ป้อมพระสุเมรุ
อะไร ๆ มันก็ดีไปหมด ตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับซือแป๋กฎหมาย “มีชัย ฤชุพันธุ์” ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ผ่านการทำประชามติแบบขาดวิ่น คะแนนทิ้งฝ่ายตรงข้ามหลายช่วงตัว
เยอะจัดจนถึงขนาดทำองคาพยพของ “แป๊ะ” ผยองลำพองกันถ้วนหน้า ตีกินว่า ฉันทามติจากประชาชน คือ ความชอบธรรมที่แม่น้ำ 5 สาย จะเอามาทำปู้ยี้ปู้ยำอะไรก็ได้แบบไม่ผิด โดยเฉพาะการโมเมจะให้ ส.ว. นอกจากร่วมโหวตนายกรัฐมนตรี กับ ส.ส. แล้ว ยังมีสิทธิ์ถึงขั้นเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีกับเขาด้วย
ยังดีว่า เสียงต้านดังอื้ออึงจนต่อมละอายไม่กล้าทำเกินเลย จึงให้การประชุมรัฐสภาเลือกนายกรัฐมนตรีหนแรก ต้องเอาจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง ถ้าเลือกกันไม่ได้ค่อยขอเสียง ส.ส. กึ่งหนึ่งเพื่อประสาน ส.ว. เปิดประชุมร่วมรัฐสภา ยกเว้นบัญชีรายชื่อเพื่อเอาคนนอกเข้ามา
แต่ก็ยังตีขลุมกว้าง ๆ ไม่บอกอยู่ดีว่า ในชั้นที่ 3 นี้ ส.ว. จะมีสิทธิ์เสนอชื่อคนนอกกับเขาหรือไม่ หรือทำได้แค่โหวตอย่างเดียว ทว่า ถือว่าไม่น่าเกลียดจนเกินไปที่จะจ่ายบิลอำนาจ ส.ว. ตั้งแต่รอบแรก ที่เหมือนเป็นการหยามเหยียดประชาชนทางอ้อม
กระนั้นอย่างน้อย ๆ จากเหตุการณ์ครั้งนี้มันแสดงให้เห็นแล้วว่า ผลการทำประชามติทำให้หลายคนรู้สึกย่ามใจในการที่จะขับเคลื่อนอะไรเกินความพอดี
อีกจุดหนึ่งที่อาจทำให้คนในแม่น้ำ 5 สาย รู้สึก “ชะล่าใจ” เข้าไปใหญ่ คือ ผลโพลของสำนักต่าง ๆ ที่ออกมาในช่วงนี้ ที่สุดแสนจะ “อวย” หรือหนัก ๆ ไปถึงขั้น “เชลียร์” เลยก็ว่าได้ โดยมีบางแห่งไปสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ เพื่อให้ประเมินผลงาน 2 ปี ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปรากฏว่า ให้คะแนนในระดับดีมาก ไม่มีที่ติ
พอถามเรื่องบุคลิกการเป็นผู้นำ นี่ยิ่งต้องอึ้ง พบว่า ให้คะแนน “บิ๊กตู่” เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ไปเยอะ แถมยังติดอันดับ 1 กับการมีผลงานน่าประทับใจที่สุดในรัฐบาล ผู้นำท็อปบูตอาจคงตัวลอยไปไกล
ซ้ำร้ายกว่าเก่า มีการสอบถามประชาชนกลุ่มตัวอย่างในด้านประสิทธิภาพการทำงานแก้ไขปัญหาประเทศของ “บิ๊กตู่” อื้อหือคะแนนแทบจะแตะร้อยละร้อยกันเลยทีเดียว
ขณะที่ก่อนหน้านี้ก่อนช่วง 7 วันก่อนทำประชามติ สารพัดสำนักโพลไปสำรวจกันมา พบว่า ทุกแห่งให้ผ่านกันแบบท่วมท้นถล่มทลาย แต่เอาเข้าจริง แม้จะผ่านแต่ไม่โอเวอร์ขนาดผลโพล
พอเกิดความคลาดเคลื่อนสูงไปมาก มันเลยทำให้เกิดคำถามว่า ผลโพลเหล่านี้ได้ทำการสำรวจอย่างมีระบบและมีความหลากหลายของกลุ่มประชากรตัวอย่างจริงหรือไม่ เพราะคะแนนที่ออกมามันดูจะเข้าทาง “คสช.” เหลือคณานับ
บางคนประชดประชันเลยว่า ผลโพลที่ออกมาวิลิศมาหรา ทีมงานไปสำรวจกันที่ “ม็อบกปปส.” หรือไปสำรวจกันที่ “ค่ายทหาร” หรือไม่ เพราะอะไร ๆ มันก็ดีไปหมด
เรื่องบุคลิกการเป็นผู้นำของ “บิ๊กตู่” นั้นปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้วว่ามีอยู่จริง เพราะเป็นผู้นำทหารมาก่อนหลายปี แต่ยังมีบางข้อที่ยังต้องปรับ เช่น เรื่องการควบคุมอารมณ์ ซึ่งหลายคนรับรู้กันดี แม้แต่ตัวนายกรัฐมนตรีเอง แต่คะแนนที่ออกมาของโพลบางแห่งสูงปรี๊ด จนแทบจะไม่มีข้อเสีย
ขณะที่เรื่องประสิทธิภาพในการทำงาน บางอย่างโอเค แต่อีกหลายเรื่องยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยเฉพาะจุดขายที่โฆษณามาตลอดอย่างเรื่อง“การปฏิรูป” ที่ตอนนี้ มันดูเคว้งคว้างล่อยลอยชอบกล ทั้งที่ตามโรดแมปจะมีการเลือกตั้งกันในปี 2560 อยู่แล้ว
อย่างเรื่องการปฏิรูปตำรวจ ที่มันสวนทางกับผลโพล เพราะก่อนหน้านี้โพลสำนักต่าง ๆ ก็เคยไปสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการปฏิรูปแล้ว พบว่า ประชาชนอยากให้มีการปฏิรูปตำรวจมากที่สุด ขณะที่ความเป็นจริงสิ่งที่เป็นรูปธรรมยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากมาย
ทว่า มันย้อนแย้งสิ้นที่คะแนนออกมาสูงมากว่า มีประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ!
เรื่องการปฏิรูปพลังงาน เรื่องการปฏิรูปการศึกษา เรื่องการปฏิรูปพระพุทธศาสนา ยังไม่มีอะไรที่จับต้องได้ นอกจากต้องรอ “เวลา” อย่างเดียว ทั้งที่มีดาบอาญาสิทธิ์อย่างมาตรา 44 อยู่ในมือ ซึ่งความเป็นจริงมันน่าจะทำได้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ
แล้วถ้าเกิดมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ซึ่งแน่นอนบัดนั้นไม่มีแก้วสารพัดนึกอย่างมาตรา 44 แล้ว จะไปหวังพึ่งพิงอะไรได้
อีกจุดที่ขัดความรู้สึก คือ ปัญหาเศรษฐกิจตอนนี้ที่ยวบเอา ๆ คนบ่นรัฐบาลกันทั่วบ้านทั่วเมืองว่า ข้าวยากหมากแพง แต่ไฉนผลโพลล์ออกมาสรรเสริญเยินยอกันได้ขนาดนี้
ไม่เรียก “อวย” ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว!
ขณะที่คนในรัฐบาล และ คสช. เองต้องแยกแยะ ไม่ใช่เหลิงลมอย่างมีความสุข เพราะสิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่คิด เพราะสุดท้ายหากเชื่อตามผลการสำรวจเหล่านี้แบบหมดใจ มันอาจจะกลายเป็นการ “หลอกตัวเอง” แล้วเดินหลงทางทำอะไรผิดๆ โดยไม่รู้ตัว
ไตร่ตรองสักนิด ลองคิดเอาเล่น ๆ ถ้าคะแนนความนิยมในตัว “บิ๊กตู่” และลูกหาบดีขนาดนี้แบบสำนักโพลต่าง ๆ ว่าไว้ ไม่ต้องไปพึ่งใช้บริการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อหาคนนอกกันให้เสียเวลา ไม่ต้องมี ส.ว. ลากตั้ง 250 ชีวิต ไว้ค้ำยันเกมอำนาจในอนาคต ประกาศในมีการจัดการเลือกตั้งในปี 2559 นี้ยังได้เลย
รับรอง “บิ๊กตู่” ชนะพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ชนะทั้ง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” หรือแม้แต่ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี แบบไม่เห็นฝุ่นกันทีเดียว แต่ทำไมถึงต้องสร้างกลไกเอาไว้ในอนาคต นั่นก็เพราะว่า คนในรัฐบาลรู้ว่า ผลโพลดังกล่าวมันไม่สามารถการันตีความนิยมอะไรได้เลย
มองในแง่ดี การออกแบบนี้มันอาจสร้างกำลังใจให้กับคนที่กำลังกรำงานหนักได้มีแรงฮึด ตรงนั้นถือว่าไม่ผิด แต่มันก็ไม่ควร “เชลียร์” แบบน่าเกลียดเกิ๊น! แบบนี้
กลับกันอาจทำให้รัฐมนตรีบางคนรู้สึกเสียกำลังใจ เพราะต้องยอมรับว่า รัฐมนตรีส่วนใหญ่ที่ติดอันดับฮอตต้นๆ เป็นพวกที่ออกสื่อประจำ ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กตู่” หรือ“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ทำให้คนอาจจะจำหน้าได้
แต่พวกที่ทำงานงก ๆ อยู่ข้างหลัง เป็นมือเป็นไม้จริง ๆ ทำงานหลังขดหลังแข็ง แต่ไม่นิยมออกสื่อ กลับไม่ได้รับความดีความชอบดังกล่าว คนได้หน้ากลับเป็นพวกทำการสื่อสารเก่ง
อาจมีรายการน้อยอกน้อยใจกันได้ เพราะบางทีคนที่โลกลืมอาจเป็นคนที่ทำงานหนักสุดในรัฐบาลชุดนี้ก็เป็นได้
เอามันแต่ให้พองาม ไม่ใช่ “เชลียร์” กันไม่ลืมหูลืมตาดูความเป็นจริง
จริงไหมเล่า ปัดโธ่!