“ประยุทธ์” ตรวจราชการน่าน เป็นสักขีพยานมอบหนังสือใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนฯ กำชับต้องไม่บุกรุกอีก อย่าโกรธ รมว.เกษตรฯ-รมว.ทรัพย์ เพราะทำตามหน้าที่ บอกประชาชนคือนายรัฐบาล ต้องใช้ให้ถูก อย่าเลือกมาผิด ห่วงทำความเข้าใจคนระดับล่าง ต้องไม่สร้างความเกลียดชังกัน แนะเดินตามโครงการหลวง พัฒนาตนเอง ยันเป็นรัฐบาลคนไทยทั้ง 70 ล้าน ส่วน กม.คอมพ์ต้องมีไว้ปราบโซเชียลมีเดียขยะ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 07.00 น. วันนี้ (23 ธ.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมด้วยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เดินทางจากกองการบิน ศูนย์การเคลื่อนย้ายกองทัพบก ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร ไปยังท่าอากาศยานน่านนคร ในการลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดน่าน
โดยในเวลา 09.30 น. นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางถึงจุดชมวิวบ้านน้ำป้าก หมู่ 7 ตำบลตาลชุม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน เพื่อฟังบรรยายสรุปเรื่อง “โครงการปลูกป่าสร้างคนบนวิถีพอเพียงรักษาต้นน้ำบรรเทาอุทกภัย จังหวัดน่าน” และเป็นประธานสักขีพยานในการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า บรรยากาศที่นี่น่าอิจฉา กทม.มีแต่ความวุ่นวาย ถ้ารอบตัวมีพืชผักผลไม้ มีรายได้ที่เพียงพอจะเกิดอะไรขึ้นในประเทศ แต่ภาพเหล่านี้หายไปนานแล้ว วันนี้เราต้องช่วยกันแก้ปัญหาตามนโยบายที่วางไว้ และมีหลายเรื่องที่รัฐบาลเริ่มทำใหม่ รวมถึงการมอบที่ดินทำกินที่ไม่มีรัฐบาลไหนทำ หลังจากมีการบุกรุกผิดกฎหมายมานาน ดังนั้นอย่าไปโทษหรือโกรธเกลียดรัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพราะเป็นผู้ถือกฎหมาย โดยรัฐบาลอำนวยความสะดวกให้สามารถทำได้ วันนี้ทั้งรัฐมนตรีและข้าราชการทำงานตัวเป็นเกลียว ถ้าไม่เป็นเกลียวแสดงว่ามีอะไรสักอย่าง
“สิ่งที่เข้ามาวันนี้ไม่ใช่แสวงหาผลประโยชน์จากท่าน แต่มาแสวงหาผลประโยชน์ให้ท่าน ด้วยมาตรการใหม่คิดใหม่มองอดีต ปัจจุบัน อนาคต บริหารด้วยข้อเท็จจริง ด้วยการเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา และทำงานร่วมกับสถาบัน รัฐบาล ภาคเอกชนประชาสังคม เดินแบบประชารัฐ นำแนวทางในหลวง รัชกาลที่ ๙ มาสืบทอดให้ได้”
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หลายสิบปีที่ผ่านมามีแต่พูดแล้วไม่ทำ วันนี้ต้องพูดแล้วทำไปด้วย ไม่ใช่ทำวันนี้แล้วเสร็จพรุ่งนี้ และทำต่อไปในอนาคต รวมถึงต้องยอมรับการพัฒนาเปลี่ยนแปลงของโลก มองจากข้างนอกสู่ข้างใน ข้างในสู่ข้างนอก ระเบิดจากข้างในใจตัวเองตามหลักการของในหลวง รัชกาลที่ ๙ อยากมีอยากได้ต้องนึกถึงคนรอบข้างด้วย ไม่ใช่แย่งชิงถูกผิดก็คิดว่าไม่เป็นไร ตรงนี้คือปัญหาบ้านเมือง
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีหลายมาตรการช่วยเหลือ กฎหมาย ข้อมูลไม่ทันสมัยก็ต้องปรับ ถ้ามัวแต่ใช้ข้อมูลเดิมก็แก้ปัญหาไม่ได้ โดยเฉพาะการบุกรุกป่าที่ต้องไม่มีอีกต่อไป ต้องมีมาตรการเฉพาะให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแล และที่ผ่านมามีการผ่อนผันด้วยมาตรา 44 ให้มีการจัดให้ใช้พื้นที่แต่ไม่เป็นเจ้าของ ไม่เช่นนั้นก็จะขายกันอีก รัฐบาลต้องคิดว่าอะไรคือปัญหาของประเทศ และจะแก้ตรงไหน แล้วเข้าหาเป้าหมายเหล่านี้ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน โดยมีสติและปัญญา ในการทำอะไรก็ตามใช้แต่หลักการอย่างเดียวไม่ได้
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้ยังไม่สายเกินไป เรื่องของผลผลิตการเกษตรอย่าทำแค่ผลผลิตเดียวแล้วจบ ต้องเพิ่มมูลค่าสินค้าให้ได้ วันนี้อย่างเรื่องข้าวมีการส่งเสริมขายรายวัน ไม่ใช่ส่งโรงสีหมด โดยทำควบคู่ไปมาตรการต่างๆ ส่งเสริมจากรัฐบาล ตนพยายามสร้างสตอรี ไปประเทศไหนตนเอาข้าวไปแจกเขา ไปอธิบาย สร้างสตอรีถึงประโยชน์ของข้าว อย่างที่ตนรับฟังมาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ได้พระราชทานมาว่า ข้าวมีผลต่อสุขภาพมาก นักกีฬาต้องกินข้าว ถ้าไม่กินข้าวก็ไม่มีแรง โดยเฉพาะนักกีฬากินไทยไม่กินข้าวไม่ได้ เพราะมีผลต่อพลังงาน แต่กินแล้วต้องใช้ให้หมด ทั้งหมดนี้เป็นการดูตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทางไปด้วยกัน เช่นเดียกับการพัฒนารถไฟ อย่างล่าสุดมีการปรับปรุงรถไฟชั้น 3 ที่ไม่ได้เป็นการซื้อใหม่เพียงอย่างเดียว ที่ไม่เคยทำมา 60 ปี
“เป็นสิ่งที่บ้านเมืองเราเกิดมาแบบนี้ พูดมาอย่างนี้ตลอด แต่ทำไม่ได้ ซึ่งรัฐบาล หน่วยงาน และประชาชนต้องร่วมมือกัน อยู่ที่ประชาชนเท่านั้น เพราะเป็นเจ้านายผม เป็นเจ้านายรัฐบาล ไม่ใช่รัฐบาลเป็นเจ้านายท่าน เมื่อเลือกเขามาแล้วใช้เขาให้ถูก อย่าเลือกผิด พูดไปอย่างนี้เดี๋ยวผมก็โดนด่าข้างนอกอีก แต่ผมพูดเรื่องจริง ไม่ได้ว่าใคร ดังนั้นต้องแก้ไขกฎหมายให้ทันสมัย หรือให้มาตรการตามมาตรา 44 มาทำให้เกิดขึ้นให้ได้ วันนี้สิ่งสำคัญต้องมีการเปลี่ยนแปลงตัวเราเอง อย่างแรงงาน ไม่ใช่ทุกคนมาบอกอยากได้ค่าแรง 300-400-500 บาท แต่ไม่ยอมพัฒนาตัวเอง เมื่ออยากมีรายได้มากขึ้นต้องพัฒนาตัวเอง ต้องมีการเรียนรู้ ถ้าไม่พัฒนาแต่มาขอ 400-500 บาท มันก็เจ๊งหมด”
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้รัฐบาลกำลังปฏิรูปเปลี่ยนแปลงทุกเรื่องทำใหม่ทั้งหมด โดยมีกฎหมายเป็นเครื่องมือในการแก้ แต่วันนี้กฎหมายออกมาก็มีปัญหาหมด ทุกคนชอบสงบ ชอบเรียบร้อย ชอบอะไรดีๆ แต่ไม่ชอบกฎหมาย อย่าลืมว่ากฎหมายเป็นสิ่งเดียวในโลกนี้ที่เท่าเทียม ทุกคนอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน ต้องให้ทุกคนรู้สึกอย่างนี้ ไม่ว่าจะนักการเมือง หรือประชาชน ใครก็ตามต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน นั้นคือความเท่าเทียมจริงๆ ในโลกใบนี้ อย่างอื่นไม่มีหรอก เราเป็นประเทศประชาธิปไตยสากล ทุนนิยม เสรีนิยม มันก็ต้องเป็นแบบนี้ ยกเว้นเป็นแบบอื่น ซึ่งเราก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว วันนี้เราให้เกียรติข้าราชการ ถ้าทุกคนว่ากันไปมา ต่อต้าน มันก็เกลียดชังกันทุกคน ก็ทำอะไรกันไม่ได้อีก ต้องให้กำลังใจ ขณะที่ข้าราชการต้องอดทนเป็น 3 เท่าของประชาชน ตนห่วงการทำความเข้าใจข้างล่าง ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้รัฐบาลกำลังช่วยเหลือเรื่องข้าว ยางพารา ส่วนเรื่องข้าวโพดมีทั้งที่ปลูกในพื้นที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย ที่ตอนนี้ที่ถูกกฎหมายขายได้กิโลกรัมละ 8 บาท แต่ที่ปลูกพื้นที่ผิดกฎหมายกำลังมีปัญหา แต่รัฐบาลกำลังหาทางช่วย แต่ต้องสัญญาก่อนว่าจะลดการปลูกที่ผิดกฎหมายไปให้ได้ ต้องช่วยกันเพราะตนต้องใช้กฎหมายแก้ปัญหานี้ ใช้มาตรการการเงินการคลัง หารือ รมว.คลัง ว่าจะแก้ได้อย่างไร เพราะวันนี้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ว่าปลูกพื้นที่ถูกกฎหมายหรือไม่ อย่าทำแบบนี้อีก ปลูกมาก็ขายไม่ได้ รัฐบาลก็ต้องมาแบกรับภาระ ปัญหารัฐบาลเวลานี้ก็เยอะอยู่แล้ว แก้ไม่รู้กี่ร้อยเรื่อง แก้ไปแก้มาตอนนี้เป็นพันเรื่องแล้ว
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า โครงการปิดทองหลังพระ เป็นโครงการที่ต้องการให้ประชาอยู่ดีมีสุข จึงนำพระราโชบายในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ มาคิดเพื่อเป็นจุดเริ่มต้น จากนั้นก็นำไปสู่การปฏิบัติ เช่น ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รวมถึง โครงการต่างๆ ตามดอยภาคเหนือ ท่านทรงเริ่มต้นทำการทดลองมาแล้วกว่า 4,000 โครงการ และเราต้องมาขยายทำเองกันได้แล้ว ขอให้ไปติดตามไปดูเขา วันหนึ่งถ้าเราไม่คิดเปลี่ยนแปลงตนเองก็จะอยู่แบบนี้จนแก่จนตาย ลูกหลานก็จะแย่กว่าเดิม เพราะพัฒนาไม่ทันเขา อย่าบอกว่าแผ่นดินนี้ไม่เคยให้อะไรแก่ท่าน ไม่ว่าจะดินทุกก้อน หินทุกเม็ด ผืนน้ำแผ่นดินที่ให้ท่านไว้คือการเกิดมาเป็นคนที่มีเสรีภาพ ไม่เคยเป็นอาณานิคมของใคร แผ่นดินนี้ให้ท่านมีชื่อ มีนามสกุล มีที่อยู่ โดยที่นี่เป็นผืนแผ่นดินไทยมาโดยตลอด อยู่ที่ท่านจะรักษากันอย่างไร อย่ากลับไปเหมือนเดิมด้วยการทำลายป่า หรือปลูกพืชเพียงอย่างเดียวโดยหวังจะได้กำไรมากที่สุด และการอำนวยความสะดวกให้แก่เจ้าหน้าที่จะต้องไม่เกิดขึ้น ตนจะเล่นงานทั้งสองทางทั้งผู้ให้และผู้รับ
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนยังสู้ไหวไม่มีทางยอมแพ้ อย่าไปฟังใครว่านายกฯ อ่อน นายกฯ กลัว ตนไม่กลัวใคร แต่กลัวว่าแผ่นดินจะแย่ไปมากกว่านี้มากกว่า ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันหน้า ฉะนั้นข้าราชการต้องเป็นหลักในการทำงานทั้งหมด สิ่งใดที่มีปัญหากับข้าราชการส่งมาที่ตน จะสอบสวนให้หมด แต่ถ้าไม่เขาไม่มีหลักฐาน พูดส่งเดชมันอยู่กันไม่ได้ ไม่งั้นจะวุ่นกันไปหมด
“วันนี้เราพบกันด้วยใจอยู่แล้ว กับข้าราชการทั้งประเทศถึงผมไม่มานี่ ผมก็คิดถึงท่านอยู่แล้ว เพราะผมคิดถึงใจของประชาขน นายกฯ ต้องคิดถึงใจคน 70 ล้านคน ไม่ใช่คิดถึงใจคนที่เลือกผมเข้ามา ซึ่งต้องเป็นอย่างนั้น แต่รัฐบาลต้องเป็นรัฐบาลของคน 70 ล้านคน ไม่ใช่ต้องเป็นคนของตำบลนู้น หรืออำเภอนี้ และหน้าที่ของ ส.ส. ที่เลือกมาในพื้นที่ เพื่อนำแผนงานของตัวเองในพื้นที่ออกมา เสนอให้กระทรวงพิจารณาว่าตรงไหนควรเกิดก่อนเกิดหลัง ถ้าไปล็อคสเปคว่าอยู่ตรงนั้นตรงนี้ มันจะไปอยู่ตรงนั้นตรงนี้ มันจะมาถึง จ.น่านตรงนี้ไหม ไม่ถึงหรอก กว่าจะมาถึงก็รอจนกว่าเปลี่ยนรัฐบาลอีกข้างถึงจะมา”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขอขอบคุณชาว จ.น่าน ตนเห็นมีหลายต่อหลายท่านที่ไปกราบสักการะพระบรมศพ ตนเห็นแล้วก็น่าชื่นใจ ซึ่งมีคนไทยหลายล้านคนแล้วที่ไปกรุงเทพฯ ในขณะนี้ ตนเข้าใจอยู่ว่าเป็นเรื่องที่เราเศร้าโศกเสียใจ แต่เราก็มีรัชกาลที่ ๑๐ แล้วในขณะนี้ พระองค์ท่านก็ทรงรับสั่งว่าห่วงใยประชาชนเสมอ ให้ใช้แนวทางของสมเด็จพระบรมชนกนาถในการช่วยเหลือประชาชนให้มีความสุข นี่คือสิ่งที่เป็นพระมหากรุณาธิคุณจากสถาบันฯ ที่อยู่คู่กับประเทศไทยมาตลอดยาวนาน ตนก็ขอกันว่าช่วยทำให้บ้านเมืองสงบสุข อย่าให้มีการบิดเบือน อย่าให้มีการขับเคลื่อนไปสู่ความขัดแย้ง ตอบโต้ ท่านดูแล้วก็จะรู้ว่าเป็นการบิดเบือน ต้องใช้สติปัญญาคิดวิเคราะห์ มีเหตุผล ในการจะเชื่อ จะฟังเรื่องในโชเชียลมีเดีย
“ผมแนะนำให้อ่านหนังสือจะดีกว่าดูโซเชียลมีเดีย เพราะตัวหนังสือนั้นมีจิตวิญญาณ มันจะให้เราคิดตามไปด้วยว่าคืออะไร ซึ่งโซเชียลมีเดียใช้กดนิ้วอย่างเดียวจิ้มไปจิ้มมา จิ้มถูกก็ดี จิ้มผิดคนอื่นก็เสียหาย ถึงต้องมีมาตรการมารองรับ ก็ต้องไปดูว่าควรทำอย่างไร ท่านจะยอมให้โซเชียลมีเดีย มีสิ่งชั่วร้ายอย่างนี้อยู่ข้างในหรือ ไปหามาตรการมาแค่ไหนผมไม่รู้ เป็นเรื่องของข้อกฎหมายเขาคิดมาอย่างนั้น ก็ไปหามาตรการมาให้ทำกันให้ได้ ไม่ใช่ทำไม่ได้กันทั้งอัน มันก็อยู่กันที่เก่า แล้วท่านก็ไปดูเว็บโป๊ ดูขายยาเถื่อนที่อันตราย มีการบิดเบือน มีการแฮคเข้ามาในระบบธุรกิจ ระบบเศรษฐกิจ นั่นคือโลกวันนี้เป็นแบบนั้นหมด เขาระวังกันหมด มีแต่ประเทศไทยที่ปลดล็อกให้หมด นี่คือสิ่งที่เป็นขยะที่อยู่ในระบบโซเชียล ต้องหามาตราการคัดขยะออก แต่คัดยังไงไปหาวิธีการมา รัฐบาลไม่ได้ต้องการไปแอบฟังท่านคุยกัน ไปฟังทำไม ไม่มีใครอยากรู้ คุยก็คุยไป เว้นแต่มันมีเรื่องออกมาว่าเว็บไซด์นี้มันชั่วร้าย ก็ไปดู ขอหมายศาลให้เจ้าหน้าที่ไปดูว่าจะทำยังไง ไม่ใช่ว่าจะไปจับทุกคน”
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้เดินเข้าไปพบปะทักทายและพูดคุยกับประชาชนที่มารอต้อนรับอย่างใกล้ชิด โดยนายกฯ กล่าวด้วยว่า “ใครมารับขึ้นรถตู้ไปไหน ไปประท้วง อย่าไปนะ เสียเวลาทำงาน ได้เงินน้อยไม่กี่ร้อยบาท และการทุจริตจะต้องไม่เกิดขึ้น อย่าไปยอมอำนาจมืด ถ้ามีให้มาบอก วันนี้ผมไม่ได้มาเพื่อหาเสียง”
จากนั้นนายกรัฐมนตรีเดินทางต่อไปยังบ้านห้วยส้มป่อย เพื่อพบหารือกับภาคประชาสังคม และผู้นำชุมชนท้องถิ่นของจังหวัดน่าน และเดินทางต่อไปยังวัดภูมินทร์ เพื่อกราบนมัสการพระพุทธมหาพรหมอุดมสักยมุณี พระประธานจตุรพักตร์ในวิหารหลวง พร้อมถวายปัจจัยไทยธรรมแด่พระเถรานุเถระชั้นผู้ใหญ่ จากนั้นได้เยี่ยมชมวัดและภาพจิตกรรมฝาผนังโดยทีมัคคุเทศก์น้อยนำชม