เมืองไทย 360 องศา
“ทุกอย่างที่นายกฯ ยืนยันออกมาจากปากท่านว่าการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับคดีดิฉันเป็นไปตามกฎหมาย ไม่ได้กลั่นแกล้ง ก็อยากให้นายกฯ ใช้หลักคิด และให้ความเป็นธรรมกับดิฉันเหมือนที่ท่านให้ความเป็นธรรมและปกป้องน้องชายท่าน รวมทั้งคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพวกเดียวกับท่าน เพราะกฎหมายมีไว้บังคับใช้กับทุกคน ไม่ใช่เลือกปฏิบัติกับฝั่งดิฉันเพียงฝ่ายเดียว”
นั่นเป็นข้อความของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ใช้วิธีโพสต์ข้อความผ่านทางสื่อโชเชียลแพร่กระจายออกไปในวงกว้าง ในความหมายที่ต้องการสื่อออกไปทำนอง “วิงวอนขอความเป็นธรรม” กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ว่า อย่าสองมาตรฐาน ในการดำเนินคดีกับญาติใกล้ชิด (พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา) และพวกของตัวเอง
นอกจากนี้ ในแนวทางเดียวกัน ยังมีแถลงการณ์ออกมาจากพรรคเพื่อไทย จากการให้สัมภาษณ์จากเครือข่ายพวกเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นพวกแกนนำ นปช. อดีต ส.ส. พรรคเพื่อไทย ทีมกฎหมายทนายความ ต่างพร้อมใจกันออกมาร้องขอความเป็นธรรม โวยวาย หรือโจมตี ทำนองว่า มีเจตนาทำลายล้างทางการเมือง กลั่นแกล้งหรือบางครั้งไปไกลถึงขั้นที่ว่า “การทำลายยิ่งลักษณ์ก็คือการทำลายประชาธิปไตย” ไปโน่น
คำพูดที่ปรุงแต่งสวยหรูที่ว่า “ถ้าคนอย่างอดีตนายกฯยังไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือถูกกลั่นแกล้งแบบนี้แล้ว ชาวบ้าน (ตาดำ ๆ) ทั่วไปจะมีหลักประกันได้อย่างไร (เล่า) ได้ยินแล้วแทบน้ำตาไหล เพราะสงสารจับใจ เหมือนกับว่า พวกเขาเท่านั้นที่ถูกกระทำอยู่ข้างเดียวอะไรประมาณนั้น
ดังนั้น หากใครจับต้นชนปลายไม่ถูก เพิ่งเข้ามาฟังกันเอาในตอนนี้ รับรองว่า ต้องไขว้เขวเกิดอารมณ์ไปอีกทางก็เป็นได้ เพราะหากพิจารณากันแบบตัดตอนแบบไม่ต้องพิจารณาถึงที่มาที่ไป มันก็เห็นจริงที่ว่าเวลานี้มีแต่ฝ่าย ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายเท่านั้นที่ “ร่วงเหมือนใบไม้” หลายคนเริ่มทยอยเข้าคุก ถูกดำเนินคดี โดยเฉพาะ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็กำลังโดนคดีอาญาจากโครงการรับจำนำข้าวในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อยู่ในขั้นตอนการไต่สวนพยานฝ่ายจำเลย ซึ่งใกล้เสร็จสิ้นแล้ว จากนั้นก็เป็นฝ่ายโจทก์ แล้วปิดคดี เชื่อว่าอีกไม่นานก็รู้แล้วว่า “คุกหรือไม่คุก”
ขณะเดียวกัน เหมือนกับ “ความคุกยังไม่ทันหายความยึดทรัพย์ดันเข้ามาแทรกกลางอีก” เพราะหลังจากนั้นไม่นาน คดีทางแพ่งจากความเสียหายโครงการรับจำนำข้าวก็มีการสรุปตัวเลขความเสียหายออกมาจากคณะกรรมการของกระทรวงการคลัง ที่มี มนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นประธานที่ระบุให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องชดใช้ค่าเสียหายกว่า 3.57 หมื่นล้านบาท จากจำนวนความเสียหายที่ลดให้เหลือยี่สิบเปอร์เซ็นต์ แม้ว่าจะมีเสียทักท้วงออกมาว่ายังน้อยเกินไป ต้องมีจำนวนมากกว่านั้นหลายเท่านั้นก็ว่ากันไป ตรวจสอบกันต่อไป แต่เอาเป็นว่าแค่ตัวเลขแค่นี้ จำนวนหลักหมื่นล้านบาทรับรองว่า เป็นใครก็ต้องอ้วกแน่นอน เพราะถ้าไม่จ่ายหรือไม่มีจ่ายหรือจ่ายไม่ครบก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยึดทรัพย์ ซึ่งก็มีความเสียหายแถมตามมาอีก นั่นคือ ขาดคุณสมบัติทางการเมือง “แบบถาวร” ตลอดชีวิต ไม่ต่างจากถูก “ประหารชีวิตทางการเมือง” นั่นแหละ
ยัง ยังไม่พอ เธอยังโดนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบสวนตามมาอีก 15 คดี แบบนี้จะไม่เรียกว่าอ่วมกับอ้วกแล้วจะเรียกว่าอะไร เพราะในบทสรุปข้างหน้าล้วนหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่คนอย่างเธอจะรับไหว ไม่ว่าเธอหรือใครมีสติปัญญาหรือไม่ก็ตาม
แต่อีกด้านหนึ่งมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะถูกนำมาเบี่ยงเบนให้กลายเป็นเรื่องการเมืองอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้ นั่นคือ เธอถูกรังแกถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง ซึ่งก็เหมือนกับเครือข่ายเดียวกันกับเธอ นั่นคือ มีอดีต ส.ส. พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลของพวกเขาถูกตัดสินจำคุก ถูกดำเนินคดี เช่น อีกไม่กี่วันข้างหน้าในวันที่ 3 ตุลาคม ศาลอาญาก็จะนัดไต่สวนคำร้องเพิกถอนประกันตัว 5 แกนนำ นปช. ในคดีก่อการร้าย นี่ก็ลุ้นคุกอีกเช่นเดียวกัน ซึ่งก็ไม่พลาดอีกมีเสียงโวยวายคร่ำครวญว่าถูกเลือกปฏิบัติ “สองมาตรฐาน”
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาตามความเป็นจริงทุกคดีย่อมมีที่มาที่ไป มีขั้นตอน เพียงแต่ว่าคนอื่นเขาไม่โวยวาย บางคนก้มหน้ายอมติดคุก เพราะเคารพในกระบวนการยุติธรรม สำหรับคดีของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับพวกของเธอ ทุกอย่างก็ย่อมเดินไปตามทางของกระบวนการยุติธรรม ย่อมต้องไปจบลงที่ศาลให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด แต่ขณะเดียวกัน ในเวลานี้ที่น่าจับตา ก็คือ เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองใกล้ตาย ก็อาจใช้แผนจุดระเบิดเพื่อหวังให้ตายตกไปตามกัน ซึ่งอันตรายเหมือนกันหากเกิดกรณีแบบนี้ขึ้นมาจริง ๆ
ดังนั้น ในเวลานี้ก็ต้องจับตาความเคลื่อนไหวของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเครือข่ายที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้เข้าข่ายปลุกระดมให้เกิดความปั่นป่วนตามมาหรือไม่ เพราะถ้าปล่อยให้สารพัดคดีเดินไปตามกระบวนการยุติธรรมแบบนี้หายนะก็มาเยือนแน่นอน !!