“ประยุทธ์” แถลงผลงาน 2 ปีรัฐบาล ยกยูเอ็น-องค์กรระหว่างประเทศจัดอันดับไทยดีขึ้นเกือบทุกด้าน พร้อมยืนยันรัฐบาลทำทุกด้านเพื่อสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้แก่ประเทศ ระบุเข้ามาในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ หากไม่ทำไทยจะเสียโอกาสมหาศาล ขอประชาชนเปิดใจ เชื่อมือรัฐบาล ให้คำมั่นเดินหน้าปฏิรูปกองทัพ ตำรวจ เพื่อเป็นที่พึ่งประชาชน ส่วนการใช้อำนาจพิเศษก็เพื่อให้เกิดความเรียบร้อย ฉะการเมืองไร้ธรรมาภิบาลเป็นภัยทำลายชาติ ต้องขจัดให้หมด
ที่ทำเนียบรัฐบาล วันนี้ (15 ก.ย.) บรรยากาศก่อนการแถลงผลงานรัฐบาล ในโอกาสครบรอบ 2 ปีที่ตึกสันติไมตรี เป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผู้บัญชาการเหล่าทัพ หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า รองปลัดกระทรวง ผู้บริหารระดับสูงสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง สื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศเดินทางเข้าร่วมงาน
โดยก่อนเริ่มงานในเวลา 08.00 น. รองนายกรัฐมนตรีทั้ง 6 คนได้เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เพื่อเตรียมพร้อมสรุปผลงานให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้กล่าวเปิดแถลงผลงานรัฐบาล จากนั้นรองนายกรัฐมนตรีทั้ง 6 คน นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง นายวิษณุ เครืองาม และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กล่าวแถลงสรุปผลงานในแต่ละด้าน เช่น ด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง การศึกษา เป็นต้น คนละ 15 นาที ขณะที่การรักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างเข้มงวด โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำทำเนียบรัฐบาลจะตรวจตรารถยนต์ และบุคคลที่จะผ่านเข้าออกอย่างเข้มงวด
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอนหนึ่งว่า ตนรู้สึกยินดีที่ได้มาพบกับพี่น้องประชาชน ที่น่ายินดีกว่านั้นคือการได้เห็นรอยยิ้มกลับคืนสู่ใบหน้าของคนไทย ที่ทั่วโลกรู้จักในนาม “สยามเมืองยิ้ม” แต่สิ่งนั้นหายไปจากสังคมไทยมากว่า 10 ปี ช่วงเวลาที่ผ่านมาสถานการณ์ในประเทศไทยไม่ค่อยสงบสุข การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างล่าช้าเศรษฐกิจไม่ได้รับการปฏิรูปทั้งระบบ เกิดความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรม ประชาชนมีรายได้น้อย สังคมมีความสับสนวุ่นวาย การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์กระทำได้จำกัด การวิจัย การพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมไม่ต่อเนื่อง ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียม
การที่ประเทศไม่มีแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะยาวที่ชัดเจนทำให้ประเทศขาดทิศทางในการพัฒนา การบริหารราชการแผ่นดินให้ความสำคัญน้อยต่อแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศที่ขาดความสมดุล รวมไปถึงการใช้จ่ายงบประมาณที่ซ้ำซ้อน ไม่คุ้มค่า ขาดความต่อเนื่อง ประชาชนได้รับประโยชน์ไม่ทั่วถึง การถือครองทรัพยากรตลอดจนความเจริญกระจุกอยู่เพียงบางพื้นที่ สิ่งเหล่านี้นำไปสู่ปัญหาทางการเมืองที่รุนแรงขัดแย้ง สร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของประเทศในสายตาชาวต่างชาติ รวมทั้งเป็นอันตรายต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยที่กฎหมายไม่สามารถบังคับใช้เพื่อช่วยทุเลาสถานการณ์ได้อย่างจริงจัง
ที่สำคัญหลายภาคส่วนไม่ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้ประเทศเผชิญกับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันซึ่งถือเป็นปัญหาร้ายแรงที่สุดของชาติ ทุกประเด็นเหล่านี้คือปัญหาที่ทาบทับประเทศไทยมาเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการปฏิรูปประเทศ ตามสิ่งท้าทาย และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาของโลกศตวรรษที่ 21 เราจำเป็นต้องมีการปฏิรูปประเทศในทุกระบบให้ครบวงจร เพื่อไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นชาติที่ไร้การพัฒนา และถูกทิ้งรั้งไว้เบื้องหลัง
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการบริหารราชการแผ่นดินโดยยึดโยงประชาชนเป็นศูนย์กลาง ยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง และยึดหลักธรรมาภิบาล สุจริตโปร่งใส เพื่อเป้าหมายสำคัญในการวางรากฐานให้รัฐบาลในอนาคตได้บริหารประเทศอย่างมีธรรมาภิบาลภายใต้กฎกติกาที่เหมาะสม และป้องกันอย่างที่สุดที่จะไม่ให้สภาพปัญหาแบบเดิมกลับมาเกิดขึ้นอีกในประเทศไทย
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การกำหนดแนวนโยบายทุกด้านของรัฐบาลอยู่บนหลักคิดที่จะต้องขจัดเงื่อนไขอันเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาในอดีต รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศในช่วงที่สถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศไม่สงบสุขในทุกมิติ โดยด้านเศรษฐกิจ ประเทศไทยประสบปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ การค้าการลงทุนซบเซา ขณะที่เศรษฐกิจโลกในปี 2558 มีการขยายตัวในเกณฑ์ต่ำ เพียงร้อยละ 3 ต่ำกว่าที่ประมาณการ ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2559 ก็ยังคงขยายตัวเพียง ร้อยละ 3.1 รวมทั้งประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจขยายตัวชะลอลง
ขณะที่สังคมภายในประเทศมีปัญหาความเหลื่อมล้ำ การกระจุกตัวของความมั่งคั่งและโอกาส ส่วนภาพรวมของสถานการณ์โลกยังมีปัญหาทั้งการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานที่ไม่ปกติ การอพยพลี้ภัย ความอดอยาก ความไม่เท่าเทียม ภัยธรรมชาติ และโรคระบาดที่ทุกประเทศต้องเตรียมการรับมือ ด้านการต่างประเทศขาดความเข้าใจในบริบทของประเทศไทย นำไปสู่การตั้งคำถามและความอ่อนไหวต่อความเชื่อมั่นในมุมมองของหลายประเทศ ขณะที่สถานการณ์โลกเกิดปรากฏการณ์ขึ้นมากมาย เกิดพันธสัญญาระหว่างประเทศใหม่ๆ การรวมกลุ่มของประเทศเพื่อเจรจาการค้า และสร้างอำนาจต่อรองในเวทีโลก ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องนำมาคิดและกำหนดเป็นนโยบายเพื่อขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติจริง เพื่อการแก้ไขปัญหาและการบริหารความเสี่ยง
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ในห้วง 2 ปีแรกที่รัฐบาล และ คสช.เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน เมื่อระยะเวลาผ่านไปผลการทำงานของรัฐบาลเป็นที่ประจักษ์ มีผลสัมฤทธิ์ปรากฏออกมา ทำให้มุมมองและการประเมินที่หน่วยงานองค์กรต่างๆ มีต่อประเทศไทยเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นน่าพอใจ สะท้อนผลการทำงานของรัฐบาลในทุกด้าน สรุปได้ดังนี้
ด้านเสถียรภาพและความมั่นคงของประเทศ ส่งผลกระทบในทางที่ดีต่อทุกๆ ด้าน มีผลการประเมินความเสี่ยงด้านความไม่แน่นอนทางการเมืองดีขึ้นจากอันดับที่ 58 ในปี 2557 เป็นอันดับที่ 51 ในปี 2559 ดีขึ้น 7 อันดับ ความโปร่งใสในการบริหารงานภาครัฐดีขึ้นจากอันดับที่ 57 ในปี 2557 เป็นอันดับที่ 25 ในปี 2559 จำนวนเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ลดลงกว่าร้อยละ 50 จำนวนคดียาเสพติดลดลงกว่าร้อยละ 50 ผลการจัดอันดับดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (CPI) เกือบ 180 ประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2556-2558 ประเทศไทยดีขึ้นทุกๆ ปีอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2556 ก่อนที่รัฐบาลนี้เข้ามาเราอยู่อันดับที่ 102 ปัจจุบันอยู่อันดับที่ 76 ทั้งนี้ สถาบันและองค์กรต่างๆ ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศได้ประเมินสถานการณ์คอร์รัปชันของไทยในสายตานานาชาติว่าดีที่สุดในรอบ 6 ปี และมีความโปร่งใสดีที่สุดในรอบ 10 ปี
ขณะเดียวกัน ด้านความเข้มแข็งและขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและสังคม มีผลการประเมินอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง จากร้อยละ 0.8 ในปี 2557 เป็นร้อยละ 3.2 ในปี 2559 สัดส่วนมูลค่า SMEs ต่อ GDP มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง จากร้อยละ 39.6 ในปี 2557 เป็นร้อยละ 42.3 ในปี 2559 ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการคมนาคมทางบก ดีขึ้น จากอันดับที่ 48 ในปี 2556 เป็นอันดับที่ 26 ในปี 2559 ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการคมนาคมทางอากาศ ดีขึ้นจากอันดับที่ 23 ในปี 2556 เป็นอันดับที่ 20 ในปี 2559 ความน่าลงทุนระหว่างประเทศ ดีขึ้นจากอันดับที่ 31 ในปี 2556 เป็นอันดับที่ 28 ในปี 2559
องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประกาศการจัดอันดับดัชนี e-Government ประเทศไทยได้เลื่อนขึ้นจาก 102 ในปี 2014 เป็นอันดับ 77 ปี 2016 จาก 193 ประเทศ สถาบันการจัดการนานาชาติ (IMD) จัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศปี 2559 ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับที่ 28 จากอันดับที่ 30 ในปี 2558
นอกจากนี้ ในปี 2558 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเกือบ 30 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศ 1.44 ล้านล้านบาท สูงเป็นอันดับ 6 ของโลก ผลการจัดอันดับประเทศที่มีความทุกข์ยากน้อยที่สุดในโลกของบลูมเบิร์กให้ประเทศไทยเป็นอันดับ 1 จากทั้งหมด 74 ประเทศทั่วโลก และเป็นประเทศที่มีความสุขมากที่สุดในโลก เป็นปีที่ 2 ต่อเนื่องกัน
นอกจากนี้ นิตยสารนิวส์แอนด์เวิลด์รีพอร์ต ได้จัดอันดับ 60 ประเทศที่ดีที่สุด ประจำปี 2016 โดยประเทศไทยได้ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 21 ของโลก อันดับสูงสุดในอาเซียน และระบุด้วยว่า ประเทศไทยน่าท่องเที่ยวผจญภัย และเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับ 4 จาก 60 ประเทศที่ดีที่สุด ซึ่งวัดจากความสวยงามทางธรรมชาติ มรดกทางประเพณี และวัฒนธรรม ลักษณะประชากรและคุณภาพชีวิต โอกาสในการประกอบการ โอกาสด้านธุรกิจ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และการเมือง
ด้านกฎหมายและการต่างประเทศ มีผลการดำเนินงานออกกฎหมายที่จำเป็นได้มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ การแก้ปัญหางาช้าง ตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่า และพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) ทำให้รอดพ้นจากการถูกคว่ำบาตรทางการค้าจาก CITES ซึ่งมูลค่าทางเศรษฐกิจ มากกว่า 47,000 ล้านบาทต่อปี การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ซึ่งถือเป็นวาระแห่งชาติ มีความคืบหน้าจนสหรัฐอเมริกาได้ปรับระดับในรายงานการค้ามนุษย์ หรือ TIP Report ประจำปี 2559 ให้ประเทศไทยดีขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลดีต่อการแก้ปัญหาการประมงผิดกฎหมาย (IUU) ของทาง EU เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกัน โดยสินค้าประมงไทยที่มีมูลค่าการส่งออกกว่า 240,000 ล้านบาทต่อปี
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า รัฐบาลบริหารประเทศในทุกมิติ ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม การต่างประเทศ กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม รวมถึงด้านอื่นๆ ยืนยันว่ารัฐบาลได้ลงมือทำเพื่อสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้แก่ประเทศ
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในด้านความมั่นคง รัฐบาลทำให้การเผชิญหน้า ความแตกแยก แบ่งฝักฝ่ายลดน้อยลง คนไทยอยู่กันอย่างสงบสุขมากขึ้น สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนใต้ เราเน้นการพูดคุยเพื่อแสดงความจริงใจ ใช้การแก้ไขปัญหาด้วย “สันติวิธี” เน้นการพัฒนาพื้นที่ให้เจริญทั้งด้านจิตใจ สังคม การศึกษา และเศรษฐกิจ เพื่อให้ทุกคนอยู่ดีกินดีมีความสุข รวมทั้งส่งเสริมการวิจัย การพัฒนา นวัตกรรม เพื่อความมั่นคงมีเสถียรภาพและศักยภาพในการแข่งขันของประเทศในอนาคต รวมทั้งวางแนวทางการปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปตำรวจ เพื่อให้เป็นสถาบันที่เป็นที่พึ่งของประชาชน รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์รักษาทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไว้เพื่อคนไทยทุกคน
ในด้านเศรษฐกิจ มีการวางระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและ ICT เพื่อลดต้นทุนและยกระดับโลจิสติกของประเทศ กระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคด้วยการสร้างโครงข่ายการคมนาคมทั้งทางบก ทางอากาศ ทางน้ำเพื่อเชื่อมโยงไปสู่ประเทศในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง CLMV+ ประเทศในกลุ่มอาเซียน ASEAN+ และทุกภูมิภาคของโลก ผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษในทุกภูมิภาค สนับสนุนผู้ประกอบการรายใหม่ ทั้งกลุ่ม startup + SME + OTOP โดยใช้นวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อน และสนับสนุนให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน ปฏิรูปการเกษตรกรรมโดยใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนการผลิต รวมทั้งวางระบบการบริหารจัดการน้ำที่ครอบคลุมทั้งประเทศแก้ไขกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการประกอบธุรกิจ (Ease of doing business) และที่สำคัญคือการผลักดันประเทศเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิตอล
ด้านสังคม มีการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันในทุกระดับโดยการตั้งกลไกในแต่ละหน่วยงาน การจัดระเบียบสังคม จัดระเบียบรถโดยสารสาธารณะ การจัดการปัญหาการบุกรุกคูคลองพื้นที่สาธารณะ ผลักดันสวัสดิการทางสังคม เพื่อดูแลผู้ด้อยโอกาสและผู้มีรายได้น้อย กำหนดให้เด็กไทยเรียนดีอย่างมีคุณภาพ 15 ปี ที่สำคัญมีการปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้ทุกคนในสังคมมีความสุขร่วมกัน คนมีมากก็ควรแบ่งปันมากด้วยภาษีมรดก ภาษีที่ดิน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของสังคม
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ในด้านการต่างประเทศ ตนและคณะรัฐมนตรีโดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศทำงานอย่างหนักในทุกเวทีระดับนานาชาติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของประเทศ เราตอบสนองและผ่อนคลายหลายสิ่งตามความคาดหวังและพันธะสัญญาที่เราได้ให้ไว้ ในช่วงหลายรัฐบาลที่ผ่านมา รวมทั้งแสดงบทบาทนำในเวทีโลกด้วยนโยบายการต่างประเทศเชิงรุกอย่างสร้างสรรค์ และสมดุล จนได้รับความไว้วางใจให้เป็นประธานกลุ่มประเทศ G77 ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 134 ประเทศ รวมทั้งให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหาของประเทศตามหลักสากล เช่น การแก้ไขปัญหา ประมงผิดกฎหมาย (IUU) ปัญหาการบินพลเรือนที่ไม่ได้มาตรฐาน (ICAO) ปัญหาการค้ามนุษย์ การค้างาช้าง (CITES)
ส่วนด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม รัฐบาลมุ่งสร้างความยุติธรรมในสังคมด้วยการทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย กฎหมายฉบับใดที่ยังล้าสมัยเราต้องปรับปรุง เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และรัฐต้องไม่เสียประโยชน์ ประชาชนต้องไม่เดือดร้อน ปฏิรูประบบงานราชการและการให้บริการประชาชนให้มีประสิทธิภาพ ง่ายสะดวก รวดเร็ว รวมทั้งออกกฎหมายใหม่ที่สอดคล้องกับกฎบัตร พันธะใหม่ๆ ที่ประเทศต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้กฎหมายกลายเป็นอุปสรรค แต่ต้องเป็นเครื่องมือที่สร้างความยุติธรรมและกติกาที่เป็นธรรม ที่สำคัญกฎหมายต้องสามารถสนับสนุนการบริหารงานราชการแผ่นดินในทุกมิติ
อีกทั้งยังมีกฎหมายอำนวยความสะดวกประชาชนข้างล่างต้องเรียนรู้ เวลาไปติดต่อหน่วยงานราชการ ใครจะเรียกเงินเรียกทองไม่ได้อีกแล้ว ฉะนั้นขอเตือนทุกคนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะขอสร้างบ้าน ขอน้ำขอไฟ มีระยะเวลาที่ข้าราชการต้องเร่งให้ทันตามกำหนด เรื่องของกฎหมายจะต้องสอดคล้องระหว่างประเทศด้วย จะคิดใช้ความรู้สึกตัวเองเป็นไปไม่ได้ เพื่อไม่ให้กฎหมายกลายเป็นอุปสรรค แต่จะเป็นเครื่องมือสร้างความยุติธรรม และสามารถสนับสนุนการบริหารราชการแผ่นดินได้ในทุกมิติ
พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันว่า ที่ผ่านมารัฐบาล และ คสช.ทำบางอย่างสำเร็จแล้ว บางอย่างเริ่มทำตามห้วงเวลา บางอย่างวางแผนแม่บทไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการ ทุกอย่างเป็นไปตามรัฐธรรมนูญใหม่ ทั้งการออกกฎหมายลูก กฎหมายในเชิงบูรณาการหน่วยงานและงบประมาณ การจัดทำแผนงาน แยกเป็นกิจกรรมที่มี Road map ในทุกกิจกรรมหลัก
กล่าวโดยสรุป ประเทศได้ผ่านช่วงระยะที่ 1 ใน Road Map ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน และพี่น้องประชาชนมีส่วนร่วมกับรัฐบาลในการแก้ไขปัญหานั้น รัฐบาลและ คสช.ขอบคุณในความร่วมมือของประชาชน ข้าราชการ ภาคธุรกิจ เอกชน ที่เข้าใจและสนับสนุนให้รัฐธรรมนูญ และคำถามพ่วง ผ่านการลงประชามติตามหลักการสากล ตลอดจนให้กาลังใจในการทางานของรัฐบาลเสมอมา
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ในแนวทางการดำเนินงานในอนาคต ปัจจุบันเป็นระยะที่ 2 ของ Road Map คือ การเริ่มต้นปฏิรูปในเชิงโครงสร้าง ปฏิรูปการบริหารราชการ และการจัดทำแผนที่นำทางไปสู่อนาคตตามวิสัยทัศน์มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ขอย้ำอีกครั้งว่าประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ
“ถ้าไม่ทำวันนี้ โอกาสของประเทศไทย โอกาสของคนไทยจะสูญเสียไปอย่างมหาศาล และยากที่จะเรียกกลับคืนมาได้”
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เราจำเป็นต้องนำเอาปัจจัยภายใน เช่น อัตลักษณ์ ประเพณี ความเป็นคนไทย ความแตกต่างทางความคิด ความสามารถในการแข่งขัน ทุนทางทรัพยากรของประเทศ และปัจจัยภายนอกมาเป็นตัวกำหนดว่าประเทศไทยควรจะทำอย่างไร ด้วยวิธีการใดจึงจะเกิดผลดีที่สุดต่อประชาชนคนไทย ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ และจะดำเนินต่อไป โดยที่ประเทศไทยต้องปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงนั้น ได้แก่ ปัญหาสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง การขยายตัวทางเศรษฐกิจแนวใหม่ที่มีการแข่งขันสูงขึ้น มีเสรีมากขึ้น มีกรอบกติกาพันธสัญญาใหม่ๆ มากมายที่เราต้องยึดถือปฏิบัติ การมีมติแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ (BREXIT) การค้า การแข่งขันด้วยนวัตกรรม ทำให้ความได้เปรียบด้านราคาและมูลค่าการส่งออกของประเทศไทยน้อยลงตามลำดับ ราคาสินค้าทางการเกษตรตกต่ำ ปัญหาภัยธรรมชาติ น้ำท่วม ฝนแล้ง ปัญหายาเสพติด ภัยจากการก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ โรคระบาด การโยกย้ายถิ่นฐานที่ไม่ปกติ สิ่งเหล่านี้เป็นความเสี่ยงของประเทศไทย หากไม่เตรียมการ ไม่ปฏิรูปตนเอง หามาตรการใหม่ๆ มารองรับ เราก็จะเผชิญปัญหาเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า นอกเหนือจากการรักษา “โมเมนตัม” ในการบริหารประเทศ ทั้ง 6 มิติ เพื่ออนาคตของประเทศแล้วดังกล่าวแล้ว ภารกิจสำคัญของรัฐบาลในอนาคตจากนี้ คือ การสร้างฐานรากสู่อนาคต ตามโมเดล “ไทยแลนด์ 4.0” ประกอบด้วย 10 ภารกิจหลัก คือ (1) การเตรียม “คนไทย 4.0” สู่ประเทศโลกที่ 1 (2) การเร่งพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ (3) การเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (4) การสร้างความเข้มแข็งในวิสาหกิจไทย (5) การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา
(6) การสร้างความเจริญเติบโต ที่กระจายสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น ผ่านจังหวัด-กลุ่มจังหวัด (7) การเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ภายในประเทศ (8) การสร้างสังคมที่เป็นธรรม สังคมแห่งโอกาส และสังคมที่เกื้อกูลแบ่งปันกัน (9) การบูรณาการอาเซียน และการเชื่อมโยงไทยสู่ประชาคมโลก รวมทั้ง (10) การขับเคลื่อนประเทศ ผ่านกลไก “ประชารัฐ”
สิ่งสำคัญที่สุดที่รัฐบาลจะเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องในระยะที่ 2 ของการบริหารราชการแผ่นดิน คือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วยการศึกษาตลอดชีวิต การวางระบบการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน เพื่อให้ประชาชนแข็งแรง มีสุขภาพดี “สร้างนำซ่อม” (ส่งเสริมให้มีสุขภาพแข็งแรง ดีกว่าเน้นเรื่องการรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วยแล้ว) การวางระบบประกันสุขภาพที่ต้องเอื้อประโยชน์ที่ดีขึ้นแก่ประชาชน สนับสนุนการลงทุนภายในประเทศด้วยการสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ทันสมัยไปพร้อมกับปรับปรุงของเดิมที่ล้าสมัย ไม่สมบูรณ์ ไม่ก่อให้เกิดรายได้เท่าที่ควรการพัฒนาระบบลอจิสติกส์ที่เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งเร่งผลักดัน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ หรือกลุ่ม S Curve และอุตสาหกรรมอนาคต หรือ New S Curve ปฏิรูปการเกษตรกรรมโดยใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนการผลิต เป็นสิ่งที่ต้องทำไปพร้อมกัน เพื่อให้เกิดการสร้างอาชีพและการจ้างงาน รวมถึงการพัฒนาฝีมือแรงงานซึ่งต้องสัมพันธ์กับความต้องการแรงงานภายในประเทศและในประเทศเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้ เราจำเป็นต้องเปลี่ยนจากการค้าขายสินค้าเกษตรต้นน้ำ ไปสู่การสร้างสินค้าเกษตรนวัตกรรมเพื่อการแข่งขัน เพราะรายได้ของประเทศ ปัจจุบัน 70% มาจากการส่งออก และส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรกรรมต้นน้ำที่มีมูลค่าไม่สูง ส่วนอุตสาหกรรมพื้นฐานในประเทศจำเป็นต้องมีการปรับปรุง สร้างนวัตกรรมเพื่อการแข่งขัน ต้องหารายได้มากขึ้นจากทั้งการค้าและการลงทุนการปรับโครงสร้างการเกษตร
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลทำมาตลอดและจะดำเนินการต่อไปคือการดูแลประชาชนผู้ด้อยโอกาสและผู้มีรายได้น้อยให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ยกระดับคุณภาพชีวิตให้มีมาตรฐาน มีศักดิ์ศรี และมีโอกาสทางสังคมที่ดียิ่งขึ้น รัฐบาลมุ่งมั่นการทำงานแบบบูรณาการให้เกิดการประสานสอดคล้อง เชื่อมโยง เพราะทุกปัญหาของหลายหน่วยงานมีความเกี่ยวข้องและมีผลกระทบซึ่งกันและกัน จากเดิมที่อาจมีการบริหารราชการในลักษณะบนลงล่าง เป็นแท่งงานของแต่ละกระทรวง ใช้งบประมาณของตนเองขาดจากกัน ปัจจุบันเราต้องบริหารงานทั้ง ล่างขึ้นบน บนลงล่าง ในแนวตั้ง และแนวนอน โดยใช้กลไกประชารัฐควบคู่กันไป ฟังความต้องการ เอาปัญหาของประชาชนมาเป็นตัวกำหนด โดยต้องแยกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งรายได้มาก รายได้ปานกลาง รายได้น้อย มาทำให้เกิดห่วงโซ่ในการทำงาน ห่วงโซ่ในการสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ทุกฝ่ายเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เราทิ้งใครไว้ไม่ได้ สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด ก็เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้มองเห็นอนาคตว่า 20 ปีข้างหน้า ประเทศไทยควรเป็นอย่างไร รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลจะต้องดำเนินการอย่างไรให้สิ่ง เหล่านั้นเกิดขึ้นได้จริง เพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ความขัดแย้ง ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม
สำหรับปัญหาข้อขัดข้องบางประการรัฐบาลพยายามดำเนินการทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว บางเรื่องเกิดผลสำเร็จบางเรื่องยังติดขัดบ้าง เนื่องจากปัจจัยหลานประการ อาทิ กฎหมายที่ไม่ทันสมัย ไม่ทันต่อสถานการณ์ ประชาชนบางกลุ่มยังไม่เปิดใจรับการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลง โครงการพัฒนาหลายโครงการไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะไม่ผ่านการทำประชาพิจารณ์ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA และการประเมินผลกระทบสุขภาพ EHIA แม้โครงการดังกล่าวจะมีการพัฒนา หรือมีการใช้เทคโนโลยีหรือเทคนิคใหม่ๆ แล้วก็ตาม เพราะประชาชนไม่ให้ความสำคัญกับข้อมูลหลักการที่ถูกต้อง บางส่วนเป็นเพราะไม่เชื่อมั่นกระบวนการตรวจสอบมาตรฐานของรัฐในการดำเนินโครงการต่างๆ ในอดีต จึงนำมาสู่การคัดค้านต่อต้านโครงการพัฒนาในปัจจุบัน
“อยากขอให้พี่น้องประชาชนเปิดใจ มั่นใจ การทำงานของรัฐบาลปัจจุบัน อย่ามองแต่เฉพาะผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง จนลืมมองว่าประเทศไทยไม่สามารถย่ำอยู่กับที่ จำเป็นต้องพัฒนาต่อไปไม่หยุดยั้ง”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า การแก้ไขปัญหาที่ผ่านมานั้นแก้ด้วยกฎหมายปกติเป็นส่วนใหญ่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยถึงแม้เราจะมาแบบนี้ก็ตาม การใช้อำนาจพิเศษเป็นเพียงเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย รักษาสถาบัน เกิดการบูรณาการในทางสร้างสรรค์ ไม่ติดขัดในการทำงาน ทุกหน่วยงานจะมีกฎหมายเฉพาะซึ่งอาจจะทำให้ล่าช้า ไม่ทันต่อเวลาและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในเวลาจำกัดที่เราเข้ามาบริหารราชการตอนนี้ ซึ่งเราใช้ทั้งกฎหมายปกติและกฎหมายพิเศษตามแนวทางนี้ตลอดไปเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นก็ผ่อนคลาย อย่าไปทำให้มันย้อนกลับมาที่เดิมอีก
“การเมืองที่ไม่มีธรรมาภิบาล ไม่เคารพกฎหมาย เบี่ยงเบนประเด็น หาผลประโยชน์เพื่อกลุ่มตนพวกพ้วง ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม เหล่านี้ล้วนเป็นการทำลายชาติและเป็นภัยร้ายแรงของประเทศจะต้องถูกขจัดให้หมดไปจากแผ่นดิน อย่าเอาอะไรไปเชื่อมโยงบอกว่าไปทำเรื่อจราจรแล้วมาบอกว่าผมโวฟุ้ง มันใช่หรือไม่ต้องเอาสิ่งที่พูดไปทำขยายความเข้าใจขอความร่วมมือกับประชาชนให้ช่วยกัน แต่นี่ตีรัฐบาลทุกวันจับผิดทุกเรื่องผมก็ขอร้องแค่นั้นเอง เราไม่ใช่ศัตรูกันอีกแล้วทุกคน”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า แม้รัฐบาลและ คสช.จะทำอะไรได้ดีเพียงไร ทั้งแก้ไขปัญหา จัดทำกฎหมาย ปรับโครงสร้าง สร้างความเข้าใจ และการรับรู้ ก็ยังมีผู้ไม่หวังดี บิดเบือน อย่าไปขยายความเพราะจะไปยังต่างเทศด้วย หนังสือพิมพ์ ทุกเว็บไซต์ทุกอันไปต่างประเทศหมด และถ้าเขียนไม่ดีขึ้นมาไม่ตรงต่อข้อเท็จจริงจะทำลายประเทศตัวเอง โดยการอ้างประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ที่ผ่านมามีทุกอย่างให้ทุกอย่างและเป็นอย่างไรบ้านเมือง
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ผู้บริหารราชการแผ่นดินทำอย่างไร ขอเวลาแค่เปลี่ยนผ่านเพื่อประเทศไทย ต่างชาติก็ต้องเข้าใจ ตนไม่อยากจะกล่าวอ้างเพราะไม่ได้มีแค่เฉพาะประเทศไทย ทุกประเทศล้วนแต่ผ่านเวลายากลำบากมาทั้งสิ้น วันนี้อาจจะช้าไปหน่อยแต่ก็กำหนดกรอบโดยปัจจัยภายในและภายนอก เราอย่ามาดึงกันเองด้วยการไม่เคารพกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม ละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้อื่น อย่าหาว่ารัฐบาลละเมิดมนุษยชนผู้อื่น เพราะท่านก็ละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นกัน
“การทุจริตไม่ใช่เรื่องเงินตราอย่างเดียว การดำเนินกิจกรรมการเมืองที่ไร้ธรรมาภิบาล การแสวงหาผลประโยชน์เพื่อกลุ่มและพวกพ้อง ถ้ามีบอกมา อย่ากล่าวหาพูดโดยไม่มีหลักฐาน อย่าพูด ต้องเข้ากระบวนการยุติธรรมขอให้แจ้งมาตรวจสอบให้ทุกเรื่อง เพราะจะเจตนาหรือไม่เจตนา แม้จะด้วยความหวังดีแต่ก็กระทบต่อการทำงานทั้งวันนี้และวันหน้า ข้าราชการก็หมดกำลังใจ ประชาชนก็สับสน อย่าตกเป็นเครื่องมือหรือหลงเชื่อข้อมูลจากผู้ไม่หวังดี ที่สำคัญต้องไม่ยอมให้คนเหล่านี้มาชี้นำ มีอิทธิพล อย่าไปเป็นปากเสียงให้เขา คนที่ทำผิดกฎหมายอย่าให้กลับมามีที่ยืนในสังคมไทยได้อีกต่อไป”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ภารกิจของรัฐบาลชุดนี้ในอีกปีเศษข้างหน้าซึ่งเป็นระยะที่ 3 ของโรดแมป คือ การ “ส่งไม้” ส่งมอบหน้าที่ต่อให้กับรัฐบาลชุดใหม่ภายหลังการเลือกตั้ง ซึ่งจะต้องรับภารหน้าที่ในการบริหารประเทศช่วงเปลี่ยนผ่านซึ่งถ้าเปลี่ยนผ่าน “สำเร็จ” เราจะมีโอกาสยกฐานะไปสู่ “ประเทศในโลกที่ 1” นั่นหมายถึงประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศที่มีรายได้เฉลี่ยของประชาชกรสูงขึ้น มีระบบสวัสดิการที่สมบูรณ์ ประชากรมีคุณภาพชีวิตที่ดีปัญหาสังคมปัญหาอาชญากรรมลดลงมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ความสุขสงบเกิดขึ้นทั่วทุกพื้นที่ในประเทศ การเมืองที่มีเสถียรภาพ นักการเมืองมีธรรมาภิบาล สังคมมีกฎกติกา ผู้คนมีระเบียบวินัย เศรษฐกิจเจริญเติบโตเข้มแข็ง ความเจริญกระจายตัวไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ประเทศไทยมีพื้นที่ยืนในเวทีโลกอย่างสง่างาม