เมืองไทย 360 องศา
ตอนนี้กำลังตื่นตัวเรื่องการกวาดล้างผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศ ปราบปรามพวกขบวนการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติ มีการทวงคืนผืนป่าจนมีข่าวให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวของทางการ และเจ้าหน้าที่รัฐมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการกวาดล้างผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศ หากจำกันได้เมื่อหลายเดือนก่อน ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ได้สั่งการเป็นนโยบายและขึงขังกันมานานแล้ว
ล่าสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งให้มีการกวาดล้างผู้มีอิทธิพลซ้ำขึ้นมาอีก
น่าสังเกตก็คือ คำสั่งดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์แบบอุกอาจในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ ที่เกิดเหตุมีการ “รุมกระทืบ” ลูกชายนายทหารยศนายพล ที่เข้าไปเที่ยวในผับแห่งหนึ่งเกิดขึ้นมา จนกำลังเป็นที่จับตามองของสังคมตามมา ว่า ในตอนแรกฝ่ายที่รุมกระทืบ คือ หนุ่มที่เป็นแฟนดาราคนนั้น ที่ว่าเป็นผู้มีอิทธิพลนั้นมันอิทธิพลจริงหรือไม่ ในเมื่อตามข่าวบอกว่าสั่งการให้กระทืบ เนื่องจากบรรยากาศในเวลานี้ คนที่น่าจะอ่วมกว่าก็คือฝ่ายแรก คือ ฝ่ายกระทืบนั่นแหละ
เอาเป็นว่านั่นเป็นตัวอย่างเหตุการณ์ที่ระบุว่าเป็นผู้มีอิทธิพล ส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ปล่อยไปตามกระบวนการยุติธรรม เพียงแต่อยากโยงให้เห็นเป็นภาพกว้างๆ ว่า นี่คือ เศษเสี้ยวของคำว่าผู้มีอิทธิพลในประเทศนี้ และจะมีเรื่องของลูกนายพล บิ๊กคนนั้นคนนี้ เสี่ยนั้นเสี่ยนี้เกิดขึ้นมาไม่จบสิ้น
ขณะเดียวกัน มันสะท้อนให้เห็นว่า ผู้มีอิทธิพล คนที่อยู่เหนือกฎหมายนั้น มีอยู่จริง และมีมากเสียด้วย ภาพดังกล่าวมันยังเกิดขึ้นจริง และเชื่อว่ายังจะเกิดแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
นอกจากนี้ ยังมีปรากฏการณ์ในกรณีของ “ธัมมชโย” อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่ถูกออกหมายจับถึง 3 ใบ ถูกอัยการสั่งฟ้องในคดีฟอกเงินและรับของโจร แต่จนบัดนี้ยังลอยนวล ท้าทายอำนาจรัฐ ท้าทายกฎหมายได้อย่างหน้าตาเฉย ขณะที่ฝ่ายรัฐและผู้รักษากฎหมายทำได้เพียงแค่ “ขอเรียนเชิญให้มามอบตัวเท่านั้น” มิหนำซ้ำ ยังมีออปชันให้เป็นพิเศษอีกว่าขอแค่มามอบตัวก็จะพิจารณาให้ประกันตัว
กลายเป็นว่าเขากำลังกลายเป็น “อภิสิทธิ์ชน” ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย เพราะเท่าที่เห็นนอกจากเขาไม่มอบตัวแล้ว ทางเจ้าหน้าที่รัฐก็คงไปทำอะไรไม่ได้ เพราะขนาด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ยังทำใด้แค่เรียกร้องให้สังคมกดดันให้ ธัมมชโย มอบตัว แทนที่จะมากดดันเจ้าหน้าที่ให้เข้าไปจับกุม โดยอ้างว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เสี่ยงต่อการปะทะและเกิดความสูญเสีย กลายเป็นแบบนั้นไปอีก
แน่นอนว่า กรณีที่เกิดขึ้นมันย่อมแตกต่างจากกรณีที่เจ้าหน้าที่ปิดล้อมขบวนการค้าของเถื่อน หรือแก๊งยาเสพติด หากบุกเข้าไปก็เกิดการปะทะและสูญเสีย แต่เจ้าหน้าที่ก็จำเป็นต้องหาทางบุกเข้าไปจับกุม เพื่อนำตัวคนผิดมาลงโทษ และเพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย อย่างไรก็ดี การอ้างในเรื่องความละเอียดอ่อน เกรงเกิดความสูญเสียนั้น เป็นเรื่องที่พูดได้ แต่ทำแบบนั้นไม่ได้เป็นอันขาด เพราะนี่คือการท้าทายอำนาจรัฐ ขณะเดียวกัน ยังทำลายความศรัทธลงไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี หากย้อนกลับไปพิจารณากรณีของ “นายบอล” กฤษณะ อะไรนั่นที่นอกเหนือจากการถูกออกหมายจับจากคดีรุมทำร้าย “ลูกนายพล” ในผับ สิ่งที่เห็นตามมาอีก ก็คือ ทางจังหวัดเชียงใหม่ก็มีการสั่งปิดโรงแรมที่อ้างว่า นายบอล คนนี้เป็นเจ้าของ โดยระบุว่า เปิดโดย “ไม่มีใบอนุญาต” มันก็ยิ่งตลก และวังเวงสิ้นดี มองอีกมุมหนึ่งมันก็เหมือนกับการตบหน้าตัวเอง และประจานอย่างแรง คำถามก็คือ การเปิดโรงแรมสักแห่งมันไม่ใช่ใช้เวลาเพียงหนึ่ง หรือสองสัปดาห์เท่านั้น มันต้องมีการก่อสร้าง การยื่นแบบขออนุญาต มีการตรวจสอบมาตรฐาน และถามต่อไปว่า หากไม่มีการกระทืบ “ลูกนายพล” มันจะมีเรื่องสั่งปิดโรงแรมดังกล่าวตามมาหรือไม่
นั่นก็เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เอาจริงเอาจัง หรือทำแบบไฟไหม้ฟาง จนไม่อาจหาบรรทัดฐานอะไรได้ และปรากฏการณ์ต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นแบบนี้แหละที่มันเป็นตัวฉุดความก้าวหน้าของบ้านเมือง เพราะการพัฒนาบ้านเมืองให้รุดหน้า เกิดความสงบเรียบร้อยนั้นสิ่งสำคัญที่สุด ก็คือ การบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค และเคร่งครัด เพราะในคำนำก็บอกเอาไว้แล้วว่า “ทุกคนย่อมอยู่ภายใต้กฎหมาย” แต่ในความจริงนั้นตรงกันข้าม ดังหากสรุปจากภาพที่เห็นมันถึงต้องบอกว่าการปราบปรามผู้มีอิทธิพล หรือความเสมอภาคมันเป็นเพียงคำพูด แต่ไม่มีทางเกิดขึ้นจริง !!