รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต รับมีพวกพยายามลากเอาผลประชามติชี้ชะตาการเมืองไทย หรือเดิมพันบางอย่าง ระบุ คนใช้เหตุผลทางการเมืองมาโหวตมากกว่าเนื้อหาร่าง หวั่นเกิดปัญหาใหม่ไม่สามารถสร้างฉันทามติในสังคมได้ จนกลายเป็นความขัดแย้งใหม่นำไทยเข้าสู่ความเสี่ยง เชื่อถ้าติดกับมีม็อบตามมาแน่ ย้ำ ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งเป็นวาระที่จะปฏิเสธไม่ได้
วันนี้ (31 ก.ค.) นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต กล่าวว่า ตนเห็นว่าในขณะนี้มีความพยายามจะเอาผลประชามติรัฐธรรมนูญวันที่ 7 สิงหาคม เป็นวันชี้ชะตาการเมืองไทยหรือเป็นการเดิมพันอะไรบางอย่างทางการเมือง เพื่อผูกเรื่องให้เกิดการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองต่าง ๆ หลังประชามติ ไม่ว่าผลประชามติจะออกมาอย่างไร เพราะเหตุผลหลักของการรับร่างหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุผลทางการเมืองมากกว่าเหตุผลในตัวร่างรัฐธรรมนูญ การประชามติที่มีเป้าหมายและเหตุผลที่หลากหลายแตกต่างกันออกไปเช่นนี้ อาจเกิดปัญหาใหม่ตามมา เพราะผลประชามติจะไม่สามารถสร้างฉันทามติในสังคมการเมือง หรือการยอมรับของผู้แพ้ได้ จนกลายเป็นความขัดแย้งใหม่และนำการเมืองไทยเข้าสู่ความเสี่ยงได้ในที่สุด
“ฉะนั้น การเมืองไทยหลังวันประชามติอาจมีความสำคัญมากกว่าวันประชามติ 7 สิงหาคมก็ได้ ยิ่งหากประชาชนหลงไปติดกับดัก หรือกลเกมการเมืองบางอย่าง และกลุ่มเคลื่อนไหวสามารถหยิบฉวยผลประชามติไปรับใช้เจตจำนงทางการเมืองของตนเองได้ จะทำให้เกิดการเคลื่อนไหวขนาดใหญ่ตามมา” นายสุริยะใส กล่าว
นายสุริยะใส กล่าวว่า ที่สำคัญ หลังการลงประชามติ ไม่ว่าผลประชามติจะออกมาเช่นไร การปฏิรูปก่อนเลือกตั้งก็ยังเป็นวาระทำสังคมและเป็นสิ่งที่ คสช. จะผลักภาระหรือปฏิเสธไม่ได้ และจำเป็นอย่างยิ่งที่สังคมจะต้องติดตามตรวจสอบ เช่น การผลักดันกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญในกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญผ่าน หรือหากไม่ผ่านก็ต้องมาดูกันว่ากระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หน้าตาควรเป็นอย่างไร ถึงจะมีความชอบธรรม และในรับการยอมรับในวงกว้าง และมั่นใจว่า ถ้าคนไปลงประชามติในวันที่ 7 สิงหาคม จำนวนมาก ๆ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร แต่เป้าหมายร่วมกันของทั้งสองฝ่าย คือ การปฏิรูปประเทศ ซึ่งจะเป็นแรงส่งสำคัญต่อกระบวนการปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเป้าหมายของคนส่วนใหญ่