ศาลปกครองแก้กฎหมาย กำหนดลักษณะคำอุทธรณ์ที่ไม่รับวินิจฉัย ขณะที่ประธานศาลปกครองสูงสุดวางแนวทางแยกคดีสำคัญ-เร่งด่วน-ทั่วไป พุ่งเป้าจัดการคดีเสร็จเร็ว 2 ปีทุกชั้นศาล โฆษกแจงคดีแก่งกระจานยันศาลไม่ต้องดูพื้นที่จริง เหตุข้อเท็จจริงชัดเจนเป็นพื้นที่ป่า ยันตัดสินตามข้อกฎหมาย เตือนวิจารณ์ระหว่างเข้าข่ายหมิ่นศาล
วันนี้ (30 ก.ย.) นายสมชาย งามวงศ์ชน โฆษกศาลปกครอง และนายประวิตร บุญเทียม รองโฆษกศาลปกครอง ร่วมกันแถลงข่าวกรณีที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติใน พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีการพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 73 วรรค 3 เกี่ยวกับลักษณะคำอุทธรณ์ที่ไม่เป็นสาระสำคัญอันควรได้รับการวินิจฉัยโดยนายสมชาย โฆษกศาลปกครองกล่าวว่า จากปัญหาความล่าช้าการพิจารณาคดี ได้มีพิจารณาแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปโดยเร็ว ล่าสุดเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมาได้บังคับใช้ บทบัญญัติมีการแก้ไขเพิ่มเติมลักษณะคำอุทธรณ์ที่ไม่เป็นสาระสำคัญอันควรได้รับการวินิจฉัยแล้ว ซึ่งเดิมกฎหมายมีกำหนดเรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว แต่ยังไม่ระบุลักษณะที่ชัดเจนจึงมีการเพิ่มเติมในส่วนนี้ แต่กรณีดังกล่าวไม่ใช่การตัดสิทธิยื่นอุทธรณ์ของคู่ความแต่จะเป็นการพิจารณาว่าเนื้อหาใดที่ไม่เข้าเกณฑ์ได้รับการวินิจฉัย
ขณะที่การพิจารณาคดีศาลปกครองตั้งเป้าที่จะพิจารณาคดีในแต่ละชั้นศาลให้เสร็จภายใน 2 ปี ขณะนี้ยอมรับว่าบุคลากรของศาลก็ยังไม่เพียงพอ โดยเฉลี่ยตุลาการ 1 คนรับผิดชอบ 3-4 คดี ขณะเดียวกันศาลได้มีการแก้ไขวิธีปฏิบัติการพิจารณาคำร้องขอทุเลาการบังคับคำสั่งทางปกครองของหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ ที่เดิมปกติจะต้องพิจารณาคำชี้แจงคู่ความอีกฝ่าย รวมทั้งต้องส่งให้ตุลาการผู้แถลงคดีต้องทำความเห็นเสนอต่อองค์คณะประกอบก่อนที่องค์คณะจะมีคำสั่ง แต่ขณะนี้ได้มีการแก้ไขให้เป็นว่า หากเป็นกรณีฉุกเฉิน เร่งด่วนที่มีความจำเป็น หากเอกสารที่ฝ่ายผู้ฟ้องนำมาแสดงมีข้อมูลเพียงพอแล้วศาลก็สามารถที่จะทำคำสั่งไปได้ก่อนเพื่อเป็นการเยียวยา เช่น หากหน่วยงานมีคำสั่งให้เพิกถอนสิ่งปลูกสร้างภายใน 15 วัน เช่นนี้หากศาลดำเนินกระบวนการเต็มขั้นตอนอาจจะล่าช้าไม่อาจทันเยียวยา ดังนั้น ถ้ามีข้อมูลเพียงพอก็อาจถือว่าเป็นกรณีฉุกเฉินได้ โดยเชื่อว่ากระบวนพิจารณาจะเกิดความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาผลการดำเนินงานพิจารณาคดีของศาล มีสถิติที่บันทึกไว้ว่า ตั้งแต่เปิดทำการจนถึง วันที่ 31 ส.ค. 59 ว่ามีคดีที่เข้าสู่ศาลปกครองชั้นต้น และศาลปกครองสูงสุดทั้งสิ้น 122,206 คดี พิจารณาเสร็จ 100,837 คดี คิดเป็น 82.51% คงเหลือพิจารณาอีก 21,369 คดี คิดเป็น 17.49%
ทั้งนี้ รองโฆษกศาลปกครองกล่าวด้วยว่า นอกจากการแก้ไขปรับปรุงข้อกฎหมายแล้ว นายปิยะ ปะตังทา ประธานศาลปกครองสูงสุด ยังได้มอบนโยบายการบริหารจัดการคดีภายในศาลปกครอง ให้มีการจำแนกลักษณะคดีเป็น คดีทั่วไป, คดีเร่งด่วน และคดีสำคัญด้วย เพื่อให้มีการพิจารณาโดยเร็วตามลักษณะที่มีการจำแนก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับลักษณะคำอุทธรณ์ที่ไม่เป็นสาระควรได้รับการวินิจฉัย หมายถึง ข้อเท็จจริง หรือข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระอันสมควรควรได้รับการวินิจฉัยตามข้อข้อ 108 วรรคสอง ของระเบียบที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 นั้นหมายถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ไม่หนักแน่น หรือเพียงพอในการสนับสนุนข้อกล่าวอ้างตามคำอุทธรณ์ที่อาจทำให้ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยคดีแตกต่างไปจากศาลปกครองชั้นต้นได้ และยังหมายรวมถึง (1) อุทธรณ์ที่คัดค้านเนื้อหาของคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นว่าไม่ถูกต้อง แต่ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่อ้างในคำอุทธรณ์นั้นไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นใดๆ หรือประเด็นที่ศาลจำเป็นต้องใช้ในการวินิจฉัยคดี หรือเป็นข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายที่ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงการรับฟังข้อเท็จจริงหรือการวินิจฉัยข้อกฎหมายของศาลปกครองชั้นต้น หรือเป็นข้อเท็จจริงที่ผู้อุทธรณ์ได้เคยยอมรับไว้แล้วในชั้นการพิจารณาของศาลปกครองชั้นต้น
(2) อุทธรณ์ที่คัดค้านเนื้อหาของคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นว่าวินิจฉัยไม่ครบถ้วนตามประเด็นที่คู่กรณียกขึ้นกล่าวอ้าง แต่ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่อ้างในอุทธรณ์นั้นไม่เกี่ยวกับประเด็นที่ศาลจำเป็นต้องใช้ในการวินิจฉัย
(3) อุทธรณ์เกี่ยวกับข้อบกพร่องการดำเนินกระบวนวิธีพิจารณาของศาลปกครองชั้นต้น แต่ข้อบกพร่องนั้นไม่กระทบต่อความสมบูรณ์ของกระบวนพิจารณาส่วนที่เป็นสาระสำคัญ หรือไม่เป็นเหตุให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นไม่ยุติธรรม
(4) อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น ซึ่งคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นไม่ได้ขัดกับแนวบรรทัดฐานที่เป็นประจักษ์พยานของคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด และข้อกฎหมายที่ยกขึ้นมาอ้างในคำอุทธรณ์ไม่ได้อ้างหลักกฎหมายที่อาจเปลี่ยนแนวคำพิพากษาหรือคำสั่งเดิม
ขณะที่นายสมชายยังกล่าวชี้แจงกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลางที่พิพากษาว่าเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีอำนาจโดยชอบธรรมในการรื้อถอน เผาทำลายที่พักของชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ว่ามีการวิจารณ์ว่าศาลปกครองสนับสนุนความรุนแรง พิพากษาโดยไม่ได้ลงดูข้อเท็จจริงในพื้นที่ ขอยืนยันว่าศาลปกครองมีความเห็นใจ เคารพในสิทธิมนุษยชนของชาวบ้านที่เป็นผู้เสียหาย แต่เราจะยึดแต่สิทธิโดยไม่เคารพกฎหมายมันก็จะอยู่กันไม่ได้ ซึ่งในชั้นการแสวงหาข้อเท็จจริงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ยอมรับว่าพื้นที่ที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ป่าเป็นอุทยานแห่งชาติ ดังนั้นก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายใน พ.ร.บ.อุทยานฯ และ พ.ร.บ.ป่าไม้ก็บัญญัติไว้ชัดว่า การเข้าไปอยู่ แผ้วถาง หรือหาของป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางการถือเป็นความผิด และถ้าเจ้าหน้าที่พบก็ให้รื้อถอน หากไม่ดำเนินการก็ให้เผาทำลาย การกระทำของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ จึงเป็นไปตามกฎหมาย
เมื่อถามว่าศาลต้องพิจารณาก่อนหรือไม่ว่าชาวบ้านอยู่มาก่อนประกาศเขตอุทยานหรือเปล่า นายสมชายกล่าวว่า ก่อนประกาศเป็นเขตอุทยาน พื้นที่ตรงนั้นก็เป็นป่ามาก่อน ซึ่งก็ต้องเข้าตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในเขตป่าเมื่ออยู่ในราชอาณาจักรไทย ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ส่วนทางออกในเรื่องนี้ก็เห็นว่าในสำนวนคดี เจ้าหน้าที่อุทยานมีการจัดสถานที่ให้ชาวบ้านได้อยู่ได้พอทำกินตามอัตภาพ มันก็น่าจะยอมรับได้แล้ว อย่างไรก็ตาม คดีนี้คาดว่าฝ่ายชาวบ้านน่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดจึงอยากให้สื่อและประชาชนแสดงความเห็นโดยสุจริต เพราะมีกฎหมาย ป.วิแพ่ง บทบัญญัติเรื่องละเมิดอำนาจศาลควบคุมอยู่