อดีต ส.ส.กทม.ยื่นร้องประธาน กกต.ขอให้ดำเนินคดีอาญา “เรืองไกร-ธาริต” ให้การเท็จกล่าวหาใช้อำนาจ ส.ส.แทรกแซงการทำหน้าที่ หลังมีคำวินิจไม่มีมูลความจริง ผิดกฎหมายอาญา ม.137, 267
วันนี้ (29 ก.ย.) นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตโฆษกกรรมาธิการงบประมาณ 2 สมัย เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อประธาน กกต.ผ่านนายอำนวย น้อยโสภา รอง ผอ.สำนักเลขาธิการ กกต. ขอให้ กกต.ดำเนินคดีอาญาต่อนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่ปรึกษากฎหมายพรรคเพื่อไทย และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ จากกรณีที่นายเรืองไกรร้องเรียนตนและนายศุภชัย ศรีหล้า อดีตประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนฯ ต่อ กกต.ว่าจงใจใช้สถานะของ ส.ส.ก้าวก่ายและแทรกแซงการทำหน้าที่ของนายธาริต ที่เรียกนายธาริตมาชี้แจงกรณีชายชุดดำ หรือบุคคลที่มีการใช้อาวุธสงครามในการชุมนุมทางการเมือง ในช่วงเดือน เม.ย-พ.ค. 53 โดยไม่มีมติของที่ประชุม ซึ่งเป็นการให้การเท็จ เพราะการให้เชิญนายธาริตเป็นมติของกรรมาธิการพัฒนาการเมือง และในคณะกรรมาธิการดังกล่าวก็มี ส.ส.พรรคเพื่อไทยเป็นเสียงข้างมาก และยังให้การเท็จว่าตนและนายศุภชัย พยายามแทรกแซงโดยมีเจตนาที่จะช่วยเหลือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ให้พ้นจากข้อกล่าวหาการดำเนินคดีของดีเอสไอ
ขณะเดียวกัน นายเรืองไกรยังมาให้การเท็จต่อคณะกรรมการไต่สวนของ กกต.โดยประสงค์จะให้ กกต.ลงโทษตนและนายศุภชัย ว่าผิดฐานจงใจใช้สถานะของการเป็น ส.ส.ก้าวก่ายหรือแทรกแซงข้าราชการประจำ เป็นการผ่าฝืนรัฐธรรมนูญ 2550 มีโทษเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี แต่ กกต.ได้มีคำวินิจฉัยและส่งคำสั่งยกคำร้องมาให้ตนรับทราบ หมายความว่าคำร้องของทั้งสองคนนั้น ไม่มีมูลความจริงและการให้การเท็จต่อเจ้าพนักงาน ตนจึงเห็นว่าการกระทำดังกล่าวผิดกฎหมายอาญา มาตรา 137 และ 267 เนื่องจากเป็นการให้การด้วยข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน และตนได้รับความเสียหาย จึงขอให้ กกต.ดำเนินคดีอาญาอย่างเฉียบขาด