xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กตู่” ชี้ปลดสารตั้งต้นยาบ้า รับไม่ได้ก็ไม่ทำ อย่ากังวลไวรัสซิกา เล็งแก้ กทม.แออัด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (แฟ้มภาพ)
นายกฯ เผย “บิ๊กต๊อก” ยังไม่พูดถึงใช้ ม.44 ปลดสารเมทแอมเฟตามีนพ้นยาเสพติด ชี้เป็นแนวคิดสากล คนรับไม่ได้ก็ไม่ทำอยู่ดี ชี้ต้องคิดเป็นระบบคืนนักโทษสู่สังคม สร้างที่ควบคุมเพื่ออบรม ขออย่ากังวลไวรัสซิการะบาด เตรียมรับมือไว้แล้ว ยกไทยขึ้นชื่อจัดการโรคระบาด เผย รบ.ตามแก้ปัญหาเมืองใหญ่เติบโตไม่มีคุณภาพ ย้ำปัญหารถติด กทม.แออัดเกินไป เล็งหามาตรการ ต้องร่วมมือก่อน แขวะย้อนนโยบายรถคันแรก

วันนี้ (30 ส.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เตรียมเสนอแนวคิดให้นายกฯ ใช้มาตรา 44 ปลดสารเมทแอมเฟตามีนออกจากบัญชียาเสพติดประเภทที่ 1 เพื่อให้แพทย์นำมาใช้รักษาผู้ป่วยและบำบัดคนติดยาว่า ยังไม่เห็นพูดถึงมาตรา 44 เลย ตนเจอ พล.อ.ไพบูลย์เมื่อเช้าไม่เห็นจะพูดเรื่องนี้ ตนถามเขาว่าเรื่องนี้จะเอาอย่างไร เขาบอกว่าเป็นการเสนอวิธีการในการแก้ไขปัญหายาเสพติดซึ่งเป็นแนวคิดสากล แล้วตนก็ถามว่าที่ พล.อ.ไพบูลย์พูดออกมานั้นเป็นมาอย่างไร พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า หลายเรื่องไม่ตรงกับข้อเท็จจริง สื่อเสนอออกไปเพื่อให้สังคมรับรู้ว่าเขามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวผู้ต้องขัง การขึ้นทะเบียนยาเสพติด

“จะเรียกว่ายาม้ายาแมวอะไรก็แล้วแต่ เพราะเป็นเรื่องการรับรู้ของสังคม ถ้าคนจะรับไม่ได้ก็รับไม่ได้ก็ทำไม่ได้อยู่ดี เข้าใจหรือยัง อะไรอีกหลายอย่างที่ทำได้ในโลก แต่ประเทศไทยทำไม่ได้อยู่แล้วล่ะ” นายกฯ กล่าว

เมื่อถามว่าแนวคิดดังกล่าวถือเป็นการโยนหินถามทางหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่ใช่การโยนหิน แต่เป็นการสร้างการรับรู้ จะโยนหินถามทางให้เมื่อยมือทำไม เดี๋ยวมันจะโดนหัวคน ก็ไปหารือกันมา ถ้าไม่ได้ก็ถือเป็นการดันทุรังมันไปไม่ได้อยู่แล้ว สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เขาไม่ออกกฎหมายให้แน่นอน แม้กระทั่งการปลูกพืชก็ติดขัดไปหมด เราต้องเคารพกติกากันเสียก่อน กฎหมายว่าอย่างไร เราจะหาทางออกกันอย่างไร เราจำเป็นจะต้องมีกฎหมายเพิ่มขึ้นหรือไม่ เราถึงจะไปกันได้ ประเทศเขาโตกันแบบนี้ยังไม่มีอะไรทั้งนั้นอย่าเพิ่งไปกังวล

นายกฯ กล่าวต่อว่า วันนี้เอาแค่ปัญหาเรื่องผู้ต้องหากันให้ได้ก่อนที่ไปรวมกันในเรือนจำเดียวกันจะทำอย่างไรกัน ทั้งโทษอุกฉกรรจ์ โทษปานกลาง โทษที่กำลังจะพ้นโทษ แล้วจะอบรมกันได้อย่างไร อบรมความรู้ให้เสร็จแล้วก็ไปนอนรวมกันก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม ถ้าเรามีงบประมาณในการสร้างที่ควบคุมนักโทษที่กำลังจะออกมาก่อนเพื่อที่จะอบรมเขา เราต้องคิดเป็นระบบแบบนี้ ตรงไหนขาดก็ย้าย ถอดประกอบและสร้างพื้นที่ให้คนใกล้พ้นโทษ เหมือนการเตรียมตัวเข้าสู่สังคม ไม่เช่นนั้นก็เหมือนกับการเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยเพิ่มขีดความสามารถ เข้ามาสามครั้งก็ได้ปริญญาเอกเลย ไม่ใช่สร้างคุกให้เยอะเข้าไว้แล้วก็มาแออัดกันอยู่แบบนี้ กฎหมายแรงขึ้น สังคมและประชาชนต้องมีภูมิคุ้มกันตัวเองและต้องสอนลูกหลานให้ดี พ่อแม่ผู้ใหญ่ก็ต้องเคารพกฎหมาย ลูกก็ต้องเคารพพ่อแม่ ที่ผ่านมามีใครสอนให้เคารพแบบนี้บ้าง ไม่มี ปล่อยกันไป แล้วแต่ใครเป็นพวกใคร มันไปไม่ได้

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกรณีศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหภาพยุโรประบุถึงสถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสซิกาใน 4 จังหวัดของไทย คือ จ.จันทบุรี เพชรบูรณ์ บึงกาฬ และเชียงใหม่ อยู่ในระดับสีแดงว่า กระทรวงมหาดไทย (มท.) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กำลังติดตามอยู่ซึ่งมีอยู่ 3-4 จังหวัด ทุกอย่างเราไม่ต้องกังวล เรามีแผนงานและมาตรการรองรับไว้แล้ว เมื่อมันเกิดเราก็ต้องแก้ไขและอย่าให้คนเป็นอีก ทั้งนี้เราได้ตั้งศูนย์ในแต่ละภูมิภาคเอาไว้รองรับแล้ว รัฐบาลนี้ให้งบประมาณลงไปจัดทำห้องคนไข้พิเศษ ห้องปฏิบัติการดูแลโรคระบาดร้ายแรง ซึ่งมีทุกโรงพยาบาลใหญ่

“ตอนนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกำลังดูแลอยู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็กำชับลงไปในพื้นที่ในสายการปกครอง บางโรคบางทีก็ติดต่อง่าย เพียงถ้ารักษาทันเวลาก็ไม่เป็นไร บางครั้งก็ได้ยาผิด กินยาผิดกันเองบ้าง ไม่ไปหาหมอเลยไม่รู้อาการบ้าง เราต้องสร้างการรับรู้โรคไวรัสซิกา มีอาการอย่างไร มันก็เป็นการทั้งโลกและหลายประเทศ เราขึ้นชื่อว่าเราเป็นประเทศที่บริหารจัดการเรื่องโรคระบาดได้ดีที่สุดในอาเซียน เรามีชื่อเสียง” นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกรณีปัญหาการจราจรติดขัดซึ่งไทยถูกจัดอันดับเป็นที่ 1 ของโลกว่า ต้องเข้าใจก่อนว่าสาเหตุของปัญหารถติดคืออะไร แล้วที่ต่างประเทศเขาแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างไร เขาจัดการจราจรเดินรถใหม่ กำหนดเลขทะเบียนเลขคู่เลขคี่ในการใช้รถ แต่บ้านเราทำไม่ได้ คือทำไม่ได้สักอย่างก็แก้ไขลำบาก เราจะลงทุนสาธารณูปโภคพื้นฐาน รถไฟฟ้า รถไฟ ก็เป็นการลงทุนขนาดใหญ่ แล้วก็ไปติดขัดเรื่องตึกอาคารต่างๆ นี่คือปัญหาการเติบโตที่ไม่มีคุณภาพของเมืองใหญ่ รัฐบาลต้องมาตามแก้เรื่องเหล่านี้ ได้สั่งไปแล้ว ปัญหามีอย่างเดียวคือกรุงเทพฯ มันแออัดเกินไปแล้ว ก็คงต้องหาวิธีที่จะกำหนดมาตรการใหม่ๆออกมา แล้วประชาชนจะยอมรับได้แค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจอดรถ ใช้รถ การวิ่งรถบางเส้นทางต้องเสียเงินหรือเปล่า จะได้ไปใช้ระบบขนส่งอื่นแทน คิดแบบเดิมคงไม่ได้ เราได้ที่สองมาหลายปี มาครั้งนี้ขึ้นอันดับหนึ่ง เพราะมันเป็นสิ่งที่หมักหมม มายาวนาน รัฐบาลหน้าเลือกตั้งมาก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าจะทำอย่างไร

“ดังนั้นผมจึงต้องวางพื้นฐานเมืองใหญ่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เรื่องผังเมืองรองรับการเติบโต ทุกคนอยากเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ซึ่งรับได้ประมาณ 8 ล้านคน แต่ตอนนี้ขึ้นมา 10 ล้าน 12 ล้าน อนาคตจะเป็น 15, 20 ล้านคน ก็จะยิ่งหนักไปกว่านี้ วันนี้ผมสั่งการไปแล้วให้ไปหามาตรการมา และได้เร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปดูแลให้มากขึ้น ปัญหาต่างๆ วันนี้ ต้องสร้างการรับรู้ให้ประชาชนอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ไม่ใช่ให้รัฐบาลสั่งทั้งหมด อยากให้ดีขึ้น ก็ต้องร่วมมือกันเปลี่ยนแปลง บ้านเดียวกันไปทางเดียวกันไปด้วยกันได้ไหม ถนนเส้นนี้วันเสาร์ให้เฉพาะรถทะเบียนเลขคู่ใช้หรือเลขคี่ได้ไหม ถนนบางเส้นไม่มีเงินบำรุงรักษาเก็บเงินได้ไหม แต่ทำไม่ได้สักอย่าง จะแก้อย่างไร ถึงบอกว่าต้องแก้ด้วยความร่วมมือก่อน เมืองนอกจะซื้อรถต้องมีที่จอดรถ บ้านเราทำได้ไหม ทุกคนอยากซื้อรถหมด บอกว่าจำเป็น บางคนขับรถไม่เป็นเลย ก็ซื้อรถแล้ว นโยบายรถคัดแรกไง ต้องย้อนกลับไปดูถึงจะแก้ได้ ถ้าไม่รู้ปัญหาก็แก้ไม่ได้หรอก จะได้รัฐบาลออกกฎหมายบังคับใช้ก็โดนด่า แต่อะไรที่ต้องทำผมก็ต้องทำ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น