ผู้จัดการรายวัน360-ศาลอาญานัดฟังคำสั่งเพิกถอนประกัน “วีรกานต์ มุสิกพงศ์-จตุพร พรหมพันธุ์-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ-นพ.เหวง โตจิราการ-นิสิต สินธุไพร” 5 แกนนำ นปช. วันที่ 11 ต.ค.นี้ ฐานพูดออกทีวียุยงปลุกปั่น ดูหมิ่นผู้อื่นเมื่อปี 58 และผิดเงื่อนไขปล่อยตัวชั่วคราวคดีก่อการร้าย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.30 น.วานนี้ (3 ก.ย.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดภิเษก ศาลนัดไต่สวนคำร้องที่อัยการยื่นขอให้ศาลพิจารณามีคำสั่งเพิกถอนการประกันตัวนายวีระ หรือนายวีรกานต์ มุสิกพงศ์ , นายจตุพร พรหมพันธุ์ , นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ , นพ.เหวง โตจิราการ และนายนิสิต สินธุไพร รวม 5 คน ซึ่งเป็นจำเลยร่วมแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในคดีก่อการร้าย หมายเลขดำ อ.2542/2553 ที่ยังอยู่ระหว่างการสืบพยานโจทก์ และเมื่อปี 2558 จำเลยทั้ง 5 คนได้กล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์ใส่ความให้ร้ายผู้อื่นไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และได้เผยแพร่ต่อสาธารณะ แสดงเพื่อก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร เป็นการละเมิด กระทบสิทธิ หรือหน้าที่ของบุคคล หรือหน่วยงานรัฐ จึงเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขการให้ประกันตัวชั่วคราวของศาล
โดยนายจตุพร และแกนนำทั้ง 5 คน เดินมาศาลพร้อมกับคนเสื้อแดงและแกนนำคนอื่นๆ ที่มาให้กำลังใจเกือบ 30 คน
นายจตุพรกล่าวก่อนเข้าห้องพิจารณาว่า กรณีนี้สืบเนื่องจากอัยการสำนักงานคดีพิเศษได้ยื่นถอนประกันตัว โดยการร้องของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งสาระสำคัญในเอกสารการยื่นถอนประกันตัว รวม 32 หน้านั้น ตนและคณะแกนนำ นปช. เห็นว่าไม่น่าจะเข้าข่ายเงื่อนไขการถอนประกันตัว เพราะทางดีเอสไอและอัยการได้รับคำร้องส่วนหนึ่งมาจากหลวงปู่พุทธะอิสระซึ่งเป็นจำเลยคดีก่อการร้ายและคดีอื่นหลายข้อหา ซึ่งเป็นเวลานานกว่า 2 ปี แล้วยังก็ไม่ได้ส่งฟ้องต่อศาล โดยกลุ่ม กปปส.ถูกดำเนินคดีทั้งหมด 58 คน รวม 9 ข้อหา แต่มีเพียง 4 คนเท่านั้นที่ถูกจับกุมขณะที่มีหมายจับและคดีมาถึงศาล
ทั้งนี้ เอกสารการเพิกถอนการประกันตัว ระบุว่า เหตุการณ์ที่เข้าข่ายยุยงปลุกปั่นและดูหมิ่นผู้อื่นนั้น เริ่มมาตั้งแต่ ปี 2558 ขอย้ำอีกครั้งว่าพวกตนถูกดำเนินคดีข้อหาก่อการร้าย ซึ่งถ้าหากมีการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายตามเงื่อนไขของศาล ตั้งแต่ปี 2558 จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เกิดความวุ่นวายใดๆ เพราะพวกตนได้เตือนสติพี่น้องประชาชนว่าให้ใช้ความอดทนอดกลั้นเหมือนดูหนังในโรงหนังไม่จบอย่าเพิ่งลุกขึ้นออกจากโรง ตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปี หลังจากจากการยึดอำนาจพวกผมก็อยู่อย่างสงบ ประเด็นต่อมาถ้าเรื่องนี้เป็นความผิดข้อหายุยงปลุกปั่น ถามว่าทำไมดีทั้งเอสไอและอัยการไม่ดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา หรือถ้าเป็นการดูหมิ่นผู้ใด ก็สามารถใช้สิทธิดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาทได้เช่นกัน แต่กลับใช้ช่องทางเพิกถอนการประกันพวกตนและแกนนำนปช.ทั้ง 5 คน
นายจตุพร กล่าวอีกว่า ที่ตนมาศาล เพราะเชื่อมั่นในความยุติธรรม ที่ผ่านมา ก็เคยถูกยื่นคำร้องถอนประกัน แต่ครั้งนี้ตนและทนายความได้ดูเอกสารคำร้องขอถอนประกันแล้วเห็นว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับคดีก่อการร้าย จึงหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรม ทั้งหมดขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลว่าจะวินิจฉัยอย่างไร ส่วนพยานหลักฐานที่จะเบิกความหากมีการไต่สวนนั้น อัยการโจทก์ได้เตรียมพยานไว้ 7 ปาก ส่วนตนและคณะซึ่งเป็นผู้ถูกร้อง ก็ได้เตรียมตัวเพื่อที่จะตอบข้อเท็จจริง ซึ่งไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อน เพราะเนื้อหาทั้งหมด ไม่ได้กระทำผิดเงื่อนไขการประกันตัวและไม่ได้ถูกดำเนินคดีจากข้อกล่าวหาว่ายุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายและดูหมิ่นผู้อื่นแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวถามว่าถ้าหากแกนนำนปช.จะต้องเข้าไปอยู่เรือนจำอีกจะทำอย่างไร นายจตุพร กล่าวว่า มีความพยายามอธิบายกับสังคมไทยที่จะจัดการทุกฝ่าย ซึ่งนายสนธิก็โดนแล้ว ลูกคุณสุเทพ ก็โดนแล้ว แต่ทั้งสองคนนั้นไม่ได้เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมือง เป็นเรื่องการใช้เอกสารกู้แบงก์ที่ไม่ถูกต้อง และการบุกรุกป่าสงวน ซึ่งตนไม่มีคดีเหล่านั้น มีแต่ความผิดในข้อหาทางการเมืองอย่างเดียว
ด้าน พ.อ.บุรินทร์ ทองประไผ เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย คสช ระบุว่า ตนเดินทางมาในฐานะพยานฝ่ายโจทย์ พร้อมเตรียมหลักฐานการฝ่าฝืนเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวมาให้ศาลพิจารณา และย้ำว่า การที่นายจตุพรอ้างว่าคดีก่อการร้ายกับคดียุยงปลุกปั่นอยู่คนละส่วนกันนั้น ขอยืนยันว่าการกระทำของนายจตุพรและพวกทั้งหมดอยู่ในเงื่อนไขเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ภายหลังนายจตุพรได้แถลงต่อศาลยอมรับว่าได้จัดรายการดังกล่าวทางโทรทัศน์จริง ศาลจึงเห็นว่าพยานหลักฐานที่เป็นวีซีดีและหลักฐานประกอบเพียงพอสามารถวินิจฉัยได้ โดยจะใช้เวลา 1 สัปดาห์ และไม่จำเป็นต้องไต่สวนพยานอีก ศาลจึงนัดฟังคำสั่งเพิกถอนประกันตัวหรือไม่ ในวันที่ 11 ต.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.30 น.วานนี้ (3 ก.ย.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดภิเษก ศาลนัดไต่สวนคำร้องที่อัยการยื่นขอให้ศาลพิจารณามีคำสั่งเพิกถอนการประกันตัวนายวีระ หรือนายวีรกานต์ มุสิกพงศ์ , นายจตุพร พรหมพันธุ์ , นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ , นพ.เหวง โตจิราการ และนายนิสิต สินธุไพร รวม 5 คน ซึ่งเป็นจำเลยร่วมแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในคดีก่อการร้าย หมายเลขดำ อ.2542/2553 ที่ยังอยู่ระหว่างการสืบพยานโจทก์ และเมื่อปี 2558 จำเลยทั้ง 5 คนได้กล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์ใส่ความให้ร้ายผู้อื่นไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และได้เผยแพร่ต่อสาธารณะ แสดงเพื่อก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร เป็นการละเมิด กระทบสิทธิ หรือหน้าที่ของบุคคล หรือหน่วยงานรัฐ จึงเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขการให้ประกันตัวชั่วคราวของศาล
โดยนายจตุพร และแกนนำทั้ง 5 คน เดินมาศาลพร้อมกับคนเสื้อแดงและแกนนำคนอื่นๆ ที่มาให้กำลังใจเกือบ 30 คน
นายจตุพรกล่าวก่อนเข้าห้องพิจารณาว่า กรณีนี้สืบเนื่องจากอัยการสำนักงานคดีพิเศษได้ยื่นถอนประกันตัว โดยการร้องของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งสาระสำคัญในเอกสารการยื่นถอนประกันตัว รวม 32 หน้านั้น ตนและคณะแกนนำ นปช. เห็นว่าไม่น่าจะเข้าข่ายเงื่อนไขการถอนประกันตัว เพราะทางดีเอสไอและอัยการได้รับคำร้องส่วนหนึ่งมาจากหลวงปู่พุทธะอิสระซึ่งเป็นจำเลยคดีก่อการร้ายและคดีอื่นหลายข้อหา ซึ่งเป็นเวลานานกว่า 2 ปี แล้วยังก็ไม่ได้ส่งฟ้องต่อศาล โดยกลุ่ม กปปส.ถูกดำเนินคดีทั้งหมด 58 คน รวม 9 ข้อหา แต่มีเพียง 4 คนเท่านั้นที่ถูกจับกุมขณะที่มีหมายจับและคดีมาถึงศาล
ทั้งนี้ เอกสารการเพิกถอนการประกันตัว ระบุว่า เหตุการณ์ที่เข้าข่ายยุยงปลุกปั่นและดูหมิ่นผู้อื่นนั้น เริ่มมาตั้งแต่ ปี 2558 ขอย้ำอีกครั้งว่าพวกตนถูกดำเนินคดีข้อหาก่อการร้าย ซึ่งถ้าหากมีการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายตามเงื่อนไขของศาล ตั้งแต่ปี 2558 จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เกิดความวุ่นวายใดๆ เพราะพวกตนได้เตือนสติพี่น้องประชาชนว่าให้ใช้ความอดทนอดกลั้นเหมือนดูหนังในโรงหนังไม่จบอย่าเพิ่งลุกขึ้นออกจากโรง ตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปี หลังจากจากการยึดอำนาจพวกผมก็อยู่อย่างสงบ ประเด็นต่อมาถ้าเรื่องนี้เป็นความผิดข้อหายุยงปลุกปั่น ถามว่าทำไมดีทั้งเอสไอและอัยการไม่ดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา หรือถ้าเป็นการดูหมิ่นผู้ใด ก็สามารถใช้สิทธิดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาทได้เช่นกัน แต่กลับใช้ช่องทางเพิกถอนการประกันพวกตนและแกนนำนปช.ทั้ง 5 คน
นายจตุพร กล่าวอีกว่า ที่ตนมาศาล เพราะเชื่อมั่นในความยุติธรรม ที่ผ่านมา ก็เคยถูกยื่นคำร้องถอนประกัน แต่ครั้งนี้ตนและทนายความได้ดูเอกสารคำร้องขอถอนประกันแล้วเห็นว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับคดีก่อการร้าย จึงหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรม ทั้งหมดขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลว่าจะวินิจฉัยอย่างไร ส่วนพยานหลักฐานที่จะเบิกความหากมีการไต่สวนนั้น อัยการโจทก์ได้เตรียมพยานไว้ 7 ปาก ส่วนตนและคณะซึ่งเป็นผู้ถูกร้อง ก็ได้เตรียมตัวเพื่อที่จะตอบข้อเท็จจริง ซึ่งไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อน เพราะเนื้อหาทั้งหมด ไม่ได้กระทำผิดเงื่อนไขการประกันตัวและไม่ได้ถูกดำเนินคดีจากข้อกล่าวหาว่ายุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายและดูหมิ่นผู้อื่นแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวถามว่าถ้าหากแกนนำนปช.จะต้องเข้าไปอยู่เรือนจำอีกจะทำอย่างไร นายจตุพร กล่าวว่า มีความพยายามอธิบายกับสังคมไทยที่จะจัดการทุกฝ่าย ซึ่งนายสนธิก็โดนแล้ว ลูกคุณสุเทพ ก็โดนแล้ว แต่ทั้งสองคนนั้นไม่ได้เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมือง เป็นเรื่องการใช้เอกสารกู้แบงก์ที่ไม่ถูกต้อง และการบุกรุกป่าสงวน ซึ่งตนไม่มีคดีเหล่านั้น มีแต่ความผิดในข้อหาทางการเมืองอย่างเดียว
ด้าน พ.อ.บุรินทร์ ทองประไผ เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย คสช ระบุว่า ตนเดินทางมาในฐานะพยานฝ่ายโจทย์ พร้อมเตรียมหลักฐานการฝ่าฝืนเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวมาให้ศาลพิจารณา และย้ำว่า การที่นายจตุพรอ้างว่าคดีก่อการร้ายกับคดียุยงปลุกปั่นอยู่คนละส่วนกันนั้น ขอยืนยันว่าการกระทำของนายจตุพรและพวกทั้งหมดอยู่ในเงื่อนไขเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ภายหลังนายจตุพรได้แถลงต่อศาลยอมรับว่าได้จัดรายการดังกล่าวทางโทรทัศน์จริง ศาลจึงเห็นว่าพยานหลักฐานที่เป็นวีซีดีและหลักฐานประกอบเพียงพอสามารถวินิจฉัยได้ โดยจะใช้เวลา 1 สัปดาห์ และไม่จำเป็นต้องไต่สวนพยานอีก ศาลจึงนัดฟังคำสั่งเพิกถอนประกันตัวหรือไม่ ในวันที่ 11 ต.ค.นี้ เวลา 09.00 น.