ผอ.สถาบันวัคซีนฯ เผยที่ประชุมขอภาครัฐสนับสนุนเพื่อขับเคลื่อนไปสู่การสร้างความมั่นคงทางด้านวัคซีนและเป็นหลักประกันด้านสุขภาพให้แก่คนไทย
วันนี้ (5 ธ.ค.) ดร.นพ.จรุง เมืองชนะ ผอ.การสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติว่า ที่ประชุมซึ่งมี พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี รับหลักการข้อเสนอแนวทางการส่งเสริมการผลิตวัคซีนในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการสนับสนุนจากรัฐบาลในด้านงบประมาณเพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนาและการผลิตวัคซีนในระดับอุตสาหกรรม ครอบคลุมผู้ผลิตทั้งภาครัฐและเอกชน ขณะเดียวกัน ภาครัฐต้องมีกลไกในการประกันตลาดวัคซีนภายในประเทศ และส่งเสริมการค้าวัคซีนในระดับนานาชาติและภูมิภาคอาเซียน
ทั้งนี้ แผนการส่งเสริมการผลิตวัคซีนในเชิงอุตสาหกรรมเพื่อใช้ในประเทศและเพื่อจำหน่ายยังต่างประเทศได้พูดคุยกันมากว่า 30 ปี แต่ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจน เรามีหน่วยงานรัฐกว่า 50 แห่งที่ทำเรื่องนี้แต่ยังขาดเอกภาพและแผนบูรณาการร่วมกัน อย่างไรก็ดี กรรมการวัคซีนแห่งชาติซึ่งล้วนแล้วเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้อง เห็นตรงกันว่ารัฐบาลปัจจุบันมีศักยภาพที่จะกำหนดทิศทางและผลักดันแนวทางการส่งเสริมการผลิตวัคซีนในประเทศอย่างเป็นรูปธรรมให้เกิดขึ้นได้” ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติระบุ
ดร.นพ.จรุงกล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตวัคซีนได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสถานเสาวภา สภากาชาดไทย องค์การเภสัชกรรม และภาคเอกชน เช่น วัคซีนป้องกันวัณโรค วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า วัคซีนป้องกันบาดทะบัก-คอตีบ-ไอกรนชนิดไร้เซลล์ นอกจากนี้ยังอยู่ในขั้นกำลังพัฒนาการผลิตอีกหลายชนิด อาทิ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี เป็นต้น เราจึงต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเป็นระบบ เพื่อขับเคลื่อนไปสู่การสร้างความมั่นคงทางด้านวัคซีนและเป็นหลักประกันด้านสุขภาพให้กับคนไทย ตลอดจนเป็นผู้ผลิตวัคซีนเพื่อจำหน่ายให้ประเทศต่างๆ และองค์กรนานาชาติ
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้สถาบันวัคซีนแห่งชาติจะประสานผู้เกี่ยวข้องเพื่อหารือแผนปฏิบัติงานในรายละเอียดเพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติในครั้งหน้า อาทิ ข้อปฏิบัติหรือข้อตกลงในการแบ่งปันผลประโยชน์ในการลงทุนของภาคเอกชนที่มาร่วมทุนกับภาครัฐ แนวทางการสนับสนุนงบประมาณด้านการวิจัยให้ภาคเอกชน การกำหนดให้มีแผนการจัดซื้อวัคซีนล่วงหน้า 5 ปีจากหน่วยงานที่ผลิตได้ภายในประเทศ และข้อเสนอให้รัฐบาลกำหนดให้ใช้วัคซีนเป็นสินค้าที่จะใช้ในการเจรจากับประเทศคู่ค้า เป็นต้น หากที่ประชุมเห็นชอบก็จะเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
วันนี้ (5 ธ.ค.) ดร.นพ.จรุง เมืองชนะ ผอ.การสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติว่า ที่ประชุมซึ่งมี พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี รับหลักการข้อเสนอแนวทางการส่งเสริมการผลิตวัคซีนในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการสนับสนุนจากรัฐบาลในด้านงบประมาณเพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนาและการผลิตวัคซีนในระดับอุตสาหกรรม ครอบคลุมผู้ผลิตทั้งภาครัฐและเอกชน ขณะเดียวกัน ภาครัฐต้องมีกลไกในการประกันตลาดวัคซีนภายในประเทศ และส่งเสริมการค้าวัคซีนในระดับนานาชาติและภูมิภาคอาเซียน
ทั้งนี้ แผนการส่งเสริมการผลิตวัคซีนในเชิงอุตสาหกรรมเพื่อใช้ในประเทศและเพื่อจำหน่ายยังต่างประเทศได้พูดคุยกันมากว่า 30 ปี แต่ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจน เรามีหน่วยงานรัฐกว่า 50 แห่งที่ทำเรื่องนี้แต่ยังขาดเอกภาพและแผนบูรณาการร่วมกัน อย่างไรก็ดี กรรมการวัคซีนแห่งชาติซึ่งล้วนแล้วเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้อง เห็นตรงกันว่ารัฐบาลปัจจุบันมีศักยภาพที่จะกำหนดทิศทางและผลักดันแนวทางการส่งเสริมการผลิตวัคซีนในประเทศอย่างเป็นรูปธรรมให้เกิดขึ้นได้” ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติระบุ
ดร.นพ.จรุงกล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตวัคซีนได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสถานเสาวภา สภากาชาดไทย องค์การเภสัชกรรม และภาคเอกชน เช่น วัคซีนป้องกันวัณโรค วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า วัคซีนป้องกันบาดทะบัก-คอตีบ-ไอกรนชนิดไร้เซลล์ นอกจากนี้ยังอยู่ในขั้นกำลังพัฒนาการผลิตอีกหลายชนิด อาทิ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี เป็นต้น เราจึงต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเป็นระบบ เพื่อขับเคลื่อนไปสู่การสร้างความมั่นคงทางด้านวัคซีนและเป็นหลักประกันด้านสุขภาพให้กับคนไทย ตลอดจนเป็นผู้ผลิตวัคซีนเพื่อจำหน่ายให้ประเทศต่างๆ และองค์กรนานาชาติ
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้สถาบันวัคซีนแห่งชาติจะประสานผู้เกี่ยวข้องเพื่อหารือแผนปฏิบัติงานในรายละเอียดเพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติในครั้งหน้า อาทิ ข้อปฏิบัติหรือข้อตกลงในการแบ่งปันผลประโยชน์ในการลงทุนของภาคเอกชนที่มาร่วมทุนกับภาครัฐ แนวทางการสนับสนุนงบประมาณด้านการวิจัยให้ภาคเอกชน การกำหนดให้มีแผนการจัดซื้อวัคซีนล่วงหน้า 5 ปีจากหน่วยงานที่ผลิตได้ภายในประเทศ และข้อเสนอให้รัฐบาลกำหนดให้ใช้วัคซีนเป็นสินค้าที่จะใช้ในการเจรจากับประเทศคู่ค้า เป็นต้น หากที่ประชุมเห็นชอบก็จะเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป