เมืองไทย 360 องศา
เป็นอันว่าทุกอย่างนับถอยหลังเข้ามาทุกทีแล้ว สำหรับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่สารพัดคดีเริ่มเข้าใกล้บทสรุป หรือทยอยสรุปกันมาเรื่อย ๆ แล้ว และเมื่อพิจารณาจากความผิด และความเสียหายก็ต้องบอกว่าเป็นใครก็ต้องขวัญผวา นอนไม่หลับกันทั้งคืน
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้จะได้เห็นความเคลื่อนไหวแบบร้อนรน นั่งไม่ติด ไม่ว่าจะเป็นเจ้าตัวและบรรดาลูกน้องบริวาร เพราะงานนี้มันมีผลต่อชะตาชีวิตในอนาคตอันใกล้ มีลุ้นทั้งคุกตะราง และถูกยึดทรัพย์ รับรองว่าไม่ว่าใครหากเจอชะตากรรมแบบนี้ มันก็ต้องเป็นทุกข์กันทั้งนั้น เพราะอย่างน้อยมันก็เหมือนกับมีชนักปักคาหลังเอาไว้แบบนี้อีกนานนับปี
เอาแค่เรื่องใหญ่เรื่องแรกที่เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว ที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังเผชิญอยู่ แค่เรื่องเดียวก็อ้วกแล้ว เพราะมีทั้งคดีอาญา และคดีที่เกี่ยวกับทางแพ่ง คดีอาญานั้นเวลานี้ได้เดินมาไกลพอสมควรแล้ว ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กำลังอยู่ในขั้นไต่สวนพยานฝ่ายจำเลย จากนั้นก็จะเป็นฝ่ายโจทก์ ซึ่งศาลแบบนี้ใช้เวลาไม่นานมากก็จะแถลงปิดคดี แล้วพิพากษาตัดสินว่าคุก หรือไม่คุก แค่นี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าจะรับไหวแล้ว
นี่ยังโดนคดีทางแพ่งในโครงการเดียวกันที่เพิ่งสรุปตัวเลขความเสียหายออกมา โดย มนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง ประธานคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง กระทรวงการคลัง ได้สรุปตัวเลขความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ในฤดูกาลปี 56/57 วงเงิน 1.8 แสนล้านบาท โดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ต้องรับผิดชอบเฉพาะตัวเพียงผู้เดียวในสัดส่วนร้อยละ 20 หรือ 35,717 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 80 ที่ต้องรับผิดทางแพ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรับไปพิจารณาต่อไป และมีอายุความ 10 ปี คือตั้งแต่ ปี 2554 - 2564
แม้ว่าจะมีคนทักท้วงว่า “จ่ายน้อยไปหน่อย” ก็เถอะ ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการ แต่ถึงอย่างไรเมื่อพิจารณาแค่ตัวเลขที่เพิ่งออกมาจากคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งของกระทรวงการคลัง ที่สรุปตัวเลขที่เธอต้องชดใช้เป็นเงินกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท มันน้อยเสียเมื่อไหร่ และไม่ว่าจะพยายามยื้ออย่างไร แต่มันก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย มีกรอบเวลาของมัน ที่สำคัญ กระบวนการเข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาลแล้ว มันจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้ยาก แม้ว่าในอนาคตจะเกิดปาฏิหาริย์ ว่าพรรคเพื่อไทยของเธอจะชนะการเลือกตั้ง กวาดที่นั่ง ส.ส. ทั้งสภา มันก็พลิกยากแน่นอน
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาเฉพาะในความเสียหายทางแพ่ง ที่บังคับให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องชดใช้กว่าสามหมื่นห้าพันล้านบาท ตามขั้นตอนแล้วหากถึงที่สุดเธอไม่จ่าย หรือมีเงินไม่พอจ่าย ก็ต้องยึดทรัพย์ ฟ้องล้มละลาย ซึ่งนั่นจะมีผลกระทบเลยเถิดตามมาอย่างใหญ่หลวง ในแบบที่ว่าสุดที่จะคาดคิด ไม่ว่าใครจะมีมันสมองฉลาดระดับไหน หากเจอสภาพแบบนี้อาจถึงขั้น “สติแตก” กันได้ง่าย ๆ
นี่เอากันแค่เรื่องเดียว คือ ความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวก็อ๊วกแล้ว ยังมีอีกราว 15 คดี ที่ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำลังเดินเครื่องสอบ แต่ละเรื่องล้วนน่ากลัวทั้งนั้น ยิ่งประธานคณะอนุกรรมการสอบสวนอย่าง สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเคยเป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง ที่เคยเป็นประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว และเป็นต้นตอเริ่มแรก จนนำไปสู่การฟ้องร้องและการเรียกค่าเสียหายในเวลานี้
ดังนั้น ในจำนวน 15 คดี ที่อยู่ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดันเป็นคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของ สุภา ปิยะจิตติ ถึงจำนวน 5 - 6 คดี โดยมีการชี้แจงว่า เป็นเพราะเธอรับผิดชอบคดีที่เกี่ยวกับการทุจริตของฝ่ายการเมือง มันก็เลยโป๊ะเชะพอดี ขณะเดียวกัน ก็อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้มีการเคลื่อนไหวกันทุกวิถีทางออกมาจากฝ่ายพรรคเพื่อไทย และเครือข่ายของ ทักษิณ ชินวัตร มีการกล่าวหา และดิสเครดิต สุภา ทำนองว่า “เป็นคู่ขัดแย้ง” จะทำให้ไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งก็มีสิทธิ์คัดค้านได้ แต่จะสำเร็จแค่ไหน ก็ต้องรอลุ้นเอา เพราะอีกด้านหนึ่งภาพในทางสังคมกลับมองว่า สุภา ปิยะจิตติ เป็นคน “ตงฉิน” น่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ดี ในทางกฎหมายก็มีการเปิดโอกาสให้ร้องเรียนขอความเป็นธรรมได้ ซึ่งก็ต้องมีการสอบสวนมีการพิจารณาชี้แจงตามขั้นตอนกันต่อไป
แต่เท่าที่มองเห็นในเวลานี้ ฝ่าย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เริ่มนั่งไม่ติด เพราะหลายคดีเริ่มลนก้นเข้ามาทุกที นี่ว่ากันเฉพาะ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เป็นหัวขบวน ยังตามมาอีกเท่าที่เห็นรำไรก็มี “คดีเงินกู้ธนาคารกรุงไทย” ที่เริ่มเข้าใกล้ พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายของ ทักษิณ ชินวัตร อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะตามข่าวบอกว่าใกล้จะสรุปแล้วเหมือนกัน และยังมีคนในเครือข่ายอีกหลายคน ที่คดีเริ่มเข้ากระบวนการยุติธรรม บางคดีเพิ่งสรุปสำนวนส่งฟ้อง หลายคดีอยู่ในศาลแล้ว ที่น่าจับตาก็คือ ในวันที่ 3 ตุลาคมนี้ ศาลอาญานัดไต่สวนพิจารณาว่า จะถอนประกันตัว 5 นปช. ที่มีทั้ง จตุพร พรหมพันธุ์ วีระกานต์ มุสิกพงศ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เหวง โตจิราการ และ นิสิต สินธุไพร โดยร่นเวลามาจากวันที่ 18 มกราคม ปีหน้า นี่ก็ต้องลุ้นจนขึ้นสมองเลยทีเดียว ว่าจะคุกหรือไม่
แน่นอนว่า หากพิจารณากันโดยเผิน ๆ อาจดูเหมือนว่ามีการเลือกปฏิบัติ กลั่นแกล้ง หรือสองมาตรฐานอะไรก็แล้วแต่ แต่ในความเป็นจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ก็คือ ทุกกรณี ทุกคดี ล้วนมีที่มาที่ไป มีสาเหตุทั้งสิ้น คงไม่ใช่จู่ ๆ จะเกิดบทสรุปเป็นแบบนี้ แต่เป็นเพราะผลมาจากเหตุ หรือ “ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม” เพียงแต่ว่าทุกอย่างที่ผ่านมาอาจมีกระบวนการบางอย่าง บดบัง หรือปกปิดเอาไว้ โดยมั่นใจว่าตัวเองมีอำนาจ จนหลงไปว่าไม่มีทางมีวันนี้เกิดขึ้นได้
ขณะเดียวกัน อีกมุมหนึ่งเมื่อผลกระทบที่ออกมาในลักษณะ “อาฟเตอร์ช็อก” แบบนี้ มันก็น่ากลัวเหมือนกันว่าพวกเขาจะทำทุกทางเพื่อดับเครื่องชน เพราะมีแต่เสี่ยงด้วยวิธีการอย่างที่เคยทำ โดยเฉพาะการปลุกระดมมวลชนอาจถูกนำมาใช้อีก เพียงแต่ว่าเมื่อสถานการณ์และบรรยากาศเปลี่ยนไปแล้ว มันจะได้ผลอีกหรือไม่ ก็ต้องจับตาดูหรือว่านี่อาจเป็นตัวเร่งให้จบเร็วขึ้นหรือเปล่า !!