เมืองไทย 360 องศา
รับทราบกันไปแล้วสำหรับราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 55/2559 เรื่องการดำเนินการเกี่ยวกับคดีบางประเภทที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร โดยคำสั่งดังกล่าวทำให้คดีที่พลเรือนทำผิดเกี่ยวกับคดีความมั่นคงให้ไปใช้ศาลยุติธรรมปกติ อย่างไรก็ดี ให้เริ่มตั้งแต่หลังวันที่ 12 กันยายนเป็นต้นไป ไม่มีผลย้อนหลัง ความหมายก็คือคดีที่อยู่ในข่าย เช่น คดีเกี่ยวกับความมั่นคง คดีความผิดตามมาตรา 112 เป็นต้น เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็ยังต้องขึ้นศาลทหารต่อไป รวมไปถึงคดีความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ใช้กฎหมายพิเศษบังคับใช้มานานแล้ว
พิจารณาจากเหตุผลของคำสั่งอ้างถึงเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองที่เข้าสู่ภาวะสงบเรียบร้อย ประชาชนให้ความร่วมมือดียิ่ง จึงเห็นสมควรที่จะผ่อนคลายความเข้มงวดดังกล่าวลงมา
ขณะเดียวกัน จากการแถลงของ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่นอกจากอ้างถึงเรื่องสถานการณ์ที่เข้าสู่ภาวะความสงบเรียบร้อยแล้ว ยังกล่าวถึงการร้องขอจากต่างประเทศ และด้วยเหตุผลที่ให้เป็นไปตามหลักกฎหมายสากล และสิทธิมนุษยชนจึงเป็นที่มาของคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งก็ไม่ต่างจากการแถลงของ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ดังนั้น หากพิจารณากันในมุมการเมืองทั้งภายในภายนอกล้วนออกมาในทางบวก โดยเฉพาะกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ออกมาในแบบที่ว่าเขาใช้อำนาจเท่าที่จำเป็น และเป็นคุณเท่านั้น ขณะที่ในสายตาของนานาชาติที่เคยกดดันมาก่อนหน้านี้ก็จะผ่อนคลายลงไป โดยเฉพาะกรณีขึ้น “ศาลทหาร” สำหรับประเทศทางตะวันตกถือว่าเป็นเรื่องซีเรียส สรุปก็คือทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลไทยในปัจจุบันที่แม้รูปแบบจะเป็นเผด็จการ แต่ก็ดูซอฟต์ลงไปกว่าเดิม อย่างน้อยก็ลดเงื่อนไขลงอักโขเหมือนกัน
ขณะที่อีกด้านหนึ่งกลับยังมีเสียงโวยวายออกมาจากฝ่ายของเครือข่ายทักษิณ ชินวัตร ที่มีมาในสารพัดกลุ่ม เช่น พวก นปช. รวมทั้งพวกแนวร่วมอื่นๆ ที่กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่านีคือ การ “สร้างภาพ” ทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติเท่านั้น เนื่องจากคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคง คดีความผิดเกี่ยวกับมาตรา 112 ก็ยังต้องขึ้นศาลทหารอยู่เช่นเดิม ไม่ได้รับผลในทางที่ดีขึ้นเลย
หากพิจารณากันในความเป็นจริงแล้ว แม้ว่าคำสั่ง คสช.ข้างต้นย่อมมีผลในทางบวกกับภาพลักษณ์ของประเทศ และผลสำหรับผู้ที่กระทำผิดหลังจากวันที่ 12 กันยายน 59 เป็นต้นไปแล้ว แต่หากมีการเจาะจงลงไปกันแบบเฉพาะตัว ก็ถือว่า “ไม่มีการเปลี่ยนแปลง” เพราะทุกคดีก่อนหน้านี้ก็ต้องเดินหน้าไปตามกระบวนการเดิม นั่นคือหากเป็นศาลทหารก็ยังเดินต่อ และส่วนใหญ่ก็คือ พวกแกนนำคนเสื้อแดงไม่ว่าจะเป็น จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ วีระกานต์ มุสิกพงศ์ เป็นต้น ที่กระทำผิดและต้องขึ้นศาลทหาร คนพวกนี้ถือว่ามีชนักปักหลังคาอยู่ซึ่งตามรูปการณ์แล้วยากที่จะสลัดหลุดไปได้ ส่วนอีกหลายคนก็โดนคดีอาญามาตรา 112
นอกจากนี้ ยังมีระดับหัวขบวนที่ถือว่าเป็น “หัวใจ” ก็มี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เวลานี้คดีที่มีความผิดจากโครงการรับจำนำข้าวในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็งวดเข้ามาทุกขณะ และอีกหลายคนไม่ว่าจะเป็น บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น
ที่น่าสนใจไปอีกก็คือ คดีเงินกู้ของธนาคารกรุงไทยเริ่มใกล้ตัว พานทองแท้ ชินวัตร เข้ามาทุกทีแล้ว ทุกคดีทั้งที่เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองล้วนถูกดำเนินคดี หลายคดีกำลังอยู่ในศาล บางคดีอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนส่งฟ้อง ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ย้ำเสมอว่า จะผลักดันให้เข้าสู่การพิจารณาในศาล ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด ซึ่งโดยนัยก็คือหากเป็นแบบนี้เขาก็จะ “ลอยตัว” ไม่กลายเป็นคู่ขัดแย้ง เป็นการแก้ปัญหาได้อีกทางหนึ่ง
ดังนั้น หากสรุปโดยรวมๆ แล้วการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติออกคำสั่งให้คดีที่ฝ่ายพลเรือนทำผิดให้ไปขึ้นศาลยุติธรรมปกติเป็นเรื่องที่น่าจับตายิ่งนัก เพราะนอกจากเป็นการสร้างภาพลักษณ์ในทางบวกทั้งภายในและภายนอกประเทศแล้ว ขณะเดียวกัน หากมองใน “ทางยาว” มันก็เริ่มเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างซ่อนอยู่โดยเฉพาะในทางการเมืองในวันข้างหน้าซึ่งมันเหมือนกับการเตรียมพร้อมอะไรบางอย่าง
ขณะเดียวกัน มันเหมือนกับมีความมั่นใจเต็มร้อย เพราะฝ่ายตรงข้ามที่เคยป่วนสร้างความรำคาญมาจนถึงวันนี้ล้วนมีคดีมีชนักปักหลังอยู่แล้วทั้งสิ้น หมดพิษสงใดๆ แล้ว ดังนั้นหากบอกว่างานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้แต้มไปเต็มๆ ขณะเดียวกันก็ยังสงวนอำนาจเอาไว้ขู่ได้อีก นั่นคือมีขยักเอาไว้ว่าหากยังป่วนอีกก็ย้อนกลับมาใช้กฎเหล็กแบบเดิมได้ทุกเวลา
นั่นแหละถึงได้บอกว่าเครือข่ายของ ทักษิณ ชินวัตร ยังจมธรณี!