เมืองไทย 360 องศา
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ตอกย้ำให้เห็นถึงความล้มเหลว หรือการแก้ไม่ตกกับปัญหาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลทหาร ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้ว่าจะผ่านมากว่า 2 ปี 6 เดือน หากนับต่อเนื่องมาตั้งแต่การรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และต่อเนื่องในรูปของรัฐบาล สถานการณ์ในเรื่องค่าครองชีพก็ยังคงสูงขึ้นเรื่อย ๆ สวนทางกับรายได้ โดยเฉพาะรายได้ของคนส่วนใหญ่ที่เป็นเกษตรกร ผ่านมาเกือบสามปี หรือล่วงเข้าเวลาสามปีแล้ว พบว่า ราคาสินค้าเกษตรักทุกรายการตกต่ำลงเรื่อย ๆ
ราคาสินค้าการเกษตรหลักๆ เช่น ข้าว ที่เวลานี้ราคาตกต่ำอย่างน่าใจหาย จนน่าเป็นห่วงว่าเมื่อข้าวนาปีที่กำลังประดังออกมาในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าจะซ้ำเติมราคาให้ตกต่ำไปอีกแค่ไหน อีกทั้งการส่งออกกลับกลายเป็นว่าไม่ดีขึ้นเลย ส่วนเรื่องยางพารานั้นไม่ต้องพูดถึง หมดหวังไปตั้งนานแล้ว ทุกวันนี้ชาวสวนยางได้แต่รอรับชะตากรรม หรือไม่ก็จำเป็นต้องปรับตัวใหม่ เปลี่ยนอาชีพใหม่เพื่อเอาตัวรอดกันไปมากแล้ว หรือแม้แต่ราคาปาล์มน้ำมัน ก็แทบไม่น่าเชื่อว่าราคาในตลาดก็ยังตกต่ำ ทั้งที่น่าเป็นพืชที่มีทางออกหลายทาง
คำอธิบายจากฝ่ายรัฐบาล และจากปากของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ย้ำอยู่ตลอดเวลาว่า สาเหตุมาจาก “ตลาดโลก” ที่ซบเซายังไม่ฟื้น หรือประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ก็ไม่ได้ดีกว่าเรา ในทางตรงข้ามอาจแย่กว่าประเทศเราเสียอีก ประมาณว่า ของเราได้แค่นี้ถือว่ายอดแล้ว
แม้ว่าการอธิบายดังกล่าวอาจจะฟังขึ้นหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อผลที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า นั่นคือ ค่าครองชีพยังสูงขึ้นต่อเนื่อง ราคาสินค้าแพงไม่หยุด โดยเฉพาะปัญหาที่เรียกว่า “ปัญหาปากท้อง” มันหนักหนาสาหัสอยู่ทุกวัน มันก็น่าเป็นห่วงว่าชาวบ้านเขาจะเข้าใจหรือไม่
สิ่งที่ยืนยันว่า เสียงวิจารณ์เรื่องค่าครองชีพสูง ข้าวของแพง โดยเฉพาะราคาสินค้าประเภทอุปโภคบริโภค และอาหารประเภทจานด่วนที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ต้องฝากท้องพึ่งพาประจำวัน ผลสำรวจต่อไปนี้สามารถยืนยันได้ อีกทั้งนี่เป็นผลสำรวจของกระทรวงพาณิชย์นั่นเอง
โดยมีรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ ว่า จากการสำรวจราคาสินค้าอาหารบริโภคในช่วง 9 เดือนของปี 2559 (ม.ค.- ก.ย.) โดยกองสารสนเทศและดัชนีเศรษฐกิจการค้า ซึ่งเป็นหน่วยงานสำรวจดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศ (เงินเฟ้อ) พบว่า ประชาชนยังคงต้องบริโภคอาหารที่แพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการซื้ออาหารมาทำกินเองที่บ้าน เพราะวัตถุดิบในการปรุงอาหารราคาปรับตัวสูงขึ้น หรือการออกไปบริโภคอาหารนอกบ้านตามร้านอาหาร ภัตตาคาร หรือตามร้านค้าทั่วไปทั้งในตลาดและริมถนน เพราะพ่อค้าแม่ค้ามีการปรับราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน
สำหรับราคาอาหารบริโภคในบ้านและนอกบ้านที่เพิ่มขึ้น มีผลสำรวจยืนยันชัดเจน โดยเดือน ม.ค. อาหารบริโภคในบ้าน เพิ่มขึ้น 0.65% นอกบ้าน เพิ่ม 1.06% เดือน ก.พ. ในบ้าน เพิ่ม 0.55% นอกบ้าน เพิ่ม 0.76% เดือน มี.ค. ในบ้าน เพิ่ม 0.95% นอกบ้าน เพิ่ม 0.70% เดือน เม.ย. ในบ้านเพิ่ม 1.07% นอกบ้าน เพิ่ม 0.94% เดือน พ.ค. ในบ้าน เพิ่ม 1.07% นอกบ้าน เพิ่ม 0.88% เดือน มิ.ย. ในบ้าน เพิ่ม 1.34% นอกบ้าน เพิ่ม 0.91% เดือน ก.ค. ในบ้าน เพิ่ม 1.22% นอกบ้าน เพิ่ม 0.78% เดือน ส.ค. ในบ้าน เพิ่ม 1.09% นอกบ้าน เพิ่ม 1.02% และเดือน ก.ย. ในบ้านเพิ่ม 1.00% นอกบ้าน เพิ่ม 1.07%
จากผลสำรวจที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่า แม้อัตราเงินเฟ้อตั้งแต่ช่วงต้นปี จะมีการขยายตัวติดลบ แต่ก็เป็นการติดลบจากราคาน้ำมันที่ลดลง ขณะที่สินค้าหลาย ๆ รายการ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลกระทบถึงการปรับขึ้นราคาของสินค้าอาหารปรุงสำเร็จ ที่มีการปรับราคาสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจของกระทรวงพาณิชย์ที่แสดงไว้ชัดเจน
สำหรับปัญหาในการปรับขึ้นราคาอาหารปรุงสำเร็จ ผู้ประกอบการมักจะอ้างว่าวัตถุดิบราคาสูงขึ้น ซึ่งหากช่วงใดราคาเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ สูงขึ้น ก็จะมีการปรับขึ้นราคาอาหารปรุงสำเร็จในทันที หรือกรณีมีการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม ก็จะมีการปรับราคาขึ้นตามไปด้วย หรือวัตถุดิบบางอย่างสูงขึ้น ก็จะใช้เป็นเหตุผลในการปรับขึ้นราคาทันที แต่ต่อมา แม้ว่าวัตถุดิบในการปรุงอาหารจะลดลง ก็จะไม่มีการปรับลดราคาลงตาม เป็นการขึ้นแล้วขึ้นเลยแบบถาวรนั่นเอง
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่แม้ผลสำรวจความเห็นของประชาชนที่ออกมาทุกครั้งจะให้คะแนนในเรื่องการรักษาความสงบ เรื่องความมั่นคงสอบผ่านด้วยคะแนนสูง แต่พอถามเรื่องการแก้ปัญเศรษฐกิจปากท้อง ก็ได้รับคำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่ผ่าน จนกลายเป็นเรื่องเศรษฐกิจยังเป็นจุดอ่อน
เป็นจุดอ่อนที่เหมือนกับว่า “รอวันปะทุ” มองอีกมุมหนึ่งมันอาจเหมือน “ระเบิดเวลา” ซ่อนอยู่ภายใน นั่นคือ หากเกิดปัญหาอะไรเกิดขึ้นซ้ำซ้อน เช่น เรื่องอื้อฉาว หรือเรื่องทุจริต ขาดธรรมาภิบาลขึ้นมา เมื่อนั้นก็จะกลายเป็นเรื่องผสมโรง ซึ่งหากสังเกตให้ดีจะพบว่าในช่วงนี้และต่อไปข้างหน้า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มประสบมรสุมแบบเล็ก ๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว ถูกจับตามากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน หากเปรียบเทียบเมื่อปีที่แล้วหรือแม้แต่ในช่วงต้นปีนี้
ดังนั้น เรื่องปากท้อง เรื่องเศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ชาวบ้านทุกคนสัมผัสได้ ซึ่งในที่นี้ยังหมายถึง “ความรู้สึก” อีกด้วย ตราบใดที่ชาวบ้านยังรู้สึกว่า “ของแพง” อยู่ลำบาก มันก็เป็นเรื่องใหญ่และกระทบกับเครดิตของรัฐบาลและผู้นำ
อย่าได้แปลกใจที่ระยะหลังฝ่ายตรงข้าม อย่างพวกเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร ต่างดาหน้าออกมาเยาะเย้ยในเรื่องดังกล่าวแบบถี่ยิบมากขึ้น มันก็เหมือนกับการตอกลิ่มเข้าไปในหัวใจชาวบ้าน ซึ่ง รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จยังแก้ไม่ตกเสียด้วย จนกลายเป็นจุดอ่อนแบบถาวรไปแล้ว !!