เมืองไทย 360 องศา
เป็นอันชัดเจนว่าการเสนอนาม “สมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่” ของสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ตามมติของมหาเถรสมาคม (มส.) ที่ผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความในมาตรา 7 พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535 เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ซึ่งผลปรากฏออกมาว่า “ไม่ขัดหรือแย้ง” ต่อมาตราดังกล่าว นั่นคือการที่นายกฯ จะเสนอนามสมเด็จพระสังฆราชต้องได้รับความเห็นชอบจาก มส.ก่อน และต้องเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุดสมณศักดิ์
ก็เป็นอันว่าขั้นตอนต่อไปขึ้นอยู่กับว่า นายกรัฐมนตรีซึ่งในที่นี้ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเสนอนามเมื่อใด แต่ล่าสุดก็ชัดเจนขึ้นมาอีกนั่นคือ พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันว่าจะยังไม่เสนอนามสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ เนื่องจากต้องรอให้คดีความให้เรียบร้อยก่อน ความหมายก็คือจะยังไม่เสนอทูลเกล้าฯ ถวายชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ในช่วงนี้ ส่วนจะเป็นเมื่อไรนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องเคลียร์คดีอาญาให้เรียบร้อยก่อน
“ผมมีหน้าที่อะไร มีหน้าที่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย แล้วทูลเกล้าฯ ถวายในสิ่งที่มีปัญหาได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็จบ”
คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ที่กล่าวออกมาหลังจากทราบผลตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกา
เมื่อเป็นแบบนี้ “สมเด็จช่วง” ก็ต้องรอไปก่อน ส่วนจะรอแบบ “ถาวร” หรือวืดตลอดกาลเลยนั้นมันก็มีแนวโน้มอย่างนั้น อย่างไรก็ดี มันก็มีอีกทางเลือกหนึ่งก็คือต้องเร่งคดีครอบครองรถเบนซ์ผิดกฎหมายที่สมเด็จช่วงตกเป็นผู้ต้องหาอยู่ในเวลานี้ให้ชัดเจนโดยเร็วเสียก่อน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับฝ่ายผู้ต้องหาว่าจะยินดีให้เคลียร์หรือไม่ เพราะเวลานี้คดีครอบครองรถยนต์ผิดกฎหมาย เป็นรถเบนซ์หมายเลขทะเบียน “ขม 99” ที่อยู่ในความดูแลของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้แจ้งข้อหาต่อสมเด็จช่วง จากการนำเข้ารถผู้กฎหมาย การแจ้งจดประกอบ การยื่นขอจดทะเบียนไม่ถูกต้อง การปลอมแปลงเอกสาร เลี่ยงภาษี เป็นต้น ซึ่งรถยนต์คันดังกล่าวถูกระบุว่าใช้ชื่อของสมเด็จช่วงที่ถูกเสนอนามเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่
แต่ที่ผ่านมาทางฝ่าย “สมเด็จช่วง” ได้พยายามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมไปรับทราบข้อกล่าวหา หรือนำเอกสารไปชี้แจง ทำให้คดียังไม่คืบหน้ามากนัก อีกทั้งทางดีเอสไอก็ระบุว่าขณะนี้ยังรอเอกสารบางอย่างต่างประเทศที่เกี่ยวรถยนต์ เนื่องจากเป็นรถยนต์นำเข้าซึ่งต้องใช้เวลา
ดังนั้น ถ้าจะให้คดีนี้เคลียร์เร็ว ส่วนหนึ่งมันก็ต้องขึ้นอยู่กับสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง ว่าต้องการแบบนั้นหรือไม่ ต้องรีบไปให้ปากคำต่อดีเอสไอ ต้องยินดีให้ความร่วมมือในการตรวจสอบหลักฐานเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่อย่างไรก็ดียังต้องรอเอกสารจากต่างประเทศตามที่ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ระบุเอาไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้เข้าใจว่าต้องใช้เวลาอีกนาน
สอดรับกับคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ย้ำว่า “ผมมีหน้าที่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย แล้วทูลเกล้าฯ ถวายในสิ่งที่มีปัญหาได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็จบ” มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเรื่องนี้ต้องใช้เวลาอีกยาวนาน
ที่สำคัญโดยสามัญสำนึกมันก็พอมองเห็นอยู่แล้วถึงความเหมาะสม การสมควรหรือไม่ เพราะนาทีนี้ถือว่า สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง มี “มลทิน” แล้ว อย่าว่าแต่จะเสนอนามเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่เลย แค่เป็นพระสงฆ์ยังต้องพิจารณากันให้หนัก และยิ่งเวลานี้มีพระสงฆ์ห่มเหลืองบางรูปพยายามเคลื่อนไหวก่อม็อบอ้างพิทักษ์พุทธศาสนา กดดันให้นายกรัฐมนตรีทูลเกล้าฯ ถวายชื่อสมเด็จช่วงขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ทั้งที่มีมลทินแบบนี้ ใครกันแน่ที่ทำลายศาสนา จาบจ้วงทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท จากความพยายามที่จะให้ทูลเกล้าฯ ถวายบุคคลที่มีมลทินขึ้นไป
ขณะเดียวกัน ในกรณีหาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทำตาม ตัวเขานั่นแหละจะตกที่นั่งลำบาก
ดังนั้น นาทีนี้เมื่อพิจารณาตามรูปการณ์แล้วก็ต้องสรุปว่า หนทางในการทูลเกล้าฯ ถวายชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ ถือว่าตีบตันด้วยเหตุผลดังกล่าวมา เพราะหนทางข้างหน้าถือว่าตีบตันอย่างถาวร นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ไปเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาในคดีร่วมกันรับของโจรและร่วมกันฟอกเงินของธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายในฐานะที่เป็นพระอุปัชฌาย์ ที่ต้องถูกตั้งคำถามตามมาอีก เอาเป็นว่าเพียงแค่ครอบครองรถผิดกฎหมายก็อ่วมแล้ว!