กรุงเทพโพลล์ สำรวจประชาชนส่วนใหญ่ เห็นว่าพระราชกรณียกิจด้านสาธารณสุขที่อยู่ในความทรงจำของคนไทยคือ การมีหน่วยแพทย์พระราชทานคอยช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร ส่วนด้านโภชนาการทรงทดลองเพาะพันธุ์ข้าว และพระราชทานพันธุ์ข้าวแก่เกษตรกร ขณะที่คนไทย 78.5% น้อมนำการใช้ชีวิตแบบพอเพียงมาปฏิบัติใช้ในการดำเนินชีวิต โดยได้แรงบันดาลใจจากพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน
ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนักที่สุดในโลก ต่อสู้กับปัญหาความยากจน รวมถึงปัญหาด้านสาธารณสุขและด้านโภชนาการตลอดระยะเวลายาวนานของการครองราชย์ เพื่อให้คนไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยองค์การสหประชาชาติได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ จนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลกจึงต่างขนานนามพระองค์ว่า “ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนา”
และเนื่องในวันที่ 27 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้เป็นวันสาธารณสุขแห่งชาติ กรุงเทพโพลล์ โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ จึงได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “ธ สถิตในดวงใจ ไทยนิรันดร์ : พระมหากษัตริย์นักพัฒนา” โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,266 คน
ผลสำรวจพบว่า พระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ซึ่งต่อสู้กับปัญหาความยากจน เพื่อให้คนไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ได้สร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 78.5 น้อมนำการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงรู้จักคิด รู้จักกิน รู้จักประมาณตน มาปฏิบัติใช้ในการดำเนินชีวิตมากที่สุด รองลงมาคือ การขยันทำมาหากิน ประหยัด อดออม (ร้อยละ 67.4) และการประกอบอาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต (ร้อยละ 58.3)
เมื่อถามถึงภาพเหตุการณ์พระราชกรณียกิจด้านสาธารณสุขของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ก่อให้เกิดความซาบซึ้งและระลึกถึงมากที่สุด คือ การมีหน่วยแพทย์พระราชทานและหน่วยแพทย์เคลื่อนที่คอยช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร (ร้อยละ 81.0) รองลงมาคือ ทรงห่วงใยผู้ป่วย และรับเป็นคนไข้ในพระราชูปถัมภ์ (ร้อยละ 51.9) และการให้แพทย์ศึกษาวิจัยเพื่อควบคุมโรคเรื้อน โรคโปลิโอ โรคอหิวาตกโรค โรควัณโรค ได้สำเร็จ
สำหรับความประทับใจมากที่สุดในการทรงงานด้านโภชนาการ การสร้างแหล่งอาหารให้คนไทยอิ่มท้อง มีสุขภาพ คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นคือ ทรงทดลองเพาะพันธุ์ข้าว และพระราชทานพันธุ์ข้าว เพื่อแจกจ่ายแก่เกษตรกร (ร้อยละ 73.8) รองลงมาคือ ทรงทดลองเพาะเลี้ยงปลานิลเป็นพระองค์แรก เพื่อเป็นแหล่งโปรตีนให้แก่คนไทย (ร้อยละ 59.1) และทรงทดลองเลี้ยงโคนมและทรงทดลองแปรรูปผลิตภัณฑ์นม เพื่อเป็นแหล่งแคลเซียมให้คนไทย (ร้อยละ 40.8)