xs
xsm
sm
md
lg

“ม็อบเหลือง” ศึกลองเชิง ประยุทธ์-คสช.ก่อนลงประชามติ!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เมืองไทย 360 องศา

นาทีนี้ยังไม่อาจประเมินได้เต็มร้อยว่าการออกมาประกาศผ่านโซเชียลฯ ของ “พระเมธีธรรมาจารย์” หรือที่เรียกกันว่า “เจ้าคุณประสาร” ในนามเลขาธิการของกลุ่มที่ตั้งชื่อขึ้นมาศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย เรียกร้องให้คณะสงฆ์ทุกรูปทั่วประเทศทั้งในประเทศและทั่วโลกลุกขึ้นมาพร้อมกัน โดยอ้างว่าคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนากำลังถูกย่ำยีโดยกลุ่มบุคคลหลายกลุ่มที่ไม่หวังดี รวมทั้งมีเจตนาทำลายประมุขสงฆ์ องค์กรสงฆ์อย่างรุนแรง ดังนั้นคณะสงฆ์ทั้งหลายต้องลุกขึ้นมาปกป้อง อะไรประมาณนั้นแหละ

อย่างไรก็ดี น่าสังเกตว่าพระเมธีธรรมาจารย์ยังไม่ได้กำหนดวันเวลาออกมาว่าเคลื่อนไหวพร้อมกันเมื่อไหร่กันแน่ เพียงแต่บอกว่าให้เตรียมความพร้อมเท่านั้น

ก่อนที่จะประเมินกันถึงความเป็นไปได้ และเจตนาของพระสงฆ์กลุ่มนี้ว่าต้องการอะไรกันแน่ ก็ต้องอธิบายถึงแบ็กกราวนด์เล็กน้อยเพื่อให้เห็นภาพชัดจะได้เข้าใจง่าย แน่นอนว่าสำหรับหลายคนเห็นแวบแรกหรือแค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้ว

แต่สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจก็ต้องบอกว่า ที่ผ่านมาเขาเป็นพระที่เคยเคลื่อนไหวทางการเมืองร่วมกันคนเสื้อแดง หรือจะเรียกว่า “พระสายเสื้อแดง” เต็มตัว เพราะถือว่านี่คือระดับ “แกนนำเสื้อแดง” อีกคนหนึ่ง เพียงแต่ว่ามาในรูปแบบของการห่มเหลือง ขณะเดียวกัน เมื่อเป็นสายเสื้อแดงก็ต้องเชื่อมโยงไปถึง “สมเด็จช่วง” หรือสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ประธานผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นพระอุปัชฌาย์ของพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพียงแค่นี้ก็เข้าใจกันได้ไม่ยากว่าการเคลื่อนไหวของพระสงฆ์ (คนพวกนี้) มีความเกี่ยวข้องกัน รวมทั้งต้องเข้าใจว่าเป้าหมายแบบไหน

ขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องพิจารณากันก็คือ พระสงฆ์กลุ่มนี้มีมวลชนเป็นกลุ่มเป็นก้อน และรุ่งเรืองเติบโตขยายอาณาจักรอย่างกว้างขวางในยุคที่ทักษิณ ชินวัตร เรืองอำนาจ ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาลหุ่นเชิด มีการประสานผลประโยชน์กันอย่างลงตัวทั้งการเมืองและในวงการสงฆ์ หากจำกันได่ในยุครัฐบาลทักษิณเคยใช้สถานที่ในวัดพระธรรมกายจัดกิจกรรมทางการเมืองบ่อยครั้ง มีทั้งแบบที่เปิดเผย และในรูปของกิจกรรมทางศาสนาบังหน้า

ที่ผ่านมา ธัมมชโยเคยถูกดำเนินคดีข้อหายักยอกเงินวัด ถูกดำเนินคดีมาจนถึงชั้นศาลฎีกา แต่ในยุคนั้นเป็นยุคที่อัยการสูงสุดถูกสังคมมองด้วยความเคลือบแคลงสงสัย มีการถอนฟ้องในชั้นศาลฎีกาในปี 2549 ก่อนถึงวันพิพากษาไม่นาน ซึ่งในเวลาต่อมาอัยการสูงสุดคนนั้นก็มาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และตอนนี้ก็กำลังโดนคดีรับของโจรและฟอกเงิน แต่ไม่ยอมมอบตัว อ้างโน่นอ้างนี่สารพัดเพื่อยื้อคดี แต่ที่ทำได้แบบนี้เพราะมีมวลชนใช้เป็นกำแพงมนุษย์ป้องกันเอาไว้ ไม่ต่างจาก “สมเด็จช่วง” ที่กำลังถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินคดีในข้อหาครอบครองรถผิดกฎหมาย ปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งรายนี้ก็ยื้อจนถึงที่สุด

ทั้งหลายทั้งปวงที่พระสงฆ์พวกนี้ยังคงบ่ายเบี่ยงดื้อดึง ก็คงถือดีว่ามีมวลชนหนุนหลังทั้งที่เป็นพระสงฆ์ในเครือข่าย และมวลชนภายนอก

คนพวกนี้มักยกมาอ้างก็คือ “ถูกกลั่นแกล้ง” หรือมีเจตนาขัดขวางไม่ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ดังที่ พระประสาร แกนนำม็อบแดงอ้างว่ามีขบวนการทำลายสมเด็จช่วง และเลยเถิดไปว่าเป็นขบวนการทำลายพระพุทธศาสนา ต้องช่วยกันปกป้อง ทั้งที่ในความเป็นจริงน่าจะออกมาในทางตรงกันข้ามว่าใครกันแน่ที่ทำลาย คำถามก็คือ พระสงฆ์อะไรที่ยังหมกมุ่นอยู่กับกิเลศ ลาภยศ พระสงฆ์ที่ถูกเสนอนามเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่กลับมีเรื่องด่างพร้อย สะสมรถยนต์ มีความเป็นอยู่หรูหรา อีกทั้งความผิดที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องสมมติขึ้นมา ต้องมีการพิจารณาจากหลักฐานเอกสาร มีลายมือชื่อพิสูจน์ชัด ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีปัญหาเพราะพวกเดียวกันปกปิดเอาไว้

กรณีของ “ธัมมชโย” ก็เหมือนกัน ไม่ใครสามารถกลั่นแกล้งหรือทำลายได้ ทุกข้อหาล้วนมาจากหลักฐาน มีเส้นทางการเงินที่พิสูจน์ได้ ยิ่งสถาบันการเงินสาวไปถึงกันได้ไม่ยาก ดังนั้น สิ่งที่คนพวกนี้กำลังยื้อกันทุกวิถีทางก็เพียงแค่ไม่กล้าให้ตรวจสอบ เพราะรู้ดีว่าตัวเองมีพฤติกรรมอย่างไร

แน่นอนว่าเมื่อสรุปว่า ทั้ง สมเด็จช่วง ธัมมชโย และเจ้าคุณประสารอะไรนั่น เป็นพวกเดียวกันอยู่ในขบวนการเดียวกัน เมื่อมีความผิดกำลังถูกดำเนินคดีก็ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลตอบแทนกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา อีกทั้งยังคิดว่ามีมวลชนหนุนหลังต้องออกมาช่วย

แต่หากพิจารณาตามสถานการณ์ความเป็นจริง คนพวกนี้ก็ยังเป็นเพียงแสดงท่าทีคุกคาม และเป็นเพียงการหยั่งท่าทีเท่านั้น เพราะการที่พระประสารบอกว่าให้พระสงฆ์ “เตรียมพร้อม” ยังไม่กำหนดวันดีเดย์ สาเหตุสำคัญก็เป็นเพราะเกรงกลัวกฎหมาย เพราะดีไม่ดีอาจถูกจับสึกฐานฝ่าฝืนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ห้ามชุมนุมเกิน 5 คน เป็นความผิดด้านความมั่นคงร้ายแรง และนาทีนี้ก็ยังไม่รู้ว่ามีพระสงฆ์กี่รูปที่เอาด้วย

กระนั้นก็ต้องจับตาก็คือการเคลื่อนไหวในช่วงนี้จะมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกระเพื่อมในช่วงวันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญวันที่ 7 สิงหาคมนี้หรือไม่ เพราะกำลังอยู่ในช่วงใกล้นับถอยหลังกันแล้ว เหมือนกับแม่น้ำหลายสายมาบรรจบกันพอดี อีกทางหนึ่งมันก็เหมือนกับการกดดันแกมขู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทำนองว่าอย่าผลีผลามบุกเข้ามา หรืออีกด้านหนึ่งต้องดำเนินการเสนอนามสมเด็จช่วงเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่ แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นประเมินกันแค่ว่านี่แค่หยั่งเชิงเท่านั้น ยังไม่กล้าออกมาเต็มตัวเพราะเดิมพันคือ “จับสึก” หมดทางหากิน ใครจะกล้าเสี่ยง!
กำลังโหลดความคิดเห็น