เมืองไทย 360 องศา
อาจเรียกว่าผิดคาดได้เหมือนกันสำหรับกรณีที่ศาลอาญาร่นเวลานัดไต่สวนเพื่อพิจารณาคำร้องขอถอนการประกันตัวชั่วคราวของ 5 แกนนำ นปช. อันประกอบด้วย จตุพร พรหมพันธุ์ วีระกานต์ มุสิกพงศ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เหวง โตจิราการ และ นิสิต สินธุไพร โดยศาลนัดวันที่ 3 ตุลาคม 2559 จากเดิมเคยกำหนดเอาไว้ในวันที่ 18 มกราคม 2560 โดยพวกเขาถูกดำเนินคดีในข้อหาก่อการร้าย
สำหรับสาเหตุการยื่นคำร้องขอเพิกถอนประกันในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากมีการระบุว่า บรรดาคนพวกนี้กระทำผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว (ประกันตัว) และทางอัยการได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาว่า 5 แกนนำ นปช. มีพฤติกรรมและการกระทำผิดเงื่อนไขการให้ประกันตัวชั่วคราวหลายกรรมหลายวาระ มีการเผยแพร่ทางสื่อต่าง ๆ จนเป็นเหตุให้ต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวดังกล่าว
จตุพร พรหมพันธุ์ เปิดเผยว่า ในคำร้องอ้างเหตุการณ์กระทำที่ผิดเงื่อนไขการประกันตัวใน 3 กรณี ประกอบด้วย มีการพูดประชดประชันรัฐบาล คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำการคุกคามกระบวนการยุติธรรมขั้นต้น และดูหมิ่น เหยียดหยามผู้อื่นให้เสื่อมเสีย หรือหวั่นเกรงให้เกิดอันตราย โดยพฤติกรรมเหล่านี้ เป็นการปลุกปั่น ยั่วยุ ปลุกระดมก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง
โดยข้ออ้างการพูดประชดประชันรัฐบาล คสช. ในคำร้องระบุว่า เขาพูดเสียดสี ไม่พอใจ ประชดประชัน เบี่ยงเบน บิดเบือน การปฏิบัติหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในกรณีก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ที่ส่อให้เกิดความคลางแคลงใจกับการเรียกจ่ายค่าหัวคิวจากเงินบริจาค รัฐบาลเพิกเฉย ถ่วงรั้งมติของมหาเถรสมาคมในการแต่งตั้งสังฆราชองค์ใหม่
นอกจากนี้ คำร้องยังอ้างคำพูดดูหมิ่น เหยียดหยามผู้อื่นมายื่นถอนประกันด้วย โดยอ้างว่า ดูหมิ่นพุทธะอิสระ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ที่รับผิดชอบการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ดูหมิ่น พล.ต.จุลเจิม ยุคล ที่เสนอให้ใช้ผู้หญิงโคโยตี้เข้าสลายม็อบพระ และยังดูหมิ่น พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคณะสงฆ์ปี 2535 กรณีไม่เสนอแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช
“ในคำร้องขอให้เพิกถอนการประกันตัวชั่วคราว กล่าวโดยรวมว่า แกนนำ นปช. ทั้ง 5 คน ได้กล่าวใส่ความ ให้ร้ายผู้อื่น ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และได้เผยแพร่ต่อสาธารณะ แสดงเพื่อก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร เป็นการละเมิด กระทบสิทธิ์ หรือหน้าที่ของบุคคลหรือหน่วยงานรัฐ จึงเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขการให้ประกันตัวชั่วคราวของศาล”
นั่นเป็นคำร้องของอัยการที่ระบุถึงพฤติกรรมและคำพูดของ จตุพร พรหมพันธุ์ กับพวกที่ถูกระบุว่า กระทำผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวของศาล ซึ่ง จตุพร นำมาเปิดเผยให้ทราบ และยืนยันว่า คำพูดแบบนี้ หรือพฤติกรรมที่ผ่านมาไม่ได้ผิดเงื่อนไข โดยเขาอ้างว่าเป็นแค่เพียง “วิพากษ์วิจารณ์” รัฐบาล และผู้นำรัฐบาลและผู้นำคณะรักษาความสงบแห่งชาติเท่านั้น
ความหมายก็คือคนพวกนี้ซึ่งอ้างตัวเองว่าเป็น “นักประชาธิปไตย” อ้างว่า จะต่อสู้และพิทักษ์รักษาประชาธิปไตยด้วยชีวิต ยืนยันว่า ไม่กลัวติดคุก และพร้อมที่จะพิสูจน์ความจริง ไม่หลบหนีไปไหน แม้ว่าการยื่นคำร้องขอถอนประกันพวกเขาในครั้งนี้จะทำ “เป็นกระบวนการ” มีเจตนาเพื่อทำลายปิดปากด้วยการจับขังคุก
แน่นอนว่า พวกเขาไม่ยอมรับว่าพฤติกรรมการที่ผ่าน ๆ มา ไม่ใช่เป็นก่อกวนยุยง ปลุกระดมดูหมิ่นผู้อื่น ไม่ได้ทำผิดเงื่อนไขของศาลในการให้ปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ที่พวกเขาจะเชื่อแบบนั้น เหมือนกับที่พวกเขาเชื่อว่าพฤติกรรมในอดีตเป็นพฤติกรรมแบบ “ประชาธิปไตย” เหมือนกับการวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรม ว่า “สองมาตรฐาน” จ้องเล่นงานแต่พวกเขา แต่ที่ผ่านมามีหลายคดีที่ฝ่ายตรงข้ามถูกศาลตัดสินจำคุก คนพวกนี้ก็เงียบไม่ยอมกล่าวถึง
ดังนั้น กรณีที่เกิดขึ้นแบบนี้มองอีกมุมหนึ่งมันก็ดีเหมือนกันว่าทุกอย่างปล่อยให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาดตามพยานหลักฐานว่ากระทำผิดจริงหรือไม่ จะได้ไม่ต้องถกเถียงกันให้วุ่นวาย เพราะไม่ว่าฝ่ายไหน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อัยการยื่นคำร้องกล่าวหาอย่างไรก็ตาม แต่ฝ่ายที่ชี้ขาด คือ ศาลที่จะต้องมีการไต่สวนพยานหลักฐานทั้งหมดว่าจริงหรือไม่จริง ถือว่าเป็นข้อยุติที่ดีที่สุด
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพิจารณากันในตอนนี้ ก็คือ พวกนักประชาธิไตยพวกนี้ “กลัวติดคุก” จนเก็บอาการไม่อยู่ เพราะขนาดถึงใกล้ถึงวันไต่สวนพิสูจน์ความจริงในศาลว่าได้กระทำผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่ พวกเขาโดยเฉพาะ จตุพร พรหมพันธุ์ ยังไม่วายกล่าวหาคนอื่นในทำนองว่ามีขบวนการกลั่นแกล้งให้เขาต้องติดคุก หรือหลบหนีคดี โดยไม่ยอมมองความผิดตัวเองว่าที่ผ่สนมาได้มีพฤติกรรมอย่างไรบ้าง
ขณะเดียวกัน ยังเชื่อว่า ไม่มีใครกลั่นแกล้งใครได้ เพราะทุกอย่างอยู่ที่การพิจารณาตัดสินของศาลยุติธรรม เพื่อหาข้อยุติที่ดีที่สุด และคราวนี้จะเป็นการพิสูจน์กันอีกครั้งหนึ่งว่ามาตรฐานของพวกที่อ้างว่า “เป็นนักประชาธิปไตย” ตลอดเวลาจะมีการบิดพลิ้วไปอีกทางหรือไม่
แต่งานนี้บอกได้คำเดียวว่าเสียวแปล๊บจนขึ้นสมองก็แล้วกัน !!