xs
xsm
sm
md
lg

“จตุพร” เก็บของเตรียมนอนคุกกับความรู้สึกของกองเชียร์-กองแช่ง!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เมืองไทย 360 องศา

วันที่ 11 ตุลาคม 2559 เป็นอีกวันหนึ่งที่ 5 แกนนำ นปช.ต้องรู้แล้วว่าพวกเขาจะมีชะตากรรมอย่างไร จะดีหรือร้าย หรือต้องเดินเข้าคุกจากการที่ศาลอาญาถอนประกันตัวชั่วคราวหรือไม่ ก็คงได้รู้กันในวันนั้นอย่างแน่นอน

สำหรับ 5 แกนนำ นปช.ที่ว่านั้นประกอบด้วย จตุพร พรหมพันธุ์, วีระกานต์ มุสิกพงศ์, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, เหวง โตจิราการ และ นิสิต สินธุไพร โดยพวกเขาถูกอัยการฝ่ายคดีพิเศษยื่นคำร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนประกันตัวชั่วคราว เนื่องจากเห็นว่าพวกเขาทำผิดเงื่อนไขการประกันตัวก่อนหน้านี้

ที่ผ่านมาเดิมศาลอาญาได้กำหนดนัดไต่สวนพยานหลักฐานจากทั้งสองฝ่ายในวันที่ 18 มกราคมปีหน้า แต่ศาลก็ได้ร่นเวลาเข้ามาในวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา และได้นัดฟังคำสั่งในวันที่ 11 ตุลาคมนี้ซึ่งเป็นวันชี้ชะตาของพวกเขาว่าจะต้องเดินเข้าคุกในคดีก่อการร้ายหรือไม่

แน่นอนว่าการเดินขึ้นศาล มีคดีติดตัวคงไม่ใช่เรื่องปลอดโปร่งหรือสนุกนักสำหรับทุกคน เพราะมันหมายถึงอิสรภาพ แม้ว่าสำหรับคนพวกนี้หากโชคร้ายเกิดขึ้นสถานะภายในคุกคงจะไม่เหมือนกับอีกหลายคนก็ตาม แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่ามันเป็นเรื่องที่หากหลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง

สำหรับสาเหตุการยื่นคำร้องขอเพิกถอนประกันในครั้งนี้สืบเนื่องมาจากมีการระบุว่า บรรดาคนพวกนี้กระทำผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว (ประกันตัว) และทางอัยการได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาว่า 5 แกนนำ นปช.มีพฤติกรรมและการกระทำผิดเงื่อนไขการให้ประกันตัวชั่วคราวหลายกรรมหลายวาระ มีการเผยแพร่ทางสื่อต่างๆ จนเป็นเหตุให้ต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวดังกล่าว

จตุพร พรหมพันธุ์ เคยเปิดเผยว่า ในคำร้องอ้างเหตุการณ์กระทำที่ผิดเงื่อนไขการประกันตัวใน 3 กรณี ประกอบด้วย มีการพูดประชดประชันรัฐบาล คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำการคุกคามกระบวนการยุติธรรมขั้นต้น และดูหมิ่น เหยียดหยามผู้อื่นให้เสื่อมเสียหรือหวั่นเกรงให้เกิดอันตราย โดยพฤติกรรมเหล่านี้ เป็นการปลุกปั่น ยั่วยุ ปลุกระดมก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง

โดยข้ออ้างการพูดประชดประชันรัฐบาล คสช.ในคำร้องระบุว่า เขาพูดเสียดสี ไม่พอใจ ประชดประชัน เบี่ยงเบน บิดเบือน การปฏิบัติหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในกรณีก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ที่ส่อให้เกิดความคลางแคลงใจกับการเรียกจ่ายค่าหัวคิวจากเงินบริจาค รัฐบาลเพิกเฉย ถ่วงรั้งมติของมหาเถรสมาคมในการแต่งตั้งสังฆราชองค์ใหม่

นอกจากนี้ คำร้องยังอ้างคำพูดดูหมิ่น เหยียดหยามผู้อื่นมายื่นถอนประกันด้วย โดยอ้างว่า ดูหมิ่นพุทธะอิสระ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ที่รับผิดชอบการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ดูหมิ่น พล.ต.จุลเจิม ยุคล ที่เสนอให้ใช้ผู้หญิงโคโยตี้เข้าสลายม็อบพระ และยังดูหมิ่น พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคณะสงฆ์ปี 2535 กรณีไม่เสนอแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช

“ในคำร้องขอให้เพิกถอนการประกันตัวชั่วคราว กล่าวโดยรวมว่าแกนนำ นปช.ทั้ง 5 คนได้กล่าวใส่ความ ให้ร้ายผู้อื่น ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และได้เผยแพร่ต่อสาธารณะ แสดงเพื่อก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร เป็นการละเมิด กระทบสิทธิ หรือหน้าที่ของบุคคลหรือหน่วยงานรัฐ จึงเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขการให้ประกันตัวชั่วคราวของศาล”

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากความเป็นจริงอีกด้านหนึ่งจะพบว่า ที่ผ่านมาพวกเขายังคงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล และคณะผู้นำของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการวิจารณ์กลุ่มการเมืองกลุ่มอื่น จนนำมาซึ่งการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อเพิกถอนการประกันตัวดังกล่าว แต่ที่ผ่านมาพวกเขาปฏิเสธมาโดยตลอด คราวนี่ก็เช่นเดียวกัน จตุพร พรหมพันธุ์ อ้างว่า เป็นเพียงการพูดถึงปัญหาของบ้านเมือง ไม่ได้ทำผิดเงื่อนไขแต่อย่างใด แต่ก็บอกว่าในวันที่ 11 ตุลาคมนี้ได้เตรียมพร้อมเอาไว้แบบไม่ประมาท

“ผมเตรียมตัวไปฟังคำตัดสินอย่างไม่ประมาท โดยตัดผมสั้น นำเครื่องใช้จำเป็นส่วนตัวไปด้วย

ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร แต่พวกผมพร้อมเผชิญหน้าอย่างไม่มีปัญหา หากการติดคุกเพื่อต้องการปิดปากไม่ให้พูดแล้ว คงไม่มีความหมายใดๆ เพราะยังมีคนอื่นอีกมากที่จะพูดในเรื่องราวอันเป็นปัญหาของบ้านเมือง การถูกขังคุกจึงเป็นการต่อสู้อีกรูปแบบหนึ่ง แตกต่างกันเพียงเปลี่ยนที่อยู่ชั่วคราวเท่านั้น ส่วนหลายคนหวั่นกลัวจะถูกฆ่าในคุก ก็ยิ่งเป็นชนวนไปสู่ความขัดแย้งให้มากขึ้น ผมเชื่อมั่นในความคิดเห็นที่พูดถึงปัญหาบ้านเมืองไม่ได้เป็นความผิดตามที่ถูกข้อหาถอนประกันตัว”

“ทั้งหมดนี้ ไม่ได้ตีตนไม่ก่อนไข้ แต่การถูกหลายคดี ต้องขึ้นศาลมาตลอด 10 ปี ย่อมทำให้คาดการณ์ได้ แม้ผมสูญสิ้นอิสรภาพ ถูกควบคุมตัวในคุก แต่จิตใจยังเหมือนเดิม ยังร่วมต่อสู้กับประชาชนเพื่อให้ได้ประชาธิปไตยอันถูกต้อง บทเรียนของเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 คือการสร้างความชิงชัง ปลุกระดมให้ฆ่านักศึกษาประชาชนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวหาเป็นคนเวียดนาม เป็นคอมมิวนิสต์ แล้วจับไปแขวนคอและเผาทั้งเป็นที่สนามหลวง เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดจากคนกลุ่มหนึ่งปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อ อ้างตัวเป็นคนดีแล้วประณามคนอื่นเป็นคนเลว คนชั่วที่ต้องถูกกำจัด ทำให้สังคมไทยจิตใจขาดความเป็นมนุษย์”

นั่นเป็นคำพูดล่าสุดก่อนวันที่ศาลจะชี้ชะตาเพียงไม่กี่ชั่วโมง เท่าที่ฟังดูเขาก็ยังเชื่อมั่นว่าไม่ได้ทำผิด แถมยังเชื่ออีกว่านี่คือ “แผนปิดปาก” พวกเขาเสียอีก ขณะเดียวกันยังไม่วายพูดในทำนองเหมือนกับกับการข่มขู่ปลุกระดมอีกว่า “หลายคนหวั่นกลัวว่าจะถูกฆ่าในคุก” ก็จะเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น ก็ว่ากันไป

เอาเป็นว่าในวันที่ 11 ตุลาคมนี้ อีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงนับจากนี้ก็ให้รอฟังคำสั่งจากศาลอาญาก็แล้วกันว่าหลังจากที่ได้ฟังพยานหลักฐานจากทั้งสองฝ่ายคือจากฝ่ายผู้ร้องคืออัยการ กับฝ่ายจำเลยที่จะต้องมีเหตุผลหักล้างกันทำให้ศาลเชื่อและมีคำสั่งออกมาทางใดทางหนึ่งซึ่งทุกคนก็ต้องยอมรับไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม

ขณะเดียวกัน มันก็มีอารมณ์ของสังคมภายนอกที่มีทั้งกองเชียร์และกองแช่งที่ต่างก็ลุ้นกันไปคนละทาง แต่คนที่ลุ้นระทึกที่สุดก็น่าจะเป็น 5 เกลอ นปช.แน่นอน!
กำลังโหลดความคิดเห็น