“ประยุทธ์” แจง รมว.ไอซีที ต้องลาออกเพราะเตรียมเปลี่ยนเป็นกระทรวงดิจิตอล ขอคิดก่อน รมว.คนเดิมหรือไม่ “ประจิน” รักษาการไปก่อน ลั่นยังไม่ปรับ ครม. แย้มได้ชื่อ 2 รมช.ใหม่แล้ว ยัน “อำพน” ไม่นั่ง รมต. ปล่อยรองเลขาฯ ครม.ฝึกงานต่อ ดีก็ได้นั่งเลขาฯ รับสถานการณ์ยังสงบ เตือนเคลื่อนไหวคิดถึงประเทศชาติ ยันยกเลิกขึ้นศาลทหารตัดสินใจเอง เผย ตปท.ยอมรับ รู้ตัวเองไม่ได้มาจากเลือกตั้งแต่ทำเพื่อคนไทย
วันนี้ (13 ก.ย.) เมื่อเวลา 15.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ลาออกจากตำแหน่งว่า จำเป็นต้องออก เพราะเป็นไปตาม พ.ร.บ.ตั้งกระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม มีผลบังคับใช้แล้วจึงต้องออกก่อน ประกอบกับที่มีการเปลี่ยนชื่อกระทรวงก็ต้องเปลี่ยนตัว โดยวันนี้ให้ พล.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีรักษาการไปก่อน เมื่อถามว่า ในส่วนของนายอุตตม หลังจากที่มีการเปลี่ยนชื่อกระทรวงแล้วจะให้กลับมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี อีกหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ยังไม่ใช่เวลาที่จะตอบคำถามนี้ เดี๋ยวตนจะคิดเอง “เขามีข้อบกพร่องอะไรหรือไม่ ถ้าไม่มีก็คือไม่มี มันเป็นเรื่องกลไกของกฎหมาย ของรัฐธรรมนูญ ตาม พ.ร.บ.ที่ออกมาก็ต้องเปลี่ยน เมื่อเปลี่ยนแล้วใครจะเป็นในครั้งหน้าก็ยังไม่รู้ เดี๋ยวผมกำลังคิดอยู่ ขอคิดเอง ก็ต้องดูผลงาน และส่วนต่างๆ มาประกอบทั้งหมด มันไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคล แต่อยู่ที่การสร้างกฎระเบียบต่างๆ รวมทั้งการขับเคลื่อนของรัฐบาล ที่เอาจริงเอาจังทุกเรื่อง และผมเป็นผู้รับผิดชอบโดยรวมอยู่แล้ว ใครเข้ามาก็ต้องทำตามนโยบายที่กำหนดไว้ ซึ่งผมมีหน้าที่สั่งการในทุกกระทรวงอยู่แล้ว”
เมื่อถามว่าจะถือโอกาสในช่วงนี้ปรับคณะรัฐมนตรีหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวปฏิเสธว่า “ยังไม่มี ยังปรับไม่ได้ ยังไม่ใช่เวลาของผม” เมื่อถามว่า ในส่วนของตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยที่ว่างอยู่ 2 ตำแหน่งจะมีการแต่งตั้งเมือไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ยังไม่ตั้ง ตอนนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาหาตัวบุคคลอยู่ วันนี้ก็ได้รายชื่อแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าเขาจะรับหรือไม่ และยังไม่ขอบอกว่าเป็นใคร ไม่มีใครเขาบอกก่อน สื่อถามกันทำไม จะวิ่งเต้นอย่างนั้นหรือ “เรื่องนี้เป็นเรื่องของผม ผมตั้งมาเองทั้งหมดกับมือทุกคน”
ในส่วนของนายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่จะเกษียณอายุราชการในปลายเดือนกันยายนนี้นั้น เขาไม่มารับตำแหน่งรัฐมนตรีอะไรทั้งสิ้น ถ้าเขาจะเป็นคงเป็นมานานแล้ว ยืนยันว่าเขาไม่มาเป็น วันนี้เขาช่วยงานก็ให้ช่วยงานต่อไป สามารถที่จะให้ช่วยงาน ครม.ได้อยู่แล้ว วันนี้ยืนยันอีกครั้งว่ายังไม่มีการแต่งตั้งตำแหน่งเลขาธิการ ครม. และมีหลายคนที่ทำงานอยู่ขณะนี้ มีรองเลขาฯ ครม.3-4 คนทำหน้าที่อยู่ใน ครม. ชี้แจงงานแทนนายอำพน ก็ฝึกงานทำงานกันต่อไป ถ้าดีก็ได้เป็น แต่ถ้าไม่ดีก็ไม่ได้เป็นทั้งหมด ส่วนจะใช้เวลาในการฝึกงานเท่าไหร่นั้นไม่รู้ ก็คงให้ทำจนกว่าจะพอใจ สื่อเดือดร้อนอะไรกันหรือถึงได้มาถามอย่างนี้ หรือกลัวจะไม่มีข่าวเขียนให้มันตื่นเต้น ให้คนตกใจ ขอร้องว่าช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบบ้าง ตนไปต่างประเทศพูดแต่สิ่งดีๆ ให้แก่ประเทศไทย เขาก็ฟังและยินดี แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีออกข่าวบิดเบือนทางสื่อโซเชียลทั้งเจตนา และไม่เจตนา ทุกอย่างก็เละไปหมด เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็ต้องช่วยกันแก้ ทำความเข้าใจ สร้างความรับรู้ทั้งใน และนอกประเทศ หลายอย่างวันนี้ถือว่าดีขึ้น แต่จะให้อยู่แบบเดิม อยู่อย่างเสรีเหมือนที่มีการเลือกตั้งคงไม่ได้ อย่าลืมว่าที่ผ่านมันเกิดอะไรขึ้น จะอยู่แบบเดิมก็ไปเรียกคนเหล่านั้นกลับมาให้ทำความผิด
เมื่อถามว่า ในฐานะที่เป็นหัวหน้า คสช. และ ครม. ได้มีการประเมินสถานการณ์ด้านความมั่นคงอย่างไรบ้าง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้ถือว่ามีความสงบสุข อยู่ได้ด้วยดี การเมืองมีการเคลื่อนไหวอยู่บ้างในทางเปิด ส่วนในทางปิดก็กำลังสืบสภาพอยู่ ถ้าตรวจพบว่ามีการทำผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย สิ่งสำคัญคือใครจะเคลื่อนไหวอะไรก็ตาม ขอให้คิดถึงประเทศชาติที่จะต้องเผชิญในหลายๆ อย่าง ทั้งเศรษฐกิจ สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นถ้าเคลื่อนไหวมากๆ แล้วเศรษฐกิจแย่ลง ประชาชนเดือดร้อนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย แล้วจะถือเป็นความผิดของใคร ในส่วนสายตาของต่างประเทศจากการเดินสายพบผู้นำต่างๆ เขาก็มีความเข้าใจ แต่ติดเพียงอย่างเดียวคือตนไม่ได้มาด้วยวิธีการเลือกตั้งเท่านั้น ส่วนอย่างอื่นก็เห็นความก้าวหน้าในการทำงานของเรา เว้นแต่มีบางคนบางพวกไปบิดเบือนในต่างประเทศ ซึ่งตนก็ได้ชี้แจงเพิ่มเติมในทุกเวทีที่มีโอกาส รวมทั้งช่องทางของแต่ละกระทรวงด้วย ต่างประเทศต่างก็แสดงความยินดี และหลายเรื่องตนก็คิดไว้ล่วงหน้าเมื่อถึงเวลาก็ตัดสินใจผ่อนคลาย ก็แค่นั้นเอง
ทั้งนี้ การออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 55/2559 ให้ยกเลิกขึ้นศาลทหารทุกคดียกเว้นคดีที่ทำผิด ดังกล่าวตนก็เป็นคนตัดสินใจเองไม่มีใครมากดดัน เรื่องนี้ตนได้หารือกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก่อนไปต่างประเทศว่า ใกล้เวลาแล้วเราจะหาทางผ่อนคลายอย่างไร เพราะประชาชนมีความสุขมากขึ้น และการเคลื่อนไหวต่างๆ ก็เบาบางลง ส่วนที่ยังมีการเคลื่อนไหวลับๆ ตนก็ไม่รู้ เป็นหน้าที่ของหน่วยงานด้านการข่าว ทุกคนถ้าทำอะไรผิดก็ต้องถูกลงโทษ เราเอาจริงเอาจังทุกเรื่องอยู่แล้ว ใครทำอะไรให้บ้างเมืองไม่ปกติสุขก็ถือว่าผิดกฎหมาย สิ่งสำคัญเราต้องทำให้บ้านเมืองของเราในสายตาต่างประเทศ เข้าใจเรากำลังทำอะไรอยู่ ดังนั้นอะไรที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดก็ทำให้ประเทศชาติได้รับความไว้วางใจ ไม่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ แล้วตนจะทำงานอะไรได้
“เมื่อต่างประเทศเขายอมรับในสิ่งที่เราทำทุกวันนี้มาก ถือเป็นความก้าวหน้าอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ และความเป็นสากล กฎหมาย ต่างประเทศก็รับทราบและยินดี ผิดอย่างเดียวคือผมไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งผมก็ยอมรับในตัวผมเองอยู่แล้ว แต่ผมขอถามหน่อยว่าผมทำเพื่อใคร ผมทำเพื่อคนไทย เพื่อประเทศไทย และทุกๆ ประเทศ ถ้าผมไม่ทำวันนี้จะให้ผมทำวันไหน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เมื่อถามว่าหากสถานการณ์ดีขึ้นจะมีการโอนคดีจากศาลทหารไปศาลยุติธรรมหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า เขาใช้มาตรา 44 ไม่ใช่หรือ ทำไมมันมีปัญหาอะไรหรือ เมื่อถามย้ำว่าจะมีการยกเลิกคําสั่งคสช.ฉบับที่ 13/2559 เรื่อง การป้องกันและปราบปรามการกระทําความผิดบางประการที่เป็นภยันตรายต่อความสงบเรียบร้อยหรือบ่อนทําลายระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่ได้เลิก ตนให้เขามีอำนาจเหมือนเดิม เพียงแต่เอาเข้ากระบวนการยุติธรรมโดยไม่ต้องขึ้นศาลทหาร ไม่เข้าใจหรือเขียนมาตั้งยาว อ่านให้เข้าใจว่า อุตส่าห์คิดแทบตายกว่าจะเขียนออกมาได้แบบนั้น คนปฏิบัติเขารู้เรื่องหมด เว้นแต่พวกเธอที่ไม่รู้เรื่อง ซึ่งไม่มีการโอนคดีอะไร เขาประกาศคำสั่งไปแล้วนี่ ไปอ่านดู ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ถ้าผิดก็ดำเนิน จะศาลไหนก็ศาลนั้น ไม่อยากขึ้นศาลก็ไม่ต้องทำความผิดเท่านั้นเอง มันจะยากอะไร”
เมื่อถามว่าคำสั่งผ่อนคลายของคสช.ฉบับที่ 55 จะได้รับการตอบรับที่ดีจากยูเอ็นหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่รู้ ต้องไปถามยูเอ็น ตนบอกแล้วว่าถ้าเรียกร้องให้ตนผ่อนคลาย ตนก็ผ่อนคลายให้ ความจริงแล้วเป็นการกลับไปสู่กระบวนการยุติธรรมเดิมเท่านั้นเอง เพียงแต่คดีความที่ค้างอยู่เดิมก่อนวันที่ 12 กันยายนก็นำเข้าศาลทหาร ถ้าคดีใหม่ก็เข้าสู่กระบวนการปกติ ศาลทหารมีไว้พิจารณาคดีของทหาร คือทหารขึ้นศาลทหาร แต่หากทหารร่วมกันทำความผิดกับพลเรือนก็ขึ้นศาลพลเรือน นี่เป็นระเบียบเดิม อย่าให้คิดยากมากนักเลย แต่ถ้ามันไม่ดีขึ้นมาก็ประกาศใช้ใหม่ก็ได้
เมื่อถามว่าจะมีการหารืออะไรพิเศษในการประชุมร่วมกับยูเอ็นหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า “ไม่มีเขามีการหารือกันอยู่แล้ว ไม่มีอะไรนอกวาระไปต่างประเทศจะพูดส่งเดช นักข่าวเขาก็ไม่ได้ถามแบบที่เธอถามด้วย เขาก็พูดเฉพาะในประเด็นเรื่องการอพยพไม่ปกติ การพัฒนาแบบยั่งยืน เขาไม่ได้คุยกันเรื่องความแตกแยก คำสั่งคสช.ออกมาตรา 44 หลายประเทศมียิ่งกว่านี้อีกไม่เห็นเขาพูดเลย เธอไม่สนใจเขาบ้างเหรอ กี่ประเทศที่เขาปกครองแบบเรา มีความแตกต่างไหม ไปหามา ผมยังไม่ไปก้าวล่วงเขาเลย ประเทศเขา แล้วนี่ประเทศคุณหรือเปล่า หรือคุณเป็นคนประเทศอื่น ของชาติอื่น เอากติกาคนอื่นมาให้ผมใช้ ในสถานการณ์ที่เป็นแบบนี้ บ้านเมืองจะล่มสลายอยู่ คอยหากินกันวันหน้าก็แล้ว