เมืองไทย 360 องศา
ก่อนหน้านี้ ก็เคยระบุชัดเจนแล้วสำหรับ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ “สมเด็จช่วง” ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ว่า หมดโอกาสที่จะได้รับการเสนอนามเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ อย่างถาวรแล้ว หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้เคยให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า ต้อง “เคลียร์” หรือต้องมีความชัดเจนก่อนที่จะมีการเสนอนามขึ้นทูลเกล้าฯ เนื่องจากจะเกรงรบกวนเบื้องพระยุคลบาท
ล่าสุด เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้ย้ำถึงเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้มีการขยายความ มีรายละเอียดให้เห็นชัดเจน เป็นการยืนยันถึงท่าทีให้ทราบแบบไม่ต้องอ้อมค้อมอีกต่อไป
“ขั้นตอนของผมคือ ต้องเคลียร์ข้อกล่าวหาให้ได้ก่อน วันนี้เคลียร์กันหรือยัง แล้วผมเป็นคนทำหรือ ข้อกล่าวหาต่าง ๆ ที่มีอยู่ในขณะนี้ผมเป็นคนทำความผิดด้วยหรืออย่างไร วันนี้ผมยังไม่ได้บอกเลยว่ามันผิดหรือถูก ถ้าคิดว่าถูกก็มาสู้คดี นำหลักฐานมาชี้แจง มันก็จบ ผมเคารพพระสงฆ์ทุกรูป ผมไม่ได้ยืนข้างใครอยู่แล้ว พระสงฆ์เองผมก็เคารพ กราบไหว้ท่านมาโดยตลอด วันนี้ผมเจอผมก็กราบไหว้เหมือนเดิม ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร เพราะผมไม่ได้เลือกข้างใครอยู่แล้ว แต่ต้องเห็นใจผมด้วย เพราะผมทำหน้าที่ให้ประเทศชาติสงบ”
ความหมายชัดเจนในคำพูดแบบไม่ต้องตีความ นั่นคือ ต้องรอให้กระบวนการตามกฎหมายเสร็จสิ้นก่อน ต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหา และผู้ที่ถูกกล่าวหาก็ต้องชี้แจง ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมายบรรทัดฐานเดียวกัน จนกว่าได้ข้อสรุปถึงตอนนั้นค่อยมาว่ากัน
สำหรับคดีของ สมเด็จช่วง ก็คือ กำลังถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินคดีเกี่ยวกับการครอบครองรถยนต์ผิดกฎหมาย และการแจ้งเอกสารเท็จหรือปลอมแปลงเอกสาร เป็นคดีอาญา ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นรวบรวมหลักฐาน แต่ก็มีความคืบหน้าไปบ้างแล้ว ซึ่งจากการติดตามล่าสุดทางฝ่ายดีเอสไอได้ประชุมร่วมกับฝ่ายอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาหลักฐานและแจ้งข้อหาในเร็ว ๆ นี้
อย่างไรก็ดี ในทางขั้นตอนคดีถือว่านี่เป็นช่วงเริ่มต้น อีกทั้งหากพิจารณาจากทางฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา คือ ฝ่ายสมเด็จช่วง ดูเหมือนว่า ที่ผ่านมา ยังมีการ “ยื้อ” เวลาออกไปยังไม่ยอมให้ปากคำ มีการส่งทนายความตั้งเงื่อนไข ซึ่งนี่อาจเป็นแท็กติกทางกฎหมาย เนื่องจากยังไม่เห็นความชัดเจนจากฝ่ายรัฐว่าจะเอาอย่างไร และยังเป็นช่วงที่ดีเอสไอกำลังดำเนินคดีกับ “ธัมมชโย” เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายในข้อหาฟอกเงินและรับของโจร จึงอาจประเมินว่า ฝ่ายรัฐคงไม่อยากเปิดศึกหลายด้าน เพราะตามเส้นทางถือว่า ทั้ง สมเด็จช่วง และ ธัมมชโย เป็นเครือข่ายเดียวกัน รวมไปถึงเส้นทางเดียวกันกับเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร อีกด้วย
ทำให้ในตอนนั้น ทางฝ่าย สมเด็จช่วง และฝ่ายสนับสนุนยังพอมั่นใจได้ว่าด้วยแรงกดดันจากเครือข่ายสงฆ์บางส่วน ที่นำโดย พระเมธีธรรมาจารย์ หรือที่เรียกว่า “เจ้าคุณประสาร” เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ออกมากดดันและข่มขู่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี รีบทูลเกล้าฯเสนอนามสมเด็จช่วง เป็นสมเด็จพระสังฆราช โดยเร็ว ถึงขั้นเคยมีการชุมนุมพระสงฆ์มาแล้ว แต่ก็ไร้ผล เพราะนายกฯยังไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้อง มิหนำซ้ำการออกมาชุมนุมของพระสงฆ์พวกนั้น ทำให้ภาพลักษณ์ออกมาในทางลบ
ล่าสุด เจ้าคุณประสาร ได้ออกมากดดันอีกรอบ เรียกร้องให้พระสงฆ์ทั่วประเทศและทั่วโลกเตรียมพร้อมออกมาชุมนุม อ้างว่า เพื่อปกป้องพุทธศาสนา แต่ก็ไม่ได้มีการระบุวันเวลาแน่ชัด ทำให้มองได้ว่าทางหนึ่งก็ยังหวั่นเกรงคำสั่งพิเศษของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ห้ามชุมนุมเกินห้าคน รวมทั้งคดีความมั่นคงอื่น ๆ เพราะหากมีความผิดก็จะถูกดำเนินคดี “จับศึก” ได้ง่าย ๆ แบบนี้ถือว่าจบเห่ได้ไม่คุ้มเสีย
ถ้าพิจารณาจากท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ก็ชัดเจนว่า ต้องรอให้คดีเกี่ยวกับการครอบครองรถผิดกฎหมายจบเสียก่อน ซึ่งแน่นอนว่า ต้องใช้เวลาอีกนาน ตอนนี้เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงที่ต้องพิจารณากัน ก็คือ คนที่จะถูกเสนอนาม “ต้องไม่มีมลทิน” เพราะคงไม่สวยงามนักที่ต้องคดีอาญาแล้วถูกเสนอทูลเกล้าฯขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท และเชื่อว่า นายกฯก็คงไม่กล้าทำแบบนั้นแน่นอน
ดังนั้น ถ้าให้สรุปก็คือ จนถึงตอนนี้และในอนาคต กล้าฟันธงได้เลยว่า สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ สมเด็จช่วง หมดหนทางที่จะได้รับการเสนอนามเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่อย่างถาวร ด้วยเหตุไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง อีกทั้งฝ่ายสนับสนุนที่ขู่ว่าจะออกมานั้น ไม่ว่าเจ้าคุณประสาร หรือใครก็ตาม หากออกมาจริงก็ต้องเสี่ยงต่อการถูกจับสึก เพราะเชื่อว่าทางฝ่ายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ต้องรีบจัดการตัดไฟเสียต้นลม เพราะจะปล่อยให้สมทบกับพวกเครือข่ายม็อบแดงของ ทักษิณ ชินวัตร ในช่วงลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นอันขาด !!