้องประชาชนครับ หากท่านกำลังหาของขวัญปีใหม่ เป็นสินค้าพื้นบ้านแบบไทย หรือภูมิปัญญาท้องถิ่น อยู่ในปัจจุบัน ผมขอแนะนำงาน OTOP City 2016 ของขวัญภูมิปัญญาไทย ใต้ร่มพระบารมี ตั้งแต่วันที่ 18 - 26 ธันวาคม ศกนี้ ที่อิมแพค เมืองทองธานี โดยมีทั้งสินค้าโอทอปที่ไปสู่ระดับสากล ได้แก่ โอทอปคลาสสิก โอทอประดับ 4 ดาว และ 5 ดาว จากทั่วประเทศ กว่า 30,000 รายการ โอทอปพรีเมียม ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกต่างประเทศ และโอทอป Best Sellers ซึ่งเป็นสินค้าขายดี ย้อนหลัง 5 ปี รวมทั้งสินค้าดีจาก 76 จังหวัด มาจำหน่ายในที่เดียวกัน ทั้งนี้ ท่านสามารถนำใบกำกับภาษีไปลดหย่อนภาษีได้ตามนโยบายชอปช่วยชาติ ขณะนี้รัฐบาลกำลังนำโอทอปชุดที่ 2 ขึ้นจำหน่ายบนเครื่องบินอีกด้วย
สุดท้ายนี้ ผมอยากฝากเกร็ดความรู้การดูแลสุขภาพช่วงฤดูหนาวนี้ โดยพี่น้องประชาชนสามารถจะดูแลความอบอุ่นของร่างกายได้จาก 1. การรับประทานอาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ 2. การกิน ดื่ม ผลิตภัณฑ์จากพืชสมุนไพรไทยที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น พริก ขิง ข่า ตะไคร้ มะกรูด กะเพรา โหระพา แมงลัก ผักชี กระเทียม หอมแดง เหล่านี้เป็นต้น จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต และช่วยให้อาการหนาวชาบริเวณปลายมือและปลายเท้าลดลง 3. การรับประทานผัก ผลไม้ สมุนไพรรสเปรี้ยว เช่น มะนาว ใบชะมวง ยอดผักติ้ว สับปะรด มะขามป้อม มะแว้งต้น มะแว้งเครือ ที่มีสรรพคุณช่วยขับเสมหะ บรรเทาอาการไอ ทำให้ชุ่มคอ ขอให้ศึกษาวิธีใช้อย่างระมัดระวังนะครับ เอาไปประกอบอาหาร รับประทานที่มีคุณสมบัติที่ตรวจสอบ ผ่าน อย.มาแล้ว จะมีฉลากติดที่ขวด ก็ทำตามคำแนะนำตามนั้น ใช้ตามนั้น
นอกจากนั้นแล้ว เราจะต้องรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ครบ 5 หมู่ มีการออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ที่สำคัญก็คือการรักษาความอบอุ่นของร่างกาย สวมเสื้อกันหนาว เสื้อผ้าหนาๆ ห่มผ้า หรือใช้กระเป๋าน้ำร้อนช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย ไม่ไปหาวิธีการอื่น เช่น ดื่มเหล้าแก้หนาว แล้วก็แข็งตาย รับประทานมากเกินไปด้วย ร่างกายก็ไม่แข็งแรงอยู่ ก็อาจจะมีความเสี่ยงกับโรคหัวใจวาย เสียชีวิตได้ เราเห็นตัวอย่างหลายปีมาแล้ว ตลอดมา รวมทั้งให้ระมัดระวังการการก่อไฟ ผิงไฟ โดยไม่จำเป็น อย่าให้เกิดอุบัติเหตุ เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของตนเองและผู้อื่น ด้วยความห่วงใยนะครับ ขอขอบคุณ ขอให้ทุกคนมีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ