เมืองไทย 360 องศา
พิจารณาตามรูปการณ์แล้ว นาทีนี้เลิกคิดไปได้เลยสำหรับการเจรจา เพื่อให้ พระเทพญาณมหามุณี หรือ พระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เข้ามอบตัว เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแต่โดยดี ในทางตรงกันข้ามเท่าที่เห็นความเคลื่อนไหวในปัจจุบัน กลายเป็นว่ามีการเตรียมรับมือเจ้าหน้าที่ไม่ต่างกับการ “ตั้งค่ายคูประตูเมือง” อย่างเต็มที่ ทั้งการตั้งเครื่องกีดขวาง จัดเวรยามตรวจสอบคนเข้าออกอย่างเข้มงวด รวมไปถึงการระดมมวลชนเข้ามาเสริมในหลายรูปแบบ ทั้งในแบบผู้ปฏิบัติธรรมห่มขาว และแบบพระสงฆ์ห่มเหลือง ตั้งเป็นกำแพงมนุษย์เพื่อขัดขวางการเข้าจับกุม ธัมมชโย ที่หลบซ่อนกบดานอยู่ภายในวัดพระธรรมกาย แม้ว่าในเวลานี้ยังไม่มีใครมั่นใจได้ว่า “เขา” ยังอยู่ภายในหรือไม่
จากความเคลื่อนไหวดังกล่าวจึงเลิกฝันไปได้เลยที่คิดว่า ธัมมชโย จะยอมมอบตัวมาสู้คดี สิ่งที่เห็นในเวลานี้ก็เป็นแค่การ “ยื้อ” เวลาเท่านั้น เช่น การส่งทีมทนายไปยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนหมายค้นวัดพระธรรมกาย ซึ่งในที่สุดศาลก็ยกคำร้อง
ดังนั้น เมื่อหนทางในการมอบตัวไม่มี มันก็ต้องมาพิจารณากันดูว่าเจ้าหน้าที่จะบุกเข้าไปจับกุมกันแบบไหน ตอนไหน เพราะเมื่อรอให้มอบตัวทำได้แค่ฝันกลางวัน แต่การบุกเข้าไปมันก็เสี่ยงกับการถูกขัดขวาง เนื่องจากฝ่ายโน้นระดมกำลังเข้ามาอย่างเต็มพิกัด
สำหรับความเคลื่อนไหวของฝ่ายเจ้าหน้าที่ ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในครั้งนี้ดูแล้วมีความเอาจริงเอาจังมากกว่าทุกครั้ง ทั้งท่าทีของฝ่ายนโยบายสูงสุด ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ส่งสัญญาณไฟเขียว จนนำมาซึ่งการสนธิกำลังทั้งตำรวจ ดีเอสไอ และ ฝ่ายทหาร มีกำลังกว่า 3 พันนายในการเตรียมเข้าไปจับกุมธัมมชโย
โดยมีรายงานว่าทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้รับอนุมัติหมายค้นจากศาลมาถืออยู่ในมือถึง 4 ใบ ได้รับอำนาจในการตรวจค้นตั้งแต่วันที่ 13 - 16 ธันวาคมนี้ ส่วนจะมีการบุกเข้าไปจับวันไหนเวลาใด คราวนี้ต่างปิดเป็นความลับ ผิดกับครั้งก่อนที่เปิดเผยทุกขั้นตอนแล้วเดินดุ่ยๆ เข้าไปเมื่อถูกโล่มนุษย์ขวางก็ต้องถอยออกมา
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากบรรยากาศภายนอก จากสังคมทั่วไปแล้ว ส่วนใหญ่เริ่มมองทางฝ่ายธัมมชโยในทางลบมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการดื้อแพ่งไม่ยอมมอบตัว มีการยื้อมีการระดมคนเข้าไปขัดขวาง รวมไปถึงการแอบอ้างสถาบันมันก็ยิ่งทำให้ถูกกดดัน เพราะนั่นเท่ากับว่าทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม ยิ่งนานไปก็ยิ่งไม่เป็นผลดี
ขณะเดียวกัน เมื่อมองในมุมของ ธัมมชโย ในมุมของธรรมกาย ก็รับรู้กันอยู่แล้วว่ามันเลยขั้นตอนของการมอบตัวแล้วได้รับการประกันตัวออกมา อาจเป็นเพราะก่อนหน้ามองเกมพลาดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่คิดว่าจะถูกออกหมายจับไล่เลี่ยกันถึง 3 หมายจับ หรือยังเชื่อว่า “วงใน” สามารถเคลียร์กันได้ หรืออาจหวังว่าจะซื้อเวลาจนเปลี่ยน “อำนาจใหม่” แต่กลายเป็นตรงกันข้ามไม่เป็นใจเสียทั้งหมด กลายเป็นว่าต้อง “ขังตัวเอง” อยู่ในอาณาจักรจานบิน ที่แม้มีกองกำลังอารักขาแน่นหนา แต่มันก็ตีวงบีบรัดตัวเองไปเรื่อยๆ อยู่ดี
ดังนั้น เมื่อไม่ยอมให้จับกุมมันก็มีความเป็นไปได้ที่จะ “สร้างสถานการณ์รอป่วน” นั่นคือ รอให้เจ้าหน้าที่บุกเข้ามาแล้วทำให้เกิดเหตุวุ่นวาย มีการปะทะขัดขวางแบบรุนแรง หรือพยายามสร้างภาพให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ทำร้ายพระสงฆ์ และฆราวาสในชุดขาว มีการตั้งกล้องถ่ายภาพแบบช็อตต่อช็อต ทางหนึ่งเพื่อขัดขวางไม่ให้จับกุม แต่ทางหนึ่งมันก็เหมือนกับการ “ต่อรอง” ในทางอ้อมให้เห็นว่า “ป่วนแน่” ถ้าไม่อยากให้ป่วนก็ให้เจ้าหน้าที่ถอยไปก่อน มันก็เป็นไปได้เหมือนกัน
แต่สำหรับเจ้าหน้าที่คราวนี้มีทางเดียวต้องเดินหน้าจับลูกเดียว เพราะถ้ายังเหลาะแหละอีกเจอสังคมด่าเปิงแน่ อีกทั้งจะกระเทือนไปถึงอำนาจรัฐ กระบวนการยุติธรรม อำนาจศาล รวมไปถึงความศรัทธาที่เสื่อมทรุดต่อรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่อ่อนแอจนไม่สามารถจัดการ “แก๊งห่มเหลือง” แก๊งนี้ได้ มันก็เสียหายกันทั้งกระบวน
เอาเป็นว่าหากมองกันในแต่ละมุมก็ต้องเข้าใจว่าทั้งสองฝ่ายล้วนเดินมาถึงจุดที่ต้องเดินหน้าให้สุดทาง ทั้งฝ่ายธัมมชโยที่ไม่มีทางเลือก นอกจากไม่ยอมให้จับกุมแล้วต้องป่วนอีกด้วย เพราะนี่คือเดิมพันที่แลกกับการถูก “จับสึก” สถานเดียว เพราะเลยขั้นตอนการประกันตัวไปแล้ว ขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็มีเดิมพันทางเดียวคือต้องจับกุมมาให้ได้ ส่วนจะจับเมื่อไหร่วิธีไหนเชื่อว่าต้องพร้อมเหมือนกัน อย่ากะพริบตาเป็นอันขาด !!