เมืองไทย 360 องศา
แน่นอนว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาบรรดา 5 แกนนำ นปช.ที่แอบอ้างตัวเองว่าเป็นนักประชาธิปไตยจ๋า จะต้องนอนไม่หลับ คิดจนสับสนว่าศาลอาญาจะเพิกถอนประกันในคดีก่อการร้าย ตามที่ฝ่ายอัยการยื่นคำร้องให้ศาลพิจารณาหรือเปล่า ซึ่งศาลกำหนดนัดเอาไว้ในวันที่ 3 ตุลาคม
หากทบทวนความจำจะได้รู้ว่ามีใครบ้างที่ต้องชะตากรรมลุ้นคุกไม่คุกวันนี้ ในจำนวน 5 คนดังกล่าว ประกอบด้วย จตุพร พรหมพันธุ์, วีระกานต์ มุสิกพงศ์, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, เหวง โตจิราการ และ นิสิต สินธุไพร
สำหรับสาเหตุการยื่นคำร้องขอเพิกถอนประกันในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากมีการระบุว่าบรรดาคนพวกนี้กระทำผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว (ประกันตัว) และทางอัยการได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา ว่า 5 แกนนำ นปช.มีพฤติกรรมและการกระทำผิดเงื่อนไขการให้ประกันตัวชั่วคราวหลายกรรม หลายวาระ มีการเผยแพร่ทางสื่อต่างๆ จนเป็นเหตุให้ต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวดังกล่าว
จตุพร พรหมพันธุ์ เปิดเผยว่า ในคำร้องอ้างเหตุการณ์กระทำที่ผิดเงื่อนไขการประกันตัวใน 3 กรณี ประกอบด้วย มีการพูดประชดประชันรัฐบาล คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำการคุกคามกระบวนการยุติธรรมขั้นต้น และดูหมิ่น เหยียดหยามผู้อื่นให้เสื่อมเสีย หรือหวั่นเกรงให้เกิดอันตราย โดยพฤติกรรมเหล่านี้เป็นการปลุกปั่น ยั่วยุ ปลุกระดมก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง
โดยข้ออ้างการพูดประชดประชันรัฐบาล คสช.ในคำร้องระบุว่า เขาพูดเสียดสี ไม่พอใจ ประชดประชัน เบี่ยงเบน บิดเบือน การปฏิบัติหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในกรณีก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ที่ส่อให้เกิดความคลางแคลงใจกับการเรียกจ่ายค่าหัวคิวจากเงินบริจาค รัฐบาลเพิกเฉย ถ่วงรั้งมติของมหาเถรสมาคมในการแต่งตั้งสังฆราชองค์ใหม่
นอกจากนี้ คำร้องยังอ้างคำพูดดูหมิ่น เหยียดหยามผู้อื่นมายื่นถอนประกันด้วย โดยอ้างว่าดูหมิ่นพระพุทธะอิสระ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ที่รับผิดชอบการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ดูหมิ่น พล.ต.จุลเจิม ยุคล ที่เสนอให้ใช้ผู้หญิงโคโยตี้เข้าสลายม็อบพระ และยังดูหมิ่น พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคณะสงฆ์ ปี 2535 กรณีไม่เสนอแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช
“ในคำร้องขอให้เพิกถอนการประกันตัวชั่วคราว กล่าวโดยรวมว่า แกนนำ นปช.ทั้ง 5 คนได้กล่าวใส่ความให้ร้ายผู้อื่น ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และได้เผยแพร่ต่อสาธารณะ แสดงเพื่อก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร เป็นการละเมิด กระทบสิทธิ หรือหน้าที่ของบุคคล หรือหน่วยงานรัฐ จึงเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขการให้ประกันตัวชั่วคราวของศาล”
แน่นอนว่า การชี้ขาดของศาลอาญาคราวนี้ มันย่อมส่งผลกระทบต่อชะตากรรมของพวกเขาอย่างรุนแรง เพราะนั่นย่อมหมายถึงอิสรภาพ ย่อมหมายถึงต้องลุ้นถึงการติดคุก หรือไม่ติดคุก มันถึงได้บอกว่า นี่คือ เรื่องใหญ่สำหรับพวกเขา และที่สำคัญนี่คือ คำชี้ขาดของศาล ที่ต้องพิจารณาตามพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยว่า ฝ่ายไหนจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันตามความเป็นจริงก็จะพบว่า ที่ผ่านมา บรรดาแกนนำ นปช. พวกนี้ยังมีความเคลื่อนไหววิพากษ์วิจารณ์โจมตี และต่อต้านรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต่างจากกลุ่มการเมืองอื่นๆ ที่หยุดการเคลื่อนไหว หรืออย่างมากก็วิพากษ์จารณ์เป็นครั้งคราว ซึ่งความแตกต่างดังกล่าวอาจเป็นเพราะกลุ่ม นปช. เป็นกลุ่มมวลชนเครือข่ายของ ทักษิณ ชินวัตร ของพรรคการเมือง และคนในครอบครัวของพวกเขา และที่ผ่านมา การเข้ามาของรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ย่อมมีผลกระทบต่ออำนาจและผลประโยชน์ของคนพวกนี้โดยตรง หลายคดี ทั้งคดีทุจริตและคดีอาญา มีการเดินหน้าตามกระบวนการ หลังจากที่บางคดีถูกมองว่าถูกยื้อถูกเก็บดองเอาไว้ ซึ่งนั่นก็ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับอำนาจรัฐที่ “ระบอบทักษิณ” ควบคุมมาอย่างต่อเนื่องนานหลายปี
หลายคดีที่กำลังเดินหน้า และบางคดีมีข้อสรุปซึ่งมีทั้งที่ศาลยกฟ้อง รอลงอาญา แต่ขณะเดียวกัน ในหลายคดีที่เป็นคดีใหญ่ที่มีความเสียหายทางแพ่งจำนวนมหาศาล ส่วนคดีอาญาก็มีอัตราโทษสูง และยังมีผลต่ออนาคตทางการเมือง เพราะคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญใหม่ ปี 2559 ที่เพิ่งผ่านการลงประชามติไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน
สรุปเอาเป็นว่า การที่พวกเขาถูกดำเนินคดีในหลายคดีย่อมมีผลสั่นสะเทือนตามอีกระลอกใหญ่ ที่เห็นได้ชัดมีบางคดีที่ระดับหัวขบวนใหญ่ เช่น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่กำลังถูกดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญา ในโครงการรับจำนำข้าว ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว รวมทั้ง พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายของ ทักษิณ ชินวัตร ก็กำลังลุ้นว่าจะถูกดำเนินคดีในกรณีเงินกู้ธนาคารกรุงไทยในอดีตหรือไม่ ซึ่งแค่สองกรณีดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เป็น “หัวใจ” สำคัญของระบอบทักษิณ กันเลยทีเดียว และนี่อาจเป็นสาเหตุสำคัญก็ได้ ที่ทำให้ต้องผลักดันให้เครือข่ายที่เป็นมวลชน คือ แกนนำ นปช.ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลรุนแรง และถี่ยิบขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเข้าข่ายผิดกฎหมาย ใน “สถานการณ์พิเศษ” แบบนี้ และนำไปสู่คำร้องการขอเพิกถอนประกันในคดีก่อการร้าย ซึ่งเป็นคดีร้ายแรง และศาลอาญานัดไต่สวนในวันที่ 3 ตุลาคมนี้
ขณะเดียวกัน ในสถานการณ์ปัจจุบันของเครือข่ายพวกนี้ พอจับอาการให้เห็นว่า กำลังอยู่ในช่วง “ขาลง” อย่างชัดเจน มันถึงทำให้ขาดพลัง ในทางตรงกันข้ามกระแสสังคมและความศรัทธาที่มีต่อฝ่ายอำนาจรัฐ โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ยังมีอยู่สูง อีกทั้งแรงสนับสนุนให้ทุกคดี ถูกนำเข้าสู่การพิจารณาชี้ขาดโดยศาลยุติธรรม ทำให้แรงกดดันผ่อนคลายลง
ดังนั้น หากพิจารณาเฉพาะอารมณ์ความรู้สึกในวันที่ 3 ตุลาคมนี้ เป็นวันที่ทั้ง 5 แกนนำ นปช. จะต้องลุ้นระทึกว่าจะผ่านหรือไม่ หากไม่ผ่านก็ต้องเดินคอตกเข้าคุกไปอย่างน้อยก็ช่วงเวลาหนึ่ง หรือหากมองในทางบวก ศาลอาจยกคำร้อง แม้จะได้เฮ แต่รับรองว่าจะต้องมีเงื่อนไขเพิ่มเติมรัดตัวให้แน่นเข้ามาอีกจนอาจขยับไม่ได้ และทำให้ขวัญเสีย แต่ถึงอย่างไรก็รอลุ้นไปพร้อมๆ กัน หวังว่าคงจะโชคดี ขณะที่อารมณ์ของชาวบ้านส่วนใหญ่ในเวลานี้น่าจะไปอีกทาง ส่วนจะไปทางไหนนั้นเมื่อสำรวจจากกระแสก็ย่อมหาคำตอบได้ไม่ยาก!