ปค. จี้ ผู้ว่าฯ ระวัง! “แก๊งโกงภาษี ณ ที่จ่าย” โครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้าน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ในวงเงินหมู่บ้านละ 200,000 บาท ขู่ฟัน วินัย - อาญา หากพบมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายเกินกว่ากำหนดตามประเมินรัษฎากร หรือหักเงินอื่นใดที่มิใช่การหักภาษี ณ ที่จ่าย หลังมหาดไทยโอนเข้าแบงก์รัฐแล้ว 1.4 หมื่นล้านบาท 7.4 หมื่นหมู่บ้าน พร้อมขยับโครงการ ก.ค. นี้ เบิกจ่ายแล้ว 1,883 ล้านบาท 10,954 โครงการ
วันนี้ (10 ก.ค.) มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ที่ผ่านมา อธิบดีกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้ทำหนังสือด่วนที่สุด ที่ มท 0310.3/ ว 15774 ในโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้าน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ (ในวงเงินหมู่บ้านละ 200,000 บาท ภายในวงเงินงบประมาณไม่เกิน 1.5 หมื่นล้านบาท) ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ หลังจากได้วิทยุด่วนที่สุด เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 59 แจ้งให้จังหวัดและอำเภอ ชี้แจงการดำเนินการเกี่ยวกับการหักภาษี ณ ที่จ่ายของคณะกรรมการเบิกจ่ายและจัดทำบัญชีของหมู่บ้าน โดยขอให้ชี้แจงกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และคณะกรรมการหมู่บ้าน เกี่ยวกับการหักภาษี ณ ที่จ่าย ในกรณีที่มีการประเมินให้แก่ผู้รับจ้างที่มีจำนวนเงินตั้งแต่ 1 แสนบาทขึ้นไป ในอัตราร้อยละ 1 ของยอดเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ ให้จังหวัดและอำเภอดำเนินการอย่างเคร่งครัด
“ให้ติดตาม กำกับโครงการอย่างใกล้ชิด และหากพบว่า มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายเกินกว่ากำหนดตามประเมินรัษฎากร หรือหักเงินอื่นใดที่มิใช่การหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้ดำเนินการกับผู้กระทำการทั้งทางวินัยและทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด”
มีรายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ กรมสรรพากร ได้ทำหนังสือด่วนถึงกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ว่า การดำเนินการจ่ายเงินตามโครงการให้แก่ผู้ขาย ผู้รับจ้าง เข้าลักษณะเป็นการจ่ายเงินได้พึงประเมิน และกรมการปกครองมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายตามประมวลรัษฎากร เนื่องจากมีการตั้งกรรมการเป็นผู้แทนในการจ่าย ทั้งนี้ ยังขอให้นายอำเภอ และสรรพากรพื้นที่ทุกสาขา สร้างความเข้าใจต่อวิธีการ อำนวยความสะดวก และสนับสนุน ให้แก่คณะกรรมการเบิกจ่ายฯ ในการหักภาษี
ด้าน นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการ ว่า โครงการนี้จะมีคณะกรรมการหมู่บ้าน เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนงานในพื้นที่ต้องแล้วเสร็จสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ ปัจจุบันการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย มีการโอนเงินเข้าบัญชีหมู่บ้านครบทั้ง 74,588 หมู่บ้าน เป็นงบประมาณทั้งสิ้น 14,907,439,016 บาท จำนวน 85,443 โครงการ คิดเป็น 100% ของโครงการที่หมู่บ้านเสนอมาทั้งหมด แบ่งประเภทโครงการเป็น 3 ด้าน คือ 1. ด้านเศรษฐกิจ เช่น การดำเนินโครงการเศรษฐกิจพอเพียง ฝึกอาชีพลดต้นทุนการผลิต การส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว 2. ด้านสังคม เช่น การส่งเสริมการศึกษา สาธารณสุข วัฒนธรรม การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และ 3. ด้านสาธารณประโยชน์ เช่น การขุดลอกแหล่งน้ำ ซ่อมแซมฝาย บ่อบาดาล ท่อระบายน้ำ เป็นต้น
ขณะที่ มีผลการเบิกจ่ายงบประมาณที่ลงไปในพื้นที่แล้วประมาณ 1,883 ล้านบาท 10,954 โครงการ ซึ่งเป็นการขับเคลื่อน การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากโดยประชาชนคิดและทำเอง ซึ่งกระทรวงมหาดไทยให้จังหวัดจัดตั้ง “คณะทำงานประชารัฐ” ลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานในหมู่บ้านอย่างใกล้ชิด เพื่อแนะนำ ช่วยเหลือ สนับสนุนการทำงาน ของคณะกรรมการหมู่บ้านให้สามารถขับเคลื่อนโครงการให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
มีรายงานว่า ในเดือนกรกฎาคมนี้ หมู่บ้านจะเริ่มดำเนินการตามโครงการ (กรณีต้องทำสัญญา) ต้องยื่นใบเสนอราคา/ทำสัญญา ดำเนินการตามสัญญา ระยะเวลาดำเนินการภายใน 30 วัน ก่อนจะมีการตรวจรับงาน และจัดประชุมประชาคมรายงานผล/เห็นชอบเบิกจ่าย และราวกลางเดือนกรกฎาคมนี้ ส่วน คณะกรรมการเบิกจ่ายเงินฯ จะเบิกเงินจากธนาคาร/ธนาคารจ่ายเงิน ให้ผู้รับจ้าง และรายงานผลการดำเนินการให้อำเภอทราบ
สำหรับ โครงการ/กิจกรรมที่กระทรวงมหาดไทย ห้ามดำเนินการ ประกอบด้วย 1) ห้ามนำงบประมาณไปต่อยอดเงินกองทุนหมู่บ้าน หรือลักษณะกองทุนหมุนเวียน 2) ห้ามนำงบประมาณไปดำเนินโครงการ/กิจกรรม โดยวิธีหารเฉลี่ยให้กับประชาชนหรือครัวเรือนในหมู่บ้าน 3) ห้ามแจกจ่ายเป็นเงิน หรือสิ่งของให้กับประชาชน หรือครัวเรือนในหมู่บ้าน 4) ห้ามนำไปใช้ในลักษณะให้ประชาชนกู้ยืม 5) ห้ามดำเนินโครงการฝึกอบรม สัมมนา ศึกษา ดูงาน 6) ไม่เป็นโครงการที่ซ้ำซ้อนแผนงานโครงการ/กิจกรรม ของส่วนราชการ/หน่วยงาน/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ดำเนินการในพื้นที่ หรือมีหน่วยงานรับผิดชอบอยู่แล้ว 7) ไม่ควรเป็นการจัดซื้อครุภัณฑ์ ยกเว้นแต่เป็นครุภัณฑ์จำเป็นประกอบโครงการ โดยหมู่บ้านต้องเสนอแผนการใช้งานและบำรุงรักษาประกอบด้วย และ 8) การจ้างแรงงานให้จ้างแรงงานคนไทยเท่านั้น ห้ามจ้างแรงงานต่างด้าว